คุยเฟื่องเรื่องปลูกต้นไม้ ...โดยลุงธเนศ


  
       เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว  มีคนมาปรึกษาผมเรื่องปลูกต้นไม้กันหลายคน  เห็นเขากระตือรือร้นเรื่องนี้ผมก็ดีใจ  เลยคิดเครื่องทุ่นแรงช่วย  โดยทำแผ่นพับเล่าเรื่องปลูกต้นไม้แจกด้วย น่าจะดีกว่า  แผ่นพับเรื่อง "คุยเฟื่องเรื่องปลูกต้นไม้ โดยลุงธเนศ" จึงถูกเผยแพร่ออกไป  และผมก็ถือโอกาสนำมาแลกเปลี่ยนกับชาวบล็อกด้วย...นี่คือสาระในแผ่นพับครับ
                                                

        ขงจื๊อบอกว่า “อยากมีความสุข 3 ชั่วโมงให้ตั้งวงดื่มกิน อยากมีความสุข 3 วันให้เดินทางท่องเที่ยว อยากมีความสุข 3 สัปดาห์ให้ซื้อเสื้อผ้าใหม่ อยากมีความสุข 3 เดือนให้แต่งงานใหม่ อยากมีความสุข 3 ปีให้ปลูกบ้านใหม่ และอยากมีความสุขตลอดชีวิตให้ปลูกต้นไม้”
       
ด้วยใจที่ผูกพันกับต้นไม้มานานหลังเกษียณผมได้เปลี่ยนจากแต่งเครื่องแบบข้าราชการมาเป็นเกษตรกรเต็มตัว ได้ใช้เวลาว่างขลุกอยู่กับต้นไม้ที่บ้านสวนหลังเล็กๆ ทั้งวัน การใช้เวลาอยู่กับต้นไม้รู้สึกว่าจิตใจสงบ สบาย ไม่ต้องคิดอะไรออกไปนอกตัว จะอยู่กับปัจจุบัน อยู่กับต้นไม้ ดอกไม้ มีเรื่องให้ทำ ให้ปรับปรุงตกแต่งเพลินอยู่ตลอดทั้งวัน ไม่นานไม้ผลที่ปลูกไว้เริ่มออกดอกออกผล ไม้ดอกไม้ประดับก็เจริญงอกงาม พืชผักสวนครัว รั้วกินได้ก็ทยอยให้เก็บเกี่ยวไปบริโภคและแจกเพื่อนบ้านมิได้ขาด ผมใช้ปุ๋ยและสารชีวภาพเป็นหลัก แต่ก็เจอปัญหาเรื่องแมลงรบกวนเหมือนกัน หากไล่ด้วยสารชีวภาพแล้วเขาไม่ไปก็พยายามทำใจไม่ไปรังแกเขา ถือว่าเราแบ่งกันกินแบ่งกันใช้ก็แล้วกัน
                            
           

          ผมจะมีความสุขมากกับการ เก็บผักสดๆมาปรุงอาหารรับประทานกันเอง และแบ่งปันให้กับเพื่อนบ้าน บางวันแทบจะไม่ได้ใช้เงินเลย ซึ่งเป็นบทพิสูจน์อันล้ำค่าถึงการดำรงชีวิตที่พอเพียงหลังเกษียณอายุราชการ ทำให้นึกถึงพระราชดำรัสสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่ว่า “เกษตรทำไว้ไม่อดตาย” ผนวกกับหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงอันเป็นแนวทางสายกลาง จาก 3 ห่วง คือความพอประมาณ การมีเหตุผล การมีภูมิคุ้มกัน และ 2 เงื่อนไข คือ เงื่อนไขความรู้ และ เงื่อนไขคุณธรรม
        พ.ศ.2552 ผมคิดกิจกรรมที่ต่อเนื่องจากการปลูกต้นไม้ขึ้นมาอีก 1 กิจกรรม คือ กิจกรรมแจกต้นไม้ไปปลูกเพื่อลดโลกร้อนและสนับสนุนเศรษฐกิจพอเพียงโดยผมได้เพาะชำต้นไม้ไว้ที่บ้านสวนไทรน้อย แล้วนำมาแจกที่ซุ้มบริจาคต้นไม้ที่สร้างไว้ริมถนนติดกับบ้านพักในตัวเมืองนนทบุรี ซึ่งผมถือว่าเป็นซุ้มของทุกคน ที่มีทั้งคนมารับแจกต้นไม้ หรือถ้ามีต้นไม้ ดิน กระถาง ก็มาร่วมบริจาคแบ่งปันให้คนอื่นที่ซุ้มนี้ด้วย เพื่อจูงใจให้คนมีใจที่จะแบ่งปันให้กับคนอื่นด้วย ไม่ใช่เพียงรอรับแจกอย่างเดียว พร้อมทั้งมีการแลกเปลี่ยนความรู้เรื่องปลูกต้นไม้ และมีกิจกรรมเล็กๆอีกหลายมิติ โดยปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์
            
         คุยเรื่องปลูกต้นไม้กันดีกว่า มีคนถามผมว่าทำไมผมปลูกต้นไม้งอกงามดีจัง คงเรียนมาทางนี้จึงเชี่ยวชาญเป็นพิเศษ ผมก็ตอบไปว่า ไม่ได้เรียนทางนี้เลย แต่ด้วยใจรักจึงพยายามศึกษา แล้วเอาใจเข้าไปปลูก ลองผิดลองถูกไป ต้นไม้เป็นสิ่งที่มีชีวิต เขาก็ต้องการความรักความเอาใจใส่เหมือนกับคน ถ้าปลูกแล้วปล่อยทิ้งๆขว้างๆเขาก็จะเหี่ยวเฉาไม่งอกงาม แต่ถ้าประคบประหงมเลี้ยงดูเขามากไปเขาก็จะเคยตัว ขาดภูมิต้านทานเหมือนเด็กที่เลี้ยงไม่โต เราต้องยึดหลักทางสายกลางดีที่สุด
