"ศพเทศน์ เจ็ดธรรม"



เรากลัวตาย หรือ อยากตาย?


เมื่อไหร่เราเห็นศพ คำตอบคือ เมื่อเราเห็นอุบัติเหตุ ที่มีผู้เสียชีวิต เมื่อไปงานศพ เมื่อญาติพี่น้องเสียชีวิต และทุกที่ ที่มีสิ่งมีชีวิตอยู่อาศัย เพราะเมื่อมีชีวิต ที่นั่นย่อมมีศพเสมอ เมื่อเราเห็นศพนั้น เราได้อะไร เราเสียอะไร? โดยเฉพาะเมื่อเราไปงานศพที่วัดหรือที่ใดๆ เรามักจะเห็นภาพงานนั้น แค่ตื้นๆ กล่าวคือ เห็นผู้คน เห็นบรรยากาศ ญาติพี่น้อง ทั้งร่ำให้ และสาลวนอยู่กับกิจกรรมต่างๆ

ทุกคนย่อมรู้อยู่ว่า เมื่อมีศพแล้วย่อมต้องจัดงานศพให้ผู้ตาย การจัดการศพ มีขั้นตอนหลายอย่างตั้งแต่แจ้งเจ้าหน้าที่ เคลื่อนศพ ตรวจสอบ การนำกลับเพื่อรดน้ำศพ แต่งศพ จุศพ และตั้งศพบำเพ็ญบุญให้ จากนั้น ก็มีพระสวด ฯ มีเพื่อน ญาติ คนร่วมงาน จนกว่าจะครบวันสวด จากนั้นจึงเตรียมงานฌาปนกิจ แล้วไปถึงการเก็บอัฐิกระดูกและตลอดถึงจุกระดูกหรือนำไปลอยอังคาร

ทั้งหมดนี้ เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับหลายฝ่าย หลายหน่วยงาน เป็นกระบวนการของการจัดการจนแล้วเสร็จ อย่างไรก็ตาม ทั้งผู้จัดศพ (ญาติ) และผู้มาร่วมงาน มีใครบ้างที่เห็นผลอยู่เบื้องหลังของศพบ้าง มีใครที่จะสืบสานไปถึงหลักการอยู่เบื้องต้น และเบื้องปลายบ้าง เห็นแต่เมื่อเสร็จก็จบกัน น้อยมากที่จะมีใครเข้าถึงคำว่า "ศพ" นี้ ทั้งๆ ที่ทุกคนล้วนแต่มีมรดกนี้ในตัวทุกคน ที่น่าคิดคือ เรากลัวสิ่งที่เห็นแค่ศพที่นอนแน่นิ่ง แต่ไม่กลัวกาลภพของชีวิตทั้งหมด


ดังนั้น เมื่อผู้เขียนไปงานศพครั้งใด จะมองบรรยากาศทั้งผู้คนที่มาร่วมงาน เครื่องประดับศพ เครื่องสำอางรอบๆ ศพ และรวมไปถึงพระที่มาสวดในพิธีกรรมด้วย เมื่อประมวลภาพแล้ว งานศพปัจจุบันเป็นเหมือนงานแฟชั่น ศิลปะ มหรสพ และเป็นงานเสีย-งานได้ ฯ โดยเฉพาะงานศพในเมืองกรุงเทพฯ นั้น มีความเพี้ยนไปมาก หมายถึง แตกแยกแฝงเร้นเป็นผลประโยชน์มากมาย จนปกปิดความจริงแท้ของชีวิตที่ควรศึกษา พิจารณา และตระหนักรู้ให้เห็นสัจธรรม

อันที่จริงงานศพ คือ งานเงาสะท้อนความจริงของชีวิตทั้งหมด ศพคืออาจารย์ใหญ่ ที่สอนมนุษย์ให้รู้จักสื่อกลาง ที่แฝงด้วยองคาพยพทั้งหมดของชีวิตตั้งแต่ เกิด เติบโต แก่ เจ็บ ป่วย ตาย ภพ ชาติ และวัฏฏะ แต่เป็นเพราะเราชาชิน สิ้นการคิดสานงานศพไปสู่โอกาสทองของการเรียนรู้ชีวิตจริงๆ จึงไม่เห็นปรากฏการณ์อยู่เบื้องหลังของศพ แท้จริงศพทุกศพมีการสาธิตแสดงธรรมในตัวเองแก้ผู้พบเห็น ๗ อย่างด้วยนั่นคือ--


