มีกัลยาณมิตรถามเป็นการส่วนตัวว่า ระยะครึ่งขวบปี ทำไมไม่เห็นผมเขียนบันทึกที่ว่าด้วยเรื่อง "คิดเรื่องงาน" เลย
ครับ ผมไม่รู้จะตอบยังไง แต่ยืนยันว่า ทุกๆ วันก็ยังทำงานเหมือนเช่นที่เป็นมา
จนล่าสุด เมื่อวาน ผู้บริหารท่านหนึ่ง แซวผมว่า-ผมเป็นคนคิดโน่นนี่อยู่ตลอดเวลา สมองไม่มีวันตาย และสมองจะได้รับการพัฒนาอยู่ตลอดเวลา
นั่นก็อีกนั่นแหละ ผมไม่รู้จะตอบยังไง ไม่รู้จะสนทนายังไง ได้แต่พูดสั้นๆ กึ่งเขิน กึ่งขำไปว่า "เดี๋ยวผมก็ตาย...เดี๋ยวผมก็ตาย"
ครับ, ผมอาจตายในเร็ววันนี้
แต่ความคิด ผมจะไม่มีวันตาย เพราะหลายสิ่งอย่างที่ผมบุกเบิกไว้ จะยังดำเนินต่อไป
หรือถึงแม้จะไม่ถูกขับเคลื่อนต่อ แต่เรื่องเหล่านั้นย่อมถูกจารึกไว้เป็นบทเรียน-ความรู้อย่างไม่ต้องกังขา
...
เมื่อสองสามเดือนก่อนนี้ ผมเคยเปรยทักกับเจ้าหน้าที่ที่ดูแล "รถสวัสดิภาพ" หรือ "รถฉุกเฉิน"
ครับ-เรื่องที่เปรยทักนั้นก็คือ มารยาทของการจอดรถฉุกเฉิน ซึ่งหลายต่อหลายครั้งมักจอดโดยเอาหัวรถมุดเข้าโรงจอดรถ หันท้ายรถออกมายังถนน
สิ่งชวนคิดง่ายๆ ไม่ใช่เรื่อง "มารยาท" หากแต่เป็นเรื่อง "ความรู้" และ "ความรับผิดชอบ" เสียมากกว่า
ด้วยความที่ผมไม่ใช่คนกำกับดูแลเรื่องราวเหล่านั้นด้วยตนเอง จึงได้แต่หยิกหยอกผ่านไปยังสายงานที่เกี่ยวข้อง
ซึ่งยืนยันว่า เปรยทักไปไม่กี่ครั้งหรอก เนื่องจากเกรงใจ เดี๋ยวหาว่ายุ่ง-จุ้นไม่เข้าเรื่อง
โดยส่วนตัวผมมองว่าวิถีการจอดรถเช่นนั้น ไม่น่าจะถูกต้องเสียทั้งหมด
จอดแบบนี้ มันเหมือนไม่มีความพร้อม ถ้าเตรียมพร้อมกับเหตุฉุกเฉิน ไหนหรือจะออกพื้นที่ได้ทัน
ไหนต้องมาถอยรถ -โยกนั่นนี่ เสียเวลาไปก็เยอะ
ดีๆ ไม่ดี ถึงคราวฟ้าไม่มีตา หากไม่จอดเป็นที่เป็นทางในจุดที่ควรจอด อาจโดนรถคนอื่นมาจอดปิดท้าย จนขยับออกไม่ได้-จบเห่ !
ล่าสุด-ไม่ถึงสัปดาห์ (๒๐ สิงหาคม ๒๕๕๗)
ผมลงพื้นที่ร่วมหนุนเสริมการทำงานโครงการหนึ่งหลักสูตรหนึ่งชุมชนในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง
ขณะที่นิสิตกำลังเรียนรู้ฐานของการเพาะเลี้ยงปลากระชัง
บังเอิญผมเหลือบไปเห็นเรือจอดเทียบฝั่งไว้อย่างสงบนิ่ง...
ครับ-เจ้าของเรือจอดเรือเทียบฝั่งเช่นนี้ทุกวัน
เจ้าของเรือเล่าให้ผมฟังว่า ทุกๆ วันต้องจอดแบบนี้
เอาส่วนที่เป็นที่นั่งของคนแจวเข้าชิดฝั่ง-เวลาลงมานั่งจะได้ออกเรือได้อย่างรวดเร็ว ไม่ต้องมาเงอะๆ งะๆ
หมุนซ้าย หมุนขวา
คำบอกเล่าสั้นๆ กระชับๆ แต่มีความหมายมากมายก่ายกอง พลอยให้ผมหวนคิดถึงการจอดรถพยาบาล หรือรถฉุกเฉินที่ผมเกริ่นถึงข้างต้นไปโดยปริยาย
แค่นี้แหละครับ-ผมว่าเรื่องเล็กๆ น้อยๆ มันล้วนมีความรู้ฝังในตัวมันเสมอ
ขึ้นอยู่กับเราจะให้ความสำคัญ หรือรับผิดชอบกับมันแค่ไหน
เรื่องเล็กๆน้อยๆ แต่หากทุกคนใส่ใจ คิด ทำ เป็นเรื่องดี ที่ใหญ่มากเลยนะครับ...
ครับ พี่ พ.แจ่มจำรัส
เรื่องใหญ่ ล้วนมีแก่นรากจากเรื่องเล็กๆ
เรื่องใหญ่ ๆ ในสังคม ถูกเปลี่ยนแปลงจากคนเล็กๆ -กลุ่มคนเล็กๆ ด้วยกันทั้งนั้น
เช่นเดียวกัน ปัญหาหลายเรื่อง มีรากจากการที่ใครสักคน -กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ถือสิทธิ์พิเศษ
หรือตีความสิทธิ หน้าที่บิดเบี้ยวไปเอง..
ขอบคุณครับ
ครับ คุณ ยายธี
.... หดหายไปราวกับหางกบ
เป็นคำเปรียบเปรยที่เห็นภาพจริงๆ เลยครับ
ผมเขียนเรื่องนี้ด้วยเจตนาบริสุทธิ์ใด
เป็นเรื่องเล็กๆ ที่ไม่อยากละเลย ละข้าม
เพียงต่อนำเสนอในแบบตัวเอง หยิกๆ หยอกๆ .....
ขอบพระคุณครับ
เป็นสิ่งสำคัญมาก
สำหรับการจอดรถ
เพื่อให้พร้อมและออกให้ได้เร็วที่สุด
ขอบคุณเรื่องดีๆครับ
ก็เพราะเรา ๆ ท่าน ๆ มักมองข้ามจุดเล็ก ๆ เรื่องน้อย ๆ นี่แหละจึงกลายเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โตอยู่บ่อย ๆ จนค่อนข้างจะเป็นเรื่องสามัญสำหรับคนไทยไปแล้ว....เข้าทำนองที่ว่า.................
" วัวหายล้อมคอก " ยังไงล่ะจ๊ะท่านอาจารย์แผ่นดิน
ครับ อ.ขจิต ฝอยทอง
พร้อมจอด แต่ไม่พร้อมออก...55
จึงเข้าทำนอง จอดแบบไม่ต้องแจว (อีกต่อไป)
ครับ คุณมะเดื่อ
หลายเรื่องชิน จนชา
มองเป็นสามัญธรรมดา ราวกับไม่ผิดเพี้ยน ผิดครรลอง...
เรื่องง่ายๆ ทำนองนี้ ก่อเกิดปัญหาการสูญเสียอย่างน่าใจหายครับ
บทเรียนแล้วบทเรียนเล่า แต่ไม่เคยถูกหยิบจับมาใคร่ครวญ - ใช้งาน-สร้างสรรค์
เศร้าใจไม่น้อยเลยนะครับกับเรื่องง่ายๆ พรรค์นี้