เมื่อเราจอดรถรอไฟเขียวเป็นคันท้ายสุด ข้างหน้ามีรถอยู่ 20 คัน คำถามคือ ถ้าไฟเขียวขึ้นมา เราต้องรอนานเท่าใดจึงจะออกรถได้ ?
คำตอบคือ ไม่ต้องรอครับ ออกรถได้เลย
นั่นก็คือระบบคิดที่ว่า ทุกวินาที ต้อง maximize ให้ได้ประสิทธิภาพสูงที่สุด
ด้วยระบบคิดว่าประสิทธิภาพต้องสูงสุด ถ้ารถทุกคันเคลื่อนตัวออกไปพร้อม ๆ กัน ด้วยความเร็วเท่ากัน แถวจะยาวกี่ร้อยคันก็ได้
การบีบคั้นประสิทธิภาพให้สูงสุด มักมีราคาต้องจ่าย
และเป็นราคาที่ต้องจ่ายแพงมากเสียด้วย ในกรณีของรถที่รอไฟเขียว ราคาที่ต้องจ่ายเพื่อแลกประสิทธิภาพก็คือ "ความเสี่ยง" จากอุบัติเหตุ
ลองนึกถึงว่า ถ้าคนสามารถสื่อสารตรงถึงกันได้ง่ายมาก เพียงจินตนาการ แล้วสามารถพบคนอื่นแบบ 'ตัวเป็น' ได้ หรือแค่คิด ก็สามารถย้ายตำแหน่งตัวเองไปที่ใดในโลกก็ได้
ถ้าเกิดโรคไวรัสพันธุ์ที่ดุแบบอีโบลา แพร่ง่ายแบบหวัดนก ระบาดในคน รับรอง มนุษย์มีโอกาสสูญพันธุ์ เพราะการระบาดที่ผ่านมา ที่หยุดได้ เพราะโชคดีที่มนุษย์ไม่มีประสิทธิภาพในการเคลื่อนย้ายตำแหน่ง
พูดอีกนัยหนึ่ง ประสิทธิภาพ 100 % อาจมีพลังเชิงทำลายล้างมากกว่าพลังในการสร้างสรรค์
ผลคือ เราจะเลือกใช้ระบบที่ลงตัวกว่า เน้นความพอดี (คือ ระบบที่ optimize) กรณีของการขับรถรอไฟแดง ต้องแน่ใจว่าปลอดภัย จึงออกรถได้ ประสิทธิภาพจะอยู่ในเกณฑ์ดี และราคาที่จ่าย ก็ไม่มากนัก คือเสียเวลารอเพิ่มนิดหน่อย
กรณีเรื่องเงาะก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่ง เงาะโรงเรียนเป็นเงาะที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในการดิ้นรนเพื่ออยู่ร่วมกับคน ราคาของประสิทธิภาพที่ต้องจ่ายคือความเปราะบางเชิงพันธุกรรม ที่หากสิ่งแวดล้อมคุกคามหนัก ก็เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ (เงาะ - บทเรียนทางพันธุกรรม)
นวัตกรรมทางสังคม หรือการบริหารองค์กร ที่เน้นประสิทธิภาพสูงสุด จะเป็นเช่นเดียวกันหรือไม่ คงเป็นคำถามที่น่าคิดไม่น้อย
เพราะการไม่ถามราคาในการซื้อหาอะไรก็ตาม มักจะได้ของแพงผิดปรกติ
อย่าบอกนะครับ ว่าซื้อแพงก็ไม่เป็นไร เพราะเหตุผลประเภท "Every home should have one."...
ขอขอบคุณอาจารย์ wwibul...
ลึกซึ้งๆ...