หนึ่ง
ลมทะเล เห่ครวญ มารวมฝั่ง
คลื่นกระทั่ง หาดกระทบ สบแล้วสลาย
ในแดดแกว่ง แสงวิบ พริบพริบพราย
คืนจันทร์ฉาย พรายน้ำรำ พรำแสงไฟ
บางขณะ ทะเลเรียบ ดูเงียบสงบ
คลื่นกระทบ สบฝั่ง ยังอ่อนไหว
สนประสาน เพลงแผ่ว แล้วผ่านไป
ราวกับ จะกล่อมใคร ณ ชายทะเล
บางขณะ ทะเลร้าย คล้ายปีศาจ
เสียงสนสาด เพลงผีโผย โหยหวนเห่
คลื่นขึ้นโหม โถมทั่ง ทั่วทั้งทะเล
คล้ายถ่ายเท กินทุกสิ่ง หมดสิ้นสลาย
เช่นอารมณ์ สถิตใน ใจมนุษย์
บางคราสุด โหมโถมแทง อย่างแรงร้าย
ราวทะเล พายุครวญ ชวนอันตราย
อาจทลาย ทุกสิ่งหาย ในพริบตา
บางขณะ อารมณ์เงียบ เย็นเยียบสงบ
คล้ายทะเล ทบคลื่นอ่อน มาฟ้อนหล้า
ส่งลมเบา เคล้าเพลงสน ท้นเอ่อมา
กล่อมคน เหนื่อยล้า มาผ่อนพัก
สอง
จนบัดนี้ ยังมิวาย หายสงสัย
ที่ช่องว่าง ระหว่างใจ ไร้ทุกข์หนัก
ที่ความสุข ทั้งหลาย มิทายทัก
จักเปรียบเป็น เช่นทะเล เวลาใด?
เขียน อังคาร ที่ ๒๐ ธนวอาคม ๒๕๓๗
๓.๔๓ ของวันใหม่ ที่ทับแก้ว ๒
รำลึกรับน้องเอก Eng ที่หาดพลา สัตหีบ
เสาร์-อาทิตย์ ที่ ๑๗-๑๘ ธนวอาคม พ.ศ. เดียวกัน
เพราะมากครับ จนได้ยินเสียงคลื่น และใบสนที่พัดไปมากับลม
แต่งมานานแล้ว ยังเพราะครับ ภาษากวีไม่มีวันตายจริงๆ ครับ
(เขียน อังคาร ที่ ๒๐ ธนวอาคม ๒๕๓๗
๓.๔๓ ของวันใหม่ ที่ทับแก้ว ๒
รำลึกรับน้องเอก Eng ที่หาดพลา สัตหีบ
เสาร์-อาทิตย์ ที่ ๑๗-๑๘ ธนวอาคม พ.ศ. เดียวกัน)
ขอบคุณมากๆครับ
ขอบคุณมากๆครับคุณยายธี