๑) "ซากคน" (Corpse) คือ ผลลัพธ์ของการอยู่ครองกาย หรือผลการสร้างกรรมอย่างใด อย่างหนึ่งที่ไม่ระวังตนเอง จนเกิดความพลาดพลั้งเสียลมปราณไป หรืออาจตั้งใจฆ่าตัวเอง เมื่อเรายังมีลมหายใจ เราก็สามารถสื่อสารกับใครๆ ได้ เคลื่อนไหวได้ พอเมื่อสิ้นลมไป ร่างกายกลับแน่นิ่ง ไม่เคลื่อนไหว มันสะท้อนให้เห็นว่า นี่คือ จุดจบ จุดจาก จุดพราก จุดจร จุดจุติ ไปสู่ภพใหม่ ทิ้งไว้แต่ร่างที่ร้างวิญญาณของตน เพื่อเป็นอนุสรณ์ ให้ผู้อยู่เบื้องหลังได้จัดการตามประเพณี

ซากศพแม้จะพูดไม่ได้ แต่ด้วยตัวของศพเองก็สามารถแสดงธรรมให้มนุษย์ได้รู้ ได้เห็นว่า ชีวิตสุดท้ายก็แค่นี้ ไม่ใหญ่ไปกว่าโลง ไม่ดำรงอยู่ได้ยาวนาน จากนั้นศพก็เริ่มแสดงธรรมต่อไปว่า ฉันกำลังแข็ง สสาร เซลล์ เชื้อรา ไวรัส เชื้อโรค จุลินทรีย์ที่อยู่ในฉัน เริ่มจะจัดการแล้ว เนื้อฉันเริ่มถูกสรรพจุลินทรีย์เจาะกิน และมันเริ่มเปื่อย เน่าเหม็น ไม่น่ามองอีกแล้ว อีกหน่อยฝูงหนอนจะมาชอนไชกายฉัน เพราะตัวฉันคือ อาหารของมัน จากนั้น ฉันก็จะเหลือแต่กระดูกขาวโพรน เหลือแต่ซากโครงกระดูกเท่านั้น

ท่านเห็นอะไรในตัวฉันบ้างละมนุษย์เอ่ย ฉันและท่าน คือ เชื้อเผ่าพันธุ์เดียวกัน อีกไม่นานท่านก็จะเป็นดั่งที่ข้าพเจ้าเป็นและเทศนาให้เห็นอยู่นี้ โปรดพิจารณากายฉันให้รู้เห็นสัจธรรม เพื่อความบริบูรณ์แห่งมนุษย์อริยชนเถิดมนุษย์


๒) "ธาตุแท้" (Absolute Matter) คือ ศพเป็นหน้าหนึ่งของปั้นปลายของชีวิต เบื้องต้นของชีวิตคือเด็ก แก่นแท้ของชีวิตคือ เกิด แก่ ตาย ปรากฏการณ์นี้คือ การสาธิตภพหนึ่งของชีวิต ที่มีแต่การเปลี่ยนแปลงไม่เคยหยุดยั้ง เมื่อมองให้ลึกลงไปถึงแก่นแท้ของชีวิตเหลือแค่ เกิด-ดับ เท่านั้น สายห่วงโซ่เช่นนี้ ยากที่มนุษย์จะเห็นได้ด้วยสายตาที่พร่าฟาง ธรรมสารที่ร่างกายของชีวิตสาธิตต่อเจ้าของคือ การเปลี่ยนแปลงรายวัน รายปี และรายภพ

แต่ดูเหมือนเจ้าของในเบื้องต้นจะพอใจมาก แต่พอระยะหลังเจ้าของกลับอิดออดใจ และไม่ค่อยพอใจในที่สุด เนื่องจาก เจ็บป่วย แก่ชรา หมดแรงที่จะเคลื่อนไหว และที่สุดก็ทิ้งร่างวางกายไปในที่สุด ธาตุแท้อีกอย่างที่ปรุงแต่งให้มนุษย์ผุดลุก ผุดนั่ง คือ ความทุกข์แบบจรมาแล้วจรไป และทุกข์อมตะที่ถาวรนั่นคือ ความตาย อย่างไรก็ตาม เราก็มีธาตุแท้ของเราที่สามารถสร้างเป็นอัตลักษณ์ของเราได้ นั่นคือ จิตใจ นั่นเอง


