ลุงเหมย
ข้าราชการครูบำนาญ นายชุมพล บุญเหมย

พ่อแม่ที่สมบูรณ์แบบและบุตรที่ประเสริฐสุด ตอนที่ ๓


มนุษย์เก่ง...แต่ไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม ... เดี๋ยวนี้คนในโลกนี้มิได้รู้เขาให้เล่าให้ เรียนกันมากมาย มันก็ไม่รู้ มนุษย์ได้รับการศึกษาอบรมเก่งกล้าสามารถจะไปเหาะเดินอากาศ ไปใต้มหาสมุทรหรือจะทำอะไรก็ได้ ไปเหยียบพระจันทร์เล่นก็ได้ หรือทำกันเรียกว่าเหลือที่จะคาดคิดได้ มนุษย์ก็เก่งถึงอย่างนี้ อาตมาเปรียบว่า มนุษย์สมัยนี้เก่งกว่าพระวิษณุกรมในเรื่องนิยาย ที่เราเคยได้ยินได้ฟังมาเสียอีก ... ครั้นถามว่า มนุษย์เก่งอย่างนี้ จะไปที่ไหนกันเว้ย ? มนุษย์ก็ตอบว่า ไม่รู้เว้ย ไปถามคอมพิวเตอร์. จึงถามต่อไปว่า ... อะไรที่ดีที่สุดที่มนุษย์เราควรจะได้ ? เขาก็บอกว่า ไม่รู้เว้ย ไปถามคอมพิวเตอร์. ถ้าแกมัวไม่รู้อย่างนี้ แกจะเดินอย่างนี้ให้มันถูกเรื่องถูกราว ไปหาที่ที่ควรจะไปได้อย่างไร ? เขาก็บอกว่า ไม่รู้เว้ย ไปถามคอมพิวเตอร์ มนุษย์สมัยนี้ไม่รู้ว่า เกิดมาทำไม ? จะไปที่ไหน ? จะได้อะไร ? เขายังไม่รู้ ถ้าใครไปถามเขา เขาก็บอกว่า ไปถามคอมพิวเตอร์......อาตมาไม่ใช่จะอวดดี แต่อยากจะอวดสักหน่อย ไม่ใช่อวดดีว่า...ไม่อยากไปเมืองนอก ไม่อยากไปเที่ยวเมืองนอก ถึงแม้ใครจะลงทุนให้ไปก็ไม่ไป เพราะกลัวจะไปพบคำตอบว่า..ไปถามคอมพิวเตอร์. ไปที่ไหน ๆ ก็มัวแต่ไปถามคอมพิวเตอร์ แล้วเราก็โง่กลับมา เพราะฉะนั้น ไม่อยากไปเมืองนอกกับเขาดอก กลัวจะได้รับคำตอบว่า ไปถามคอมพิวเตอร์ ... มนุษย์เราไม่รู้ว่า จะเกิดมาทำไม ? จะได้อะไร ? ได้โดยวิธีใด ? พอไม่รู้ก็ให้ไปถามคอมพิวเตอร์ ; นี่ก็บ้ากันกี่มากน้อย มนุษย์เกิดมา สร้างคอมพิวเตอร์ แล้วก็ไปถามคอมพิวเตอร์ ให้คอมพิวเตอร์เป็นผู้บัญชา ว่ามนุษย์จะต้องทำอะไร ? ขอให้ไปคิดดูให้ดี ๆ  ..... เอาละ...ขอให้สรุปความกันให้ได้ว่า พ่อแม่สมบูรณ์แบบนั้น คือ พ่อแม่ที่ให้การเกิดทางร่างกายที่ดีที่สุด ครั้นมีการเกิดทางร่างกายที่ดีที่สุดแล้ว ก็ให้มีการเกิดในทางวิญญาณที่ดีที่สุด อีกระยะหนึ่ง อีกตอนหนึ่ง หรืออีกขั้นหนึ่ง แล้วเรื่องก็จบเท่านี้แหละ มันไม่มีอะไรอีกแล้ว เพราะไปถึงจุดสูงสุดที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ ... ขอร้องให้ทบทวนดูอีกครั้งหนึ่งว่า พ่อแม่สมบูรณ์แบบทั้งการเกิดฝ่ายร่างกายและฝ่ายวิญญาณนี้สำคัญไหม ? สำคัญกี่มากน้อย ? ทำไมไม่สนใจ ? ทำไมมองข้าม ทำไมไม่รู้ไม่ชี้ว่าจะต้องมีกันอย่างไร ? จึงขอฝากไว้ในฐานะเป็นสิ่งสำคัญที่พากันมองข้าม.....

บุตรเป็นวัตถุของมนุษย์ทีนี้ก็จะพูดถึงสิ่งที่เรียกกันว่าลูก พ่อแม่ก็ต้องมีลูก มีลูกก็ต้องมีพ่อแม่ ถ้าไม่มีลูกก็ไม่มีความเป็นพ่อแม่ หรือว่าลูกมันจะมีโดยไม่มีพ่อแม่นั้นก็ไม่ได้ ดังนั้น พ่อแม่กับลูก ก็ต้องเป็นสิ่งที่ต้องมีคู่กันไปเสมอ เหมือนฝากับตัวนี้ต้องมีเป็นคู่กัน ... จะเป็นพ่อแม่ที่ดีได้ ก็เพราะว่ามีลูกที่ดี ไม่มีพ่อแม่ที่ดี ลูกก็ดีไปไม่ได้ นี่หมายถึงพ่อแม่ที่ให้ความเกิดอย่างถูกต้องทั้งทางกายและทางวิญญาณ อย่างที่กล่าวมาแล้ว ..... มีพระบาลี ซึ่งจำได้ว่า จะเป็นพุทธภาษิตด้วยซ้ำไปว่า ปุตฺตา วตฺถุ มนุสฺสานํ คือมีผู้มาถามพระพุทธเจ้าว่า อะไรเป็นวัตถุของหมู่มนุษย์ ? ท่านว่า ปุตฺตา วตฺถุ มนุสฺสานํ บุตรเป็นวัตถุของมนุษย์ ..... ทีนี้คำว่า วัตถุ นี้ เดี๋ยวนี้ เราใช้สำหรับสิ่งไม่มีชีวิตวิญญาณ เช่น ก้อนอิฐ ก้อนดิน ก้อนหิน อะไรต่าง ๆ นี้เป็นวัตถุ ? ถ้าเข้าใจอย่างนี้แล้วก็ผิดเรื่องผิดราวไปหมด เข้าใจกันไม่ได้ วัตถุ ในที่นี้มันแปลว่า สิ่งที่เพ่งเล็ง เราเพ่งเล็งไปยังสิ่งใด สิ่งนั้นก็เป็นวัตถุ ซึ่งเป็นที่ตั้งแห่งการเพ่งเล็ง นี่วัตถุมีความหมายอย่างนี้ ..... ทีนี้อีกข้อหนึ่ง อีกความหมายหนึ่ง วัตถุ นี้แปลว่า ที่ตั้ง ที่อาศัย วัตถุ แปลว่า ที่ตั้งที่อาศัย ไม่มีวัตถุที่ตั้งที่อาศัยแล้ว มันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้ ที่แท้มันเกือบจะเป็นสิ่งเดียวกันนั่นแหละ ถ้าอะไรมันเป็นที่ตั้งที่อาศัยได้ คนก็เพ่งเล็งที่นั่น เมื่อไปเพ่งเล็งที่นั่นจนแจ่มแจ้ง มันก็ใช้เป็นที่ตั้งที่อาศัยได้ ..... อย่างว่า ทำกรรมฐานก็มีอารมณ์สำหรับกรรมฐาน อารมณ์ของกรรมฐานนั่นแหละ คือวัตถุสำหรับเพ่งเล็ง ต้องเพ่งจิตไปที่นั่น ที่วัตถุนั่น แล้ววัตถุนั้นมันเป็นที่ตั้งที่อาศัยของกรรมฐาน ฉะนั้น อารมณ์ของกรรมฐานจึงเป็นวัตถุที่เพ่งเล็ง และเป็นที่ตั้งที่อาศัยของการทำกรรมฐาน นี่เป็นตัวอย่าง
         บุตรเป็นวัตถุของมนุษย์อย่างไร   ทีนี้เราก็มาดูกันว่า บุตร คือ ลูก หลาน เหลน  นี้เป็นวัตถุของมนุษย์อย่างไร ?
         นัยที่  ๑   เป็นที่เพ่งเล็ง   ก็หมายความว่า บุตรนี้เ็นที่เพ่งเล็งของพ่อแม่ พ่อแม่ที่ยังไม่เคยมีบุตร ก็เพ่งเล็งที่จะมีบุตร ความอยากมีบุตรนั่นแหละ ฉะนั้นบุตรจึงเป็นวัตถุที่เพ่งเล็งของคนที่เป็นพ่อแม่  มนุษย์ทั้งหลายเพ่งเล็งที่จะได้บุตร สำหรับสืบสกุลก็ตามใจ สำหรับจะเลี้ยงดูเมื่อตนแก่เฒ่าก็ตามใจ หรือสำหรับจะเป็นประโยชน์อื่นก็ได้ สามีภรรยานั้นเขาเพ่งเล็งที่จะได้บุตร ฉะนั้น บุตรจึงเป็นที่เพ่งเล็งของมนุษย์ ซึ่งเป็นโดยธรรมชาติที่สามีภรรยาเขาเพ่งเล็งที่จะได้หกบุตร หรือจะเป็นโดยสติปัญญาเหตุผลอะไรก็ยังได้เหมือนกัน ท่านทั้งหลายที่เป็นบิดามารดามาแล้ว ก็ไปนึกทบทวนดู ว่า เคยมีความประงค์มุ่งหมายเพ่งเล็งอย่างนี้หรือเปล่า แล้วก็รู้ได้เองว่า บุตรนี้เป็นที่เพ่งเล็งอย่างไร
                 ทีนี้ นัยที่  ๒  คือ บุตรเป็นวัตถุที่ตั้งอาศัยของหมู่มนุษย์ นี้เห็นได้ง่ายเหลือเกินว่า ถ้าไม่มีบุตร มนุษย์ก็สูญพันธุ์ ไม่ต้องอธิบายอะไรมาก ถ้าไม่มีบุตรออกมานุษย์ก็สูญพันธุ์แล้ว ไม่ได้มานั่งพูดกันอยู่ที่นี่ ฉะนั้นที่ตั้งที่อาศัยสำหรับจะให้มนุษย์ยังคงอยู่ ก็คือบุตรนั่นเอง การมีบุตร ก็คือการสร้างที่ตั้งที่อาศัยำหรับมนุษย์ให้คงอยู่ต่อไป อย่าให้มนุษย์สูญพัานธุ์ ก็นับว่าเป็นการกระทำที่ถูกต้อง ตามความหมายนี้ในระดับนี้ ..... ถ้าไม่มีบุตร มนุษย์ก็สูญพันธ์ โลกนี้ก็ไม่มีความหมายะไร ถ้าไม่มีมนุษย์อาศัยในโลก เหมือนกับที่เราพูดกันเดี๋ยนี้ว่า อนาคตนี้ฝากไว้กับยุวชน คือ เด็ก ๆ  เดี๋ยวนี้ก็พูดกันมากว่า เด็ก ๆ นั้น คือ อนาคตของชาติ หรืออนาคตของโลก  บุตรจึงมีความสำคัญถึขนาดที่ว่า จะอยู่หรือจะหมดสิ้น ก็เพราะบุตร เพราะยุวชน ..... ทีนี้ก็มาพูดถึง ปัญหาที่เนื่องกันอยู่ เราจะมีบุตรชนิดไหนกัน ที่จะเป็นที่ตั้งอาศัยของมนุษย์ได้ แล้วเราก็จะเพ่งเล็งบุตรชนิดนั้นแหละ เรามาศึกษาให้เข้าใจกักกนเสียก่อนว่า เราจะมีบุตรชนิดไหนมนุษย์จึงจะอยู่รอด ไม่สูญพันธุ์ และเป็นโลกมนุษย์ที่ดี ที่น่าอยู่ ทีนี้เราก็เพ่งเล็งบุตรชนิดนั้น ฉะนั้น เราอย่าถือกันง่าย ๆ ว่า  มันเป็นเรื่องธรรมชาติ หมู หมา กา ไก่ มันก็ทำของมันได้ มันก็มีบุตรของมันได้ นั่นก็เป็นเรื่องของ หมู หมา กา ไก่  แต่ คนไม่ควรเป็นเช่นนั้น คนควรจะมีการเพ่งเล็งเลือกอย่างนั้นอย่างนี้ ตามที่ควรจะเป็น ฉะนั้น เราจึงมีจุดมุ่งหมายที่ว่าจะมีบุตรกันอย่างไร จึงจะเป็นี่ตั้งของมนุษยชาติ คือ ความมีอยู่ของมนุษย์นั้นเอง ..... เราได้พบเห็นบุตรที่เลว ๆ เขามีค่าเป็นของสกปรกชิ้นหนึ่ง ดุ้นหนึ่ง ออกมาจากท้องของมารดา เขามีความหมายเพียงเท่านั้น อย่างนี้ก็จะไม่เรียกว่าบุตร เรียกว่า ก้อนสกปรกก้อนหนึ่ง ออกมาจากบิดามารดาเสียมากกว่า ต้องเป็นบุตร คือ เป็นที่ตั้งขอมนุษย์ เป็นที่พึงปรารถนาของบิดามารดา  แต่ถึงอย่างไรก็ดี ข้อนี้มันก็ขึ้นอยู่กับบิดามารดา อย่างที่ได้กล่าวมาแล้ว คือว่ามัน เป็นการยาก ที่บุตรเขาจะสร้างตัวเองขึ้นมาได้ เพราะว่าเขาเป็นนทารก หรือว่าก่อนทารก เขาก็นึกคิดอะไรไม่ได้ ฉะนั้นจึงขึ้นอยู่กับบิดามารดา ที่จะทำให้เขาเกิดมาอย่างไร แล้วเกิดมาจะสอน จะอบรมกันอย่างไร จึงจะเป็นบุตรที่ดี หน้าที่ของบุตรจึงมีเพียงอย่างเดียว คือเชื่อฟังบิดามารดา

ท่านกัลยาณชนและรัตนมิตรที่เคารพของอีตาลุงเหมยทุกท่าน...เรามาถึงตอนที่ 2 ของเรื่องพ่อแม่ที่สมบูณ์แบบและบุตรที่ประเสริญสุด ซึ่งอีตาลุงเหมยได้คัดออกมาจากบทจของการบรรยายของท่านพุทธทาสภิกขุนี้แล้ว ... ซึ่งตอนต่อไปก็จะเป็่นตอนที่ ๓ บุตรที่ดีที่สุด คือบุตรที่เชื่อฟัง ในวันต่อไปครับ วันนี้ขอกราบในบุญบารมีของทุกท่านด้วยความเคารพอย่างสูงอีกครั้งครับ ... สาธุ

หมายเลขบันทึก: 572699เขียนเมื่อ 18 กรกฎาคม 2014 11:28 น. ()แก้ไขเมื่อ 18 กรกฎาคม 2014 11:28 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท