แล้วมัน(มะเร็งระยะท้าย) มีข้อดีบ้างมั้ย


น้องฝน ..เป็นคุณแม่ลูกหนึ่ง ป่วยเป็นมะเร็งผิวหนังชนิดร้ายแรงที่มีการลุกลามไปอวัยวะต่างๆหลายแห่ง ด้วยวัยเพียง ๔๒ ปีเท่านั้น

วันที่ผมเจอฝนครั้งแรก เป็นวันที่เธอเพิ่งทราบข่าวร้ายจากคุณหมอรักษามะเร็งอีกท่านหนึ่ง ที่บอกเธอว่า การรักษาด้วยยาเคมีบำบัดในโครงการไม่ได้ผล ต้องหยุดการรักษาดังกล่าว ที่เสมือนเป็นความหวังเดียวที่เหลืออยู่ของเธอแล้ว เธอถูกส่งตัวมาในสภาพต้องให้สามีเข็นรถนั่งให้ เพื่อมาคุยกับผมเรื่องการฉายรังสีระงับความปวดจากมะเร็งที่ลุกลามไปกระดูกทั่วตัว

ใครเห็นน้องฝนตอนนั้น ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า เธอเศร้าและเป็นทุกข์เหลือเกิน

ผมเหลือบไปมองแบบสอบถาม Palliative Outcome Scale ที่เธอตอบระหว่างรอพบผม .. คะแนน ๓ - ๔ (หมายถึงปัญหารุนแรง) เด็มไปพืด

แต่พอผมถามคำถามแรกเธอว่า อะไรคือสิ่งที่เป็นทุกข์มากที่สุดตอนนี้ 

เธอตอบว่า มันคือ ความปวดอย่างรุนแรง ผมก็เลยคุยกับเธอเรื่องความปวด ตั้งแต่การปรับยาระงับปวดใหม่ ไปจนถึงการฉายรังสี ตามที่เธอถูกส่งตัวมา

วันแรกนั้น ด้วยเวลาที่จำกัด เราคุยกันไม่มาก ส่วนใหญ่เป็นเรื่องอาการทางกายที่เธอเป็นอยู่ รวมถึงอาการที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต ที่เธอจะต้องเตรียมตัวรับมือ จนกระทั่งเธอตัดสินใจว่าจะฉายรังสี เราคุยกันได้แค่นั้น

ตลอดเวลาที่เราเราคุยกัน เธอต้องกลั้นทั้งน้ำตาและอารมณ์ไว้อย่างสุดความสามารถ

ผมต้องหาเวลาคุยกับเธอต่อ

.. .. ..

วันรุ่งขึ้น น้องฝนมาหาผมพร้อมกับสามี หน้าตาเธอสดใสขึ้นกว่าเก่าอย่างเห็นได้ชัด ที่สำคัญ..เธอเดินเข้ามาในห้องตรวจเอง โดยไม่ต้องใช้รถเข็นอีก

ผมทักเธอทันทีที่นั่งลง วันนี้ดูดีขึ้นกว่าเมื่อวาน เกิดอะไรขึ้น”

ฝนตอบผมว่า “กินยาแก้ปวดตามที่หมอบอก อาการปวดดีขึ้น แล้วก็เลยได้คุยเรื่องนี้กับแฟน” เธอหันไปหาสามีชาวมาเลย์ที่ตามเธอมาด้วยตั้งแต่เมื่อวาน ฝนเล่าว่า เมื่อรู้ว่าโรคไม่หาย จึงตัดสินใจกลับไปอยู่บ้านเดิมที่จังหวัดหนึ่งทางภาคเหนือตอนล่าง เพราะคิดว่า น่าจะมีคนดูแลเธอได้ดีกว่า ค่าใช้จ่ายน้อยกว่า โดยที่สามีจะได้ทำงานไป ไม่ต้องเป็นห่วงเธอมากนัก

ตลอดเวลาที่ฝนเล่าเรื่องนี้ ผมสังเกตว่า ทั้งน้ำเสียง ทั้งแววตา เธอเป็นคนที่เข้มแข็ง สู้ชีวิต จึงได้จังหวะชมว่า “เก่งนะ ที่กล้าชวนสามีคุยเรื่องนี้”

เธอบอกว่า เมื่อก่อนสามีเธอไม่ค่อยเชื่อว่าเธอเจ็บหนัก ไม่อยากให้เธอกลับบ้าน แต่คุยกันล่าสุด เขายอมแล้ว

สามีชาวมาเลย์ที่บอกผมว่า ฟังภาษาไทยได้ ๘๐% ถามผมสำเนียงไทยปนจีนว่า “มะเร็งกี่ %”

เล่นเอาผมงง จนน้องฝนต้องช่วยอธิบายว่า หมายถึง ..มะเร็งเป็นมากมั้ย

ผมร้องอ๋อ แล้วตอบว่า “เป็นมาก กระจายไปทั้งตัวแล้ว”

ผมบอกกับฝนและสามีว่า “วันนี้ ผมเบาใจที่เห็นเขาดูสบายใจขึ้นกว่าเมื่อวาน”  และอยากรู้ว่า ..อะไรทำให้เขารับมือกับเรื่องร้ายๆพวกนี้ได้

ตอนแรก ฝนตอบผมว่า “ก็พยายามไม่คิดมาก” ซึ่งเป็นคำตอบว่า ..อย่างไร ไม่ใช่ ..อะไร 

พอผมวกกลับมาถามอีกครั้งว่า อะไร.. คราวนี้ ฝนตอบผมด้วยนำเสียงสั่นเครือเป็นครั้งแรกของวันนี้ “เพราะลูก”

เราจึงคุยกันถึง ‘จิตวิญญาณหรือหัวใจ’ ของเธอ  ว่าเธอวางแผนเกี่ยวกับลูกอย่างไร ซึ่งฝนตอบได้ชัดเจนเกี่ยวกับ ลูกสาวคนเดียววัยสิบกว่าขวบ ว่า ที่จะกลับไปบ้านเกิด ก็จะเอาลูกไปอยู่ด้วย ญาติพี่น้องทางนั้นเขารับเลี้ยงได้อยู่แล้ว “เพราะเขาก็เลี้ยงหนูมา” ไม่อยากให้ลูกอยู่กับสามี เพราะเขาต้องทำงาน คงไม่มีเวลาดูแลเด็กเท่าไร ซึ่งสามีของเธอก็พยักหน้าเห็นด้วย

ฝนเป็นคนวางแผนจัดการชีวิตได้ดี รวมถึงจัดการสามีเธอด้วย เธอเล่าว่า กำลังชวนสามีไปอยู่ที่บ้านเกิดเธอตอนนี้เลย จะได้คุ้นเคยกับญาติๆของเธอ จะได้อยู่ด้วยกันพ่อลูก เวลาเธอไม่อยู่ ซึ่งสามีของเธอก็กังวลแค่ว่า จะมีงานให้ทำที่โน่นหรือเปล่าเท่านั้น

คุยกันวันนี้ ผมหายห่วงคนไข้ของผมคนนี้ไปเยอะเลย แต่ก็ยังอยากรู้ ผมถามเธอปิดท้ายว่า “เท่าที่ฟังมา มะเร็งมันทำให้เราเป็นทุกข์หลายเรื่อง แล้วมัน(มะเร็งระยะท้าย) มีข้อดีบ้างมั้ย”

ฝนนิ่งไปครู่หนึ่ง ใช้ความคิด ก่อนจะตอบประโยคแรกออกมาอย่างกระท่อนกระแท่น เพราะสะอื้น “..ได้เห็นน้ำใจของคน ญาติพี่น้อง เพื่อน ..แล้วก็...เขา”

กว่าจะหลุดคำว่า ‘เขา’ ซึ่งหมายถึง สามีชาวมาเลย์ ที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกันทีคนนี้ ออกมาได้ ผมก็ลุ้นน่าดู

ผมถือโอกาสชมสามีของฝน ว่า “นานๆจะเห็นสามีที่ตามมาดูแลภรรยาแบบนี้” ผมไม่ได้พูดเกินเลย เขาเป็นอย่างนั้น แล้วก็นานๆจะเห็นสามีดีๆแบบนี้สักที  แล้วแกล้งแหย่คนไข้ว่า "แล้วได้ชมหรือขอบคุณเขาบ้างป่าว"  

ฝนส่ายหน้า

แต่ผมคิดว่าไม่จำเป็นต้องพูดออกมาเป็นคำแล้ว ฝนชมสามีออกไปแล้ว เมื่อตะกี้ 

“อะไรอีก” ผมถามฝนต่อ หมายถึง ข้อดีของมะเร็ง

“ได้รู้เวลาของเรา ได้วางแผนว่าจะทำอะไร ดีกว่าอยู่ดีๆก็ตายไปเลยแบบเจออุบัติเหตุ อย่างน้อยหนูก็ได้วางแผนเรื่องลูก เรื่องเขา”

เป็นตัวอย่างการเก็บสุขกลางทุกข์ ที่ดีอีกเรื่องหนึ่ง

หมายเลขบันทึก: 572697เขียนเมื่อ 18 กรกฎาคม 2014 11:13 น. ()แก้ไขเมื่อ 20 กรกฎาคม 2014 16:40 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)

“ได้รู้เวลาของเรา ได้วางแผนว่าจะทำอะไร ดีกว่าอยู่ดีๆก็ตายไปเลยแบบเจออุบัติเหตุ อย่างน้อยหนูก็ได้วางแผนเรื่องลูก เรื่องเขา”

เป็นตัวอย่างการเก็บสุขกลางทุกข์ ที่ดีอีกเรื่องหนึ่ง

..

ขอบคุณมากนะครับอาจารย์

ด้วยความระลึกถึงอาจารย์นะครับ

ชอบมาก..ๆๆที่ทำให้เห็น..ข้อดีข้อเสีย..ขอบคุณกับคำโบราณที่ว่า..ถ้าไม่เห็นโลง..ก็..ไม่หลั่งน้ำตา..ทำให้เราเข้าใจ..อะไรๆมากขึ้น..ในจิตสำนึก..ต่อวันๆ..(มีดอกไม้ที