๓) "ตัวแทน" (Representation) คือ กระบวนการของร่างกายเกิดมาในรูปแบบของผ่านการหล่อหลอมจากสายพันธุ์จากพ่อแม่ ทั้งสองคือ เบ้าหลอมร่างกาย ที่สืบทอดมาตบแต่งให้มวลสสารของเราเจริญเติบโตไปตามสายพันธุ์นั้นๆ ทุกอย่างจึงอยู่ในรูปการถ่ายเทสืบทอดเชื้อดีเอ็นเอของพ่อแม่มาทั้งหมด และรูปทรงดังกล่าวนี้ ก็เจริญเติบโตตามพฤติกรรมของตนเองเสริมอีก คือ การจะมีรูปร่าง รูปทรงแบบใดนั้น ขึ้นอยู่กับการอยู่ การกิน การแสดงออกของตัวเองเป็นส่วนเสริม

ความเป็นส่วนตัวของเราเช่น อารมณ์ นิสัย รูปทรง หน้าตา อุปนิสัย จริต ฯ นั่นคือ เอกลักษณ์เฉพาะของคนๆ นั้น ไปตลอดชีวิต ดังนั้น รูปทรง เพศ รูปลักษณ์ นิสัย พฤติกรรม ฯ มันจึงสาธิตตัวมันเองออกมาให้เด่น จนกลายเป็นตัวแทนของตนเองไป จากนั้น เราจึงถูกใส่ชื่อเข้าไปประกอบอีกที จึงกลายเป็นร่างกาย ร่างก้อนเลือดเนื้อชื่อ เอ ชื่อ บี จนตลอดชีวิต กายจึงเป็นตัวแทนชื่อเรียก เป็นตัวแทนเอกลักษณ์นั้นๆ ตามกาลเวลา เมื่อเราเรียกร่างนั้น ชื่อนั้น เราจึงรู้ว่า เป็นตัวแทนของชื่อสมมตินั้น แท้จริงเราไม่มีรูปร่าง ไม่มีชื่อ ไม่มีกาย มันจึงเป็นเพียงสมมติของโลก เมื่อมีกายปรากฏเท่านั้น


๔) "กาลภาวะ" (Being in Time) คือ ช่วงเวลาของการดำรงชีวิตในภพหนึ่งๆ ที่สืบทอดเวลาไปตลอดชั่วอายุไข เพราะชีวิตต้องอิงกาลเวลาเป็นเครื่องนำไป กล่าวคือ มนุษย์และสัตว์จะถูกกาลเวลาผลักไป โดยอัตโนมัติ แม้ไม่อยากก็ต้องเคลื่อนไป กาลเวลาเป็นทั้งลบและบวก คือ ทั้งสร้างให้เจริญเติบโต ในขณะเดียวกัน การเจริญนั้นเองคือ การเดินไปสู่การเสื่อมสลายด้วย

ว่ากันว่า หน่วยสสารในร่างกายของสัตว์เปลี่ยนแปลงอยู่ทุกอณูเวลาและอณูสสาร ด้วยเหตุนี้ กาลเวลาจึงเหมือนเกิด-ดับอยู่ตลอดเวลาในร่างกายเรา ฉะนั้น ร่างกายจึงเหมือนแสดงกฏเกณฑ์และต่อต้านกฏนี้ด้วยตัวมันเอง กล่าวคือ กระบวนการในร่างกายมีกลไกที่สืบสร้างให้ร่างกายเติบโตไปตามเจตนารมณ์ของมัน มันจึงสร้างกลไกขึ้นซ่อมแซมตัวเองอยู่เสมอเช่นกัน ทั้งนี้ก็เพื่อต่อสู้กับเวลาและโรคต่างๆ นั้นเอง สุดท้ายมันก็ไม่สามารถทัดทานรหัสที่วางไว้ในโปรแกรมที่ถูกไว้ตั้งแต่ปฏิสนธิแล้ว และนั่นคือ เวลาก็เริ่มด้วยเช่นกัน


๕) "เกิด ดับ" (Rising and Falling) เป็นปรากฏการณ์ที่หยาบ ที่ชักใยอยู่เบื้องหลังกระบวนการทั้งหมด ตั้งแต่จุดสตาร์ตจนถึงจุดหมาย ชีวิตมิได้มีแค่ที่เห็นคือ ยิน เดิน นั่ง นอน ดื่ม กิน พูด คิด เคลื่อนไหว ฯ เท่านั้น กิริยาทั้งหมดมันมาจากภพใหญ่คือ คำว่า ชีวิต ที่เป็นจุดทั้งหมด ซึ่งเป็นผลมาจากการเกิด ที่ดำเนินไปสู่การดับ จนจบภพหนึ่ง ในการเกิดดับนี้มันเป็นภาพที่ใหญ่และหยาบ ยากที่จะโยงให้เห็นกระบวนการ ถ้าไม่ศึกษาเชิงจักรวาลทัศน์ หรือชีวทัศน์

หลักการนี้พระพุทธศาสนาเสนอให้เห็นวงจรของมันอย่างละเอียดเรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท นั่นเอง อย่างไรก็ตาม คนธรรมดาหรือคนที่ขาดการฝึกฝน หรืออดทนดูอาการของมัน ย่อมยากที่จะเข้าใจ กระนั้น มันก็มีช่องทางที่จะศึกษาหาช่องทางแสวงหาความจริงนี้ กล่าวคือ ท่านผู้รู้กล่าวว่า การเกิดดับของจิต ทุกๆ ขณะนั้น นั่นคือ การสาธิตการเกิด-ดับของวงจรดังกล่าวนี้ได้ ซึ่งพอที่จะโยงไปถึงวงจรใหญ่ได้ ถ้าจิตละเอียดพอ


๖) "สัจกฏ" (Truth) ชีวิตเป็นกระบวนที่ไม่ขาดตอน เป็นการแสดงที่สืบเนื่องของมันเอง การปรากฏและการแสดงออกเช่นนี้ เป็นการสะท้อนสัจธรรมอย่างหนึ่งของมัน กล่าวคือ สภาวะที่มันเผชิญอยู่ ทั้งขัดแย้ง คล้อยตาม และประนีประนอม การขัดแย้งของร่างกายคือ การแสดงออกต่อกฏของแรงโน้มถ่วงเช่น ปอด หัวใจ กระเพาะ การไหลเวียนของเลือด ระบบกลไกของร่างกายต้องต่อสู่กับแรงดึงดูดของโลก มิฉะนั้น มันก็ไม่รอด

ส่วนการคล้อยตามคือ ร่างกายอาศัยแสงแดด อากาศ น้ำ ป่า อาหาร ฯ ที่โลกสร้างขึ้นมา แล้วร่างกายก็ยอมรับสสารดังกล่าว เพื่อบำรุ่งให้ตนเองอยู่รอดเช่นกัน ส่วนการประนีประนอม คือ ระบบกลไกของร่างกายจะปรับตามแรงปรารถนาหรือแรงเจตนาของจิตหรือโปรแกรมที่จิตใจสั่งหรือใส่เข้าไป เช่น ความรู้ หลักการ วิธีปฏิบัติ ที่สังคมโลกมนุษย์สร้างขึ้นมา เพื่อการอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น นักกีฬาฝึกฝนร่างกาย ให้เป็นไปตามต้องการ โดยค่อยเป็นค่อยไป

ส่วนที่เป็นกฏที่อิงจิตใจเป็นผู้ประเมินหรือวัดคือ อารมณ์หรือเวทนา นี่คือ การแสดงออกของอารมณ์ของจิตที่ไหวไปตามกาย แรงกระตุ้น สิ่งแวดล้อม โดยมีจิตเป็นผู้ผลักดัน อาจมาจากแรงสัญชาตญาณก็ได้ จึงเกิดผลที่ขึ้นๆ ลงๆ ไม่สม่ำเสมอ เรีกยกว่า ทนอยู่สภาพเดิมได้ไม่นานและมั่นคง จึงเรียกอาการนี้ "ทุกขารมณ์" หมายถึง อารมณ์ที่ก่อให้เกิดความทุกข์ เช่น รักโลภ โกรธ หลง ชอบ ไม่ชอบ นี่คือ ทุกขารมณ์ของชีวิตที่พระพุทธศาสนาถือว่า เป็นสัจธรรมอย่างหนึ่ง


๗) "อัตภาวะ" (Selfieness) เป็นสภาพที่แสดงตัวเองออกมาสู่โลกภายนอก กล่าวคือ นิสัย ใจคอ อารมณ์ ความรู้สึก ที่ถ่ายทอดออกมาให้คนอื่นรู้ นี่คือ ความจริงที่ผู้คนในโลกสมัยนี้กำลังแสดงอวดตัวเองผ่านสื่อ การอวดตนผ่านนี้ เป็นการสะท้อนอัตลักษณ์ออกมาให้คนอื่นรับรู้ การกระทำ การทิ้งลายมือ การร้อง การทิ้งภาพไว้ หรือการทิ้งกลิ่นไว้ หรือเครื่องใช้ต่างๆ ไว้ นั้นคือ ตัวแทนของอัตลักษณ์ที่เราประทับตราว่า ฉันอยู่ ฉันมี ฉันเป็น ในโลกนี้อยู่

การใช้กาย คำพูด รูปร่างคือ ทั้งหมดที่ต้องการแสดงตนเองออกมา ยุคใหม่ที่สื่อใช้ง่าย ผู้คนก็ได้โอกาสสะท้อนสิ่งที่ตนเองมี ตัวเองเป็น อวดโอ้โชว์เพื่อนชาวโลก จนโด่งดังไปก็มี อันนี้ก็เนื่องมาจากว่า มีตัวตนอยู่บนโลกนี้จริง กระนั้น แม้ตายไปแล้วก็ยังสามารถทิ้งรอย ทิ้งภาพ ทิ้งเครื่องมืออุปกรณ์ต่างๆ ไว้เป็นสื่อแทนตนได้


ทั้งหมดนี้ สืบเนื่องมาจากการชีวิตอยู่บนโลกนี้เอง แต่เมื่อตายไป ก็จะเหลือแต่ศพ ที่เรียกว่า ซากชีวิต ทั้งหมดที่แสดงมันกลับถูกพับเก็บหรือสลายไปหมดในพริบตา คงเหลือแต่เศษซากศพเท่านั้น และอีกไม่นานศพนี้ก็จักละลายกลายเป็นกระดูกในที่สุด มันจะเหลืออะไรไว้บ้างละ อย่างน้อยศพมันก็ยังได้แสดงธรรมต่อสายตา ผู้พบเห็น และมันได้แสดงธรรมเป็นปรมัตถ์ครั้งสุดท้ายต่อผู้ที่เหลืออยู่บนโลก เมื่อเราเห็นศพแล้ว เราเห็นอะไรนอกเหนือไปจากศพที่เห็นครับ เรากำลังดูหรือกำลังอ่านหรือกำลังฟังศพนั้นเทศน์ เจ็ดอย่างดังกล่าวหรือไม่ครับพี่น้องชาวโลก

-------------------------(๑๙/๑๑/๕๗)-------------------------------

คำสำคัญ (Tags): #ศพเทศน์ เปรตฟัง?
หมายเลขบันทึก: 580792เขียนเมื่อ 19 พฤศจิกายน 2014 23:33 น. ()แก้ไขเมื่อ 20 พฤศจิกายน 2014 15:05 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)

I do see your point and am reminded of a blog I read (so I went googling and found this):

ทำอะไรในงานศพ http://www.sammajivasil.net/news38.htm
...พิธีสดับปกรณ์ ซึ่งเพี้ยนมาจากคำว่า สัตตปกรณ์ อันหมายถึง พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ นั่นเอง (สัตต = เจ็ด ปกรณ์ = คัมภีร์ ตำรา)...
...ทุกวันนี้ คนไทยก็เลยพากันไปติดอยู่ที่พิธีกรรมอันเป็นสื่อของธรรมเท่านั้ น พากันหลงลืมธรรมอันเป็นแก่นสารไปอย่างน่าเสียดาย ยามเราไปฟังสวดพระอภิธรรมในงานศพ จึงไม่สู้ได้อะไร (พระอภิธรรม?)...

Your ...โดยเฉพาะงานศพในเมืองกรุงเทพฯ นั้น มีความเพี้ยนไปมาก หมายถึง แตกแยกแฝงเร้นป็นผลประโยชน์มากมาย จนปกปิดความจริงแท้ของชีวิตที่ควรศึกษา พิจารณา ตระหนักรู้ให้เห็นสัจธรรม... add to a body of evidence to suggest that funeral is a show-of-face.

Let live and let die.

-สวัสดีครับ

-งานศพสอนคน.

-ธรรมชาติ...มี เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป

-คนมักชอบ"ตั้งอยู่"นาน ๆ นะครับ

-ขอบคุณครับ

แจ้งชัดมากๆๆ..ขอชม...บันทึกนี้..ขอบพระคุณค่ะ..

ผมไม่กลัวตายครับ เพียงแต่ไม่อยากเจ็บตัวก่อนตายเท่านั้นเอง 555

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท