การจัดการความขัดแย้ง
Conflict Management
พันเอก มารวย ส่งทานินทร์
16 พฤศจิกายน 2557
การจัดการความขัดแย้ง (Conflict management) คือกระบวนการลดผลเสียและเพิ่มผลดีของความขัดแย้ง เป้าหมายของการจัดการความขัดแย้งคือ การเรียนรู้ร่วมกันและเพิ่มประสิทธิผลของการประกอบการขององค์กร การเรียนรู้ขององค์กร (Organizational learning) จากการจัดการความขัดแย้งเป็นเรื่องสำคัญ เพราะการจัดการความขัดแย้งทำให้เกิดการเรียนรู้ และกระตุ้นให้บุคลากรเกิดความตื่นตัวไม่เฉื่อยชา
ผู้ที่สนใจเอกสารแบบ PowerPoint (PDF file) สามารถศึกษาและ download ได้ที่ http://www.slideshare.net/maruay/conflict-management-35349377
คำนิยามของความขัดแย้ง (Conflict) ยังไม่มีคำนิยามที่ชัดเจน แต่อธิบายได้ว่า เกิดจากผลประโยชน์ที่ไม่ลงตัวของบุคคล 2 ฝ่าย (process in which one party perceives that its interests are being opposed or negatively affected by another party)
ประโยชน์จากการจัดการความขัดแย้ง
ความขัดแย้งมีที่มาจาก
ชนิดของการจัดการในองค์กรที่ทำให้เกิดความขัดแย้ง
1. การสื่อสารที่ไม่ดี ( Poor communications)
2. การกระจายทรัพยากรที่ไม่พอเพียง ( The alignment or the amount of resources is insufficient)
3. การไม่ลงรอยกัน ( Personal chemistry, including conflicting values or actions)
4. ปัญหาจากภาวะผู้นำ ( Leadership problems)
แนวทางปฏิบัติเพื่อลดความขัดแย้ง
1. ทบทวนใบลักษณะงานสม่ำเสมอ ( Regularly review job descriptions. Get your employee's input to them)
2. สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกน้อง ( Intentionally build relationships with all subordinates)
3. บุคลากรรายงานสถานะสม่ำเสมอ ( Get regular, written status reports)
4. เข้าอบรมหลักสูตร ( Conduct basic training)
5. พัฒนาขั้นตอนการทำงาน ( Develop procedures for routine tasks and include the employees' input)
6. ประชุมผู้บริหารร่วมกับบุคลากรอย่างสม่ำเสมอ ( Regularly hold management meetings with all employees)
7. มีตู้รับข้อเสนอแนะ ( Consider an anonymous suggestion box in which employees can provide suggestions)
การแก้ไขความขัดแย้ง ถ้าแก้ไขสำเร็จจะเกิดผลดีคือ
Theory of Conflict management
ในทศวรรษ 1970s Kenneth Thomas และ Ralph Kilmann ได้เสนอแนวทางจัดการความขัดแย้ง เรียกว่า Thomas-Kilmann Conflict Mode Instrument (TKI) ประกอบด้วย: การแข่งขัน ความร่วมมือ การปรองดอง การโอนอ่อน และการหลีกเลี่ยง (Competitive, Collaborative, Compromising, Accommodating, and Avoiding)
1.การแข่งขัน ( Competitive): เกิดจากการที่บุคคลมีจุดยืนที่แน่ชัด มีอำนาจมากกว่า มีตำแหน่งสูงกว่า หรือมีความสามารถในการโน้มน้าวมากกว่า วิธีนี้เหมาะกับสถานการณ์ฉุกเฉิน ต้องตัดสินใจด่วน แต่อาจทำให้ผู้คนรู้สึกเจ็บใจ ไม่พอใจ ถ้าเหตุการณ์ไม่จำเป็นต้องเร่งด่วนจริง
2.ความร่วมมือ ( Collaborative): เป็นการที่ผู้คนพยายามหาหนทางร่วมกัน ไม่แก่งแย่งกัน ทุกคนมีความสำคัญ วิธีนี้เหมาะสำหรับหาข้อตกลงร่วมกัน โดยการระดมความคิด เพื่อหาหนทางแก้ไขที่ดีที่สุด หรือใช้ในสถานการณ์ที่มีความสำคัญสูง
3.การปรองดอง ( Compromising): เป็นการพยายามเอาใจทุกคน โดยการยอมถอยคนละก้าว การปรองดองมีประโยชน์ ในกรณีที่ความขัดแย้งก่อเกิดผลเสียหายรุนแรง ฝ่ายตรงข้ามมีความแข็งแรงพอ ๆ กัน หรือใกล้จะถึงเวลาเส้นตาย
4.การโอนอ่อน ( Accommodating): เป็นการยอมตามผู้อื่น ยอมเสียสละส่วนของตน เพื่อแสดงว่าตนเป็นคนไม่ก้าวร้าว การโอนอ่อนมีความเหมาะสม เมื่อความสงบสุขมีค่ากว่าการเอาชนะ หรือเมื่อต้องการจะสร้างบุญคุณ (favor) แต่ผลลัพธ์ในกาลต่อมามักออกมาไม่ค่อยดีนัก
5.การหลีกเลี่ยง ( Avoiding): เป็นการที่ผู้คนต้องการหนีสถานการณ์ ไม่ต้องการตัดสินใจ ไม่ต้องการทำร้ายจิตใจผู้อื่น มีความเหมาะสมกับกรณีที่ไม่เห็นหนทางชนะ เป็นปัญหาเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่ต้องใส่ใจก็ได้ หรือมีผู้อื่นที่เหมาะสมกว่าในการเจรจาหนทางนี้เป็นแนวทางที่อ่อนแอและไม่มีประสิทธิผล
ตัวแปรในการใช้กลยุทธ์ให้เหมาะสมกับสถานการณ์
เทคนิคการจัดการความขัดแย้ง 1.Forcing 2.Collaborating 3.Compromising 4.Withdrawing 5.Smoothing
1.การใช้อำนาจ หรือเรียกว่าการแข่งขัน (competing) ว่าด้วยบุคคลที่ยังคงยืนหยัดไม่ฟังใคร แม้จะมีแรงต้าน
2.ความร่วมมือ หรือการแก้ปัญหา (problem confronting or problem solving) เป็นการทำงานร่วมกับผู้อื่นโดยเน้นชนะด้วยกัน (a win-win solution) ที่ให้ความสำคัญกับความเห็นของทุกฝ่าย
3.การปรองดอง เป็นการแก้ปัญหาที่ทั้งสองฝ่ายมีความพอใจในระดับหนึ่ง
4.การถอนตัว หรือการหลีกเลี่ยง (avoiding) ไม่สนใจใด ๆ ทั้งสิ้น
5.ราบเรียบ หรือที่เรียกว่าการโอนอ่อน (accommodating) เป็นการยอมทำตามผู้อื่น โดยฝ่ายตนเสียเปรียบ
อีกทฤษฎีหนึ่งในการจัดการความขัดแย้งคือ ทฤษฎีว่าด้วยผลประโยชน์ร่วม "Interest-Based Relational (IBR) Approach" ซึ่งมีกฏดังนี้คือ
1.เน้นความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ( Make sure that good relationships are the first priority) ให้ความเคารพซึ่งกันและกัน มีมารยาทที่ดีแม้อยู่ใต้ความกดดัน
2.แยกปัญหาออกจากจากบุคคล ( Keep people and problems separate) บุคคลที่เจรจาด้วยไม่ใช่ปัญหา จะทำให้เห็นประเด็นของปัญหาได้อย่างแท้จริง โดยไม่ทำลายสัมพันธภาพที่มีต่อกัน
3.ให้ความสนใจผลประโยชน์ที่นำเสนอ ( Pay attention to the interests that are being presented) ตั้งใจฟัง ทำให้รู้จุดยืนของฝ่ายตรงข้าม
4.ฟังก่อนพูด ( Listen first; talk second) การแก้ปัญหา ต้องรู้ว่าฝ่ายตรงข้ามมีที่มาที่ไปอย่างไร ก่อนระบุจุดยืนของตนเอง
5.ตั้งหัวข้อการตกลง ( Set out the Facts) ตกลงวัตถุประสงค์ของการเจรจา และข้อปลีกย่อยที่มีผลต่อการตัดสินใจก่อน
6.สำรวจข้อเสนอด้วยกัน ( Explore options together) อย่าปิดกั้นความคิด ยังมีทางเลือกที่สามอยู่
ทฤษฎีว่าด้วยผลประโยชน์ร่วม "Interest-Based Relational (IBR) Approach" มีขั้นตอนดังนี้:1.จัดเวที: Set the Scene2.รวบรวมสารสนเทศ: Gather Information3.ตกลงปัญหาร่วมกัน: Agree the Problem4.ระดมความคิด: Brainstorm Possible Solutions5.สรุปวิธีการแก้ปัญหา: Negotiate a Solution
1. จัดเวที ให้ใช้ทักษะการฟังอย่างตั้งใจ (active listening) เพื่อรับรู้มุมมองของฝ่ายตรงข้าม โดย
2. รวบรวมสารสนเทศ พยายามเรียนรู้ฝ่ายตรงข้ามในเรื่อง ผลประโยชน์ ความต้องการ ความสนใจ แรงกระตุ้น
3. ตกลงปัญหาร่วมกัน ทำความเข้าใจให้ตรงกันว่า เห็นประเด็นปัญหาเหมือนกันเสียก่อน จึงจะสามารถแก้ปัญหาร่วมกันได้ เพราะแต่ละคนอาจมองปัญหาแตกต่างกัน
4. ระดมสมองหาวิธีการแก้ปัญหา พยายามหาหนทางแก้ปัญหาให้มากที่สุด ไม่ปิดกั้นทุกความคิด ถ้าทุกฝ่ายพอใจแนวทางการแก้ปัญหานี้ ทุกฝ่ายควรเสนอแนวทางแก้ปัญหาด้วย
5. เลือกวิธีแก้ปัญหา เมื่อถึงขั้นนี้ ความขัดแย้งได้ถูกแก้ไข ทุกฝ่ายมีความเข้าใจอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน และให้ความร่วมมือในวิธีการแก้ปัญหาที่ตกลงร่วมกัน เมื่อการเจรจาจบลง คุณจะพบว่าจุดยืนคุณอาจเปลี่ยนไป นี่เป็นเทคนิคในการเน้นชนะด้วยกัน (win-win negotiation) ที่ทำให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องพึงพอใจ ในวิธีการแก้ปัญหาร่วมกัน มีหลัก 3 ประการคือ มีความนิ่ง มีความอดทน และมีความเคารพกันและกัน (Be Calm, Be Patient, and Have Respect)
จุดสำคัญ ถ้าจัดการความขัดแย้งผิดพลาด โอกาสเกิดความหายนะมีสูง ทีมขาดความสามัคคีกัน แนวทางการแก้ปัญหาต้องใช้แนวทางด้านบวก (positive approach) อภิปรายความจริง ไม่เถียงกัน เน้นประเด็นปัญหามากกว่าเพ่งโทษบุคคล เมื่อฟังอย่างตั้งใจ แนวทางการแก้ปัญหาจึงจะมีประสิทธิผล
Conflict Resolution Skills: Building the Skills That Can Turn Conflicts into Opportunities
การตอบสนองความขัดแย้งที่ควรเลี่ยง |
และ การตอบสนองความขัดแย้งที่ดี |
ความสามารถในการแก้ปัญหา
1. จัดการความเครียดได้เร็ว มีความนิ่งพอ ( Manage stress quickly while remaining alert and calm) ทำให้สามารถอ่านใจฝ่ายตรงข้ามได้ดี
2. ควบคุมอารมณ์และพฤติกรรมได้ ( Control your emotions and behavior) ทำให้สามารถสื่อสารได้ตรงประเด็น
3. สนใจความรู้สึกของฝ่ายตรงข้าม ( Pay attention to the feelings being expressed) รวมถึงคำพูดที่สื่อออกมา
4. ตื่นตัวและเคารพความแตกต่าง ( Be aware of and respectful of differences) ทำให้แก้ปัญหาได้เร็วขึ้น
ทักษะที่ต้องฝึกในการแก้ไขความขัดแย้ง เพื่อให้มีประสิทธิผล คือ
1. การลดความเครียดได้อย่างรวดเร็ว ( Quick stress relief)
2. การตื่นตัว ( Emotional awareness)
1. การลดความเครียดได้อย่างรวดเร็ว
2. มีการตื่นตัว เป็นการเข้าใจตนเองและผู้อื่นว่ารู้สึกเช่นใด ถ้าไม่มีการตื่นตัว ก็ไม่อาจสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิผล และทำให้แก้ปัญหาไม่ได้ การรู้สึกตื่นตัว มีประโยชน์คือ:
การสื่อสารแบบอวจนะ (Nonverbal communication) มีบทบาทสูงในการแก้ไขความขัดแย้ง
เคล็ดลับการเจรจา
1.ฟังทั้งเสียงและความรู้สึก ( Listen for what is felt as well as said) เป็นการฟังอย่างตั้งใจ ถึงความต้องการและความรู้สึก ทำให้ง่ายต่อการเจรจา
2.การแก้ไขความขัดแย้งอยู่เหนือการเอาชนะ ( Make conflict resolution the priority rather than winning or being right) เพื่อการรักษาสัมพันธภาพที่ดี มากกว่ามุ่งเอาชนะในการถกเถียง และให้เคารพในความเห็นผู้อื่นด้วย
3.มุ่งเน้นปัจจุบัน ( Focus on the present) อย่าย้อนอดีตเพื่อฟื้นฝอยหาตะเข็บ มันผ่านไปแล้วแก้ไขอะไรไม่ได้ ให้เน้นที่นี่และขณะนี้ (here-and-now) เพื่อหาแนวทางแก้ปัญหา
4.เลือกสนามที่จะต่อสู้ ( Pick your battles) การแก้ไขความขัดแย้งต้องใช้พลังงานและใช้เวลามาก ให้พิจารณาดูก่อนว่าคุ้มค่าการลงทุนหรือไม่
5.พร้อมจะให้อภัย ( Be willing to forgive) การแก้ไขความขัดแย้งเป็นไปไม่ได้เลย ถ้ายังอาฆาตแค้นกันอยู่ ความโกรธจะเป็นไฟเผาตัวเราเอง
6.รู้เวลาที่ควรปล่อยวาง ( Know when to let something go) ถ้ายังตกลงกันไม่ได้ ก็ให้เห็นพ้องกันว่ายังไม่สามารถตกลงกันได้
**************************************
เคล็ดวิชา 6 ข้อสุดท้าย คงต้องฝึก และ ทำใจ ครับ