        ก่อนอื่นคงต้องดูพื้นที่จะปลูกและต้นไม้ที่เราอยากปลูกเป็นเบื้องต้น ถ้าบ้านเป็นทาวเฮ้าส์ หรือคอนโดฯมีเนื้อที่น้อยก็ต้องปลูกลงกระถาง ชนิดของพืชก็น่าจะเป็นไม้ดอก ไม้ประดับ ที่ต้นไม่โตนัก แล้วเลือกหลายๆชนิด ที่ เราชอบ ที่ดูดี มีรสนิยม จัดพื้นที่ ขนาดของกระถางให้ได้สัดส่วน เราสามารถปลูกได้ทั้งกลางแจ้งและในที่ร่ม
ไม้ดอก ไม้ประดับที่ชอบแดด ปลูกกลางแจ้งได้ดี ที่ผมปลูกอยู่ก็มี ทองอุไร พยับหมอก ฟ้าประดิษฐ์ เทียนหยด มะลิ กุหลาบ ชบา ยี่โถ ฟ้าประทานพร โมก เบิร์ดออฟพาราไดร์ พวงคราม รักแรกพบ มธุรดา ม่วงส่าหรี บัวดิน กล้วยไม้ดิน คล้าน้ำ เพชรน้ำหนึ่ง ฯลฯ ไม้ประดับที่ปลูกได้ในร่ม เช่น สาวน้อยประแป้ง วาสนา ลิ้นมังกร เดหลี อโกลนีมา กล้วยไม้(แดดรำไร) เป็นต้น ขนาดกระถางก็ต้องดูตามขนาดต้นไม้ ถ้าต้นโตไปเราก็ตัดแต่งกิ่งได้ จะได้มีกิจกรรมทำไม่เหงา
ที่ผมอยากให้ทุกบ้านแม้จะมีพื้นที่มากหรือพื้นที่น้อยควรปลูกไว้เพื่อรับประทานเองก็คือพืชผักสวนครัว เช่น พริก กระเพรา โหระพา ยี่หร่า แมงลัก ข่า ตระไคร้ สะระแหน่ ผักชี ผักกาด ผักคะน้า ผักชี คื่นช่าย จิงจูฉ่าย มะเขือ มะเขือเทศ ชะพลู แว่นแก้ว ฯลฯ ถ้าพอมีพื้นที่ริมรั้วพอจะปลูกพืชรั้วกินได้ก็ควรปลูกไว้ทาน เช่น ตำลึง บวบ ฟักแฟง แตงกวา ถั่วพลู ถั่วฝักยาว แก้วมังกร เป็นต้น
           ถ้ามีพื้นที่พอจะแบ่งปลูกไม้ผล ไม้กินยอดไว้รับประทานอย่างละต้น ก็จะเป็นทั้งไม้ประดับ ให้ร่มเงาและรับประทานผลัดเปลี่ยนกันไปได้ทั้งปี ผมมีเนื้อที่ไม่มากแต่ก็ปลูกได้หลายอย่าง เช่น มะม่วง มะยงชิด มะละกอ ชมพู่ ฝรั่ง กระท้อน มะกอก มะเฟือง มะขาม มะยม ลิ้นจี่ ลำไย มังคุด กล้วย มัลเบอรี่ ทิซซ่า กระเจี้ยบ มันปู มะตูมแขก ชะมวง แค มะกรูด เป็นต้น ที่ควรปลูกไว้อย่างยิ่งคือมะนาว เราสามารถปลูกไว้ในกระถางหรือในท่อก็ได้
           
                                                    
            พืชสมุนไพ
เป็นพืชที่ผมปลูกไว้ใช้และแจกจ่ายตลอด เช่น ย่านางเบญจรงค์ หรืออ่อมแซบ หรือ ตำลึงหวาน จิงจูฉ่าย หญ้าไผ่น้ำ แปะตำปึง ฮว่านง็อก ฟ้าทะลายโจร ว่านมหากาฬ เสลดพังพอน ทองพันชั่ง เป็นต้น

วิธีปลูก ก็แล้วแต่ละชนิดของพืช ถ้าเป็นไม้ดอกไม้ประดับที่ไปซื้อมาจากร้านซึ่งเขาเพาะชำ ใส่ถุงใส่กระถางไว้แล้ว ก็นำมาแยกปลูกลงในสถานที่หรือในภาชนะที่เราเตรียมไว้แล้ว เช่น อาจปลูกลงดิน หรือปลูกลงกระถางก็ได้
แต่ประเด็นสำคัญอยู่ที่การเตรียมดินปลูก หลายคนไปซื้อดินถุงที่เขาขายตามร้านขายวัสดุการเกษตร แล้วเขาโฆษณาสรรพคุณต่างๆ เช่น ดินปุ๋ยหมัก ดินก้ามปู มีธาตุอาหารพืชครบถ้วน แต่จริงๆแล้วมีคุณค่าน้อยมาก นำมาใส่กระถางปลูกไม่นานดินก็แน่น และแข็งตัว พืชจะไม่ค่อยงอกงาม แถมมีโรคพืช เชื้อรา มดแมลงต่างๆรบกวนง่าย ยิ่งใส่ปุ๋ยวิทยาศาสตร์เข้าไปก็ไม่ได้ช่วยให้งอกงามได้เท่าใดนัก ยิ่งทำให้ดินแน่นและเสื่อมคุณภาพเร็วเข้าอีก
         แรกทีเดียวผมจะใช้ดินถุงผสมกับปุ๋ยคอกคลุกให้เข้ากันนำไปปลูก ถ้าเป็นพืชต้องการน้ำมากก็จะรองก้นด้วยโพลิเมอร์เล็กน้อย เพื่อให้อุ้มน้ำ ซึ่งก็ได้ผลดีระยะแรก แต่ก็ยังเจอปัญหาโรคพืช มด แมลง เพลี้ยรบกวนและรากเน่าอีก ผมจึงคิดค้นพัฒนาทดลองผสมดินสูตรพิเศษของตัวเองขึ้น โดยนำดินถุง 2 ส่วน ผสมปุ๋ยคอก โดโลไมท์ และ แกลบดำ อีกอย่างละ 1 ส่วน คลุกเคล้าให้เข้ากัน ปรากฏว่าสามารถแก้ปัญหาได้ทุกเรื่อง จึงสรุปว่า “ใช่เลย” และใช้สูตรพิเศษของผมเรื่อยมา เนื่องจากแต่ละส่วนผสมมีคุณสมบัติเฉพาะตัว คือ แกลบดำ ช่วยเก็บความชื้น ระบายน้ำได้ดี เกือบจะไม่ย่อยสลาย และมีสภาพเป็นกลาง(ไม่เป็นกรดและด่าง) โดโลไมท์ เป็นสารปรับสภาพดิน และปรับโครงสร้างดิน ลดความเป็นกรด มีแคลเซียมและแมกนีเซียม ช่วยป้องกันเชื้อราและโรคพืชได้ดี ส่วนปุ๋ยคอก และดินก็เป็นส่วนผสมที่ให้ธาตุอาหารพืชอย่างครบถ้วน เมื่อรวมทุกตัวเข้าด้วยกันจึงมีคุณสมบัติที่ผมยอมรับว่าลงตัวที่สุดในขณะนี้
         ผมปลูกพืชทั้งลงกระถางและลงดินจะใช้ดินสูตรพิเศษนี้เสมอมา ต้นไม้ที่ผมปลูกจึงงอกงามออกดอก ออกผลอย่างผิดตา แทบจะไม่ต้องใส่ปุ๋ยวิทยาศาสตร์เลย นานๆครั้งจึงจะเติมปุ๋ยคอก ฉีดปุ๋ยชีวภาพ หรือเติมดินสูตรนี้เพิ่มลงไป แต่นั่นแหละถึงอย่างไรก็ยังคงมีโรคพืชและแมลงที่ดื้อด้านเข้ามารบกวนเหมือนกัน ผมเองรักษาศีลจะหลีกเลี่ยงการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต จึงไม่ใช้สารเคมีฉีดไปฆ่าเขาแต่จะไล่เขาไปด้วยสารชีวภาพ แรกทีเดียวก็ใช้สารสะเดา แต่ตอนนี้เห็นว่าน้ำส้มควันไม้จะดีกว่า แม้ราคาจะแพงกว่ากันสักหน่อย ใช้เพียงแค่ 1 ช้อนโต๊ะต่อน้ำ 1 ถัง (20 ลิตร) ฉีดสัปดาห์ละครั้ง ไม่เป็นอันตรายต่อเราและสิ่งแวดล้อม แถมป้องกันเชื้อราด้วย พอเขาได้กลิ่นเขาก็จะหนีไปเอง แต่ถ้าเขายังดื้อด้านก็ต้องปล่อยเขาไป ถือว่าแบ่งกันกินแบ่งกันใช้ก็แล้วกัน
         ใครอยากลองทำดูบ้างก็เชิญเลยนะครับ มีความสุขจริงๆนะจะบอกให้.
                                                                             ************************************** 

หมายเลขบันทึก: 573684เขียนเมื่อ 2 สิงหาคม 2014 13:51 น. ()แก้ไขเมื่อ 3 สิงหาคม 2014 20:14 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

<p>มีสวนริมระเบียงมาฝากเจ้าค่ะ…</p>

ดีมากครับ. ผมปลูกไม้ป่า ผักสวนครัวไม่ค่อยถนัด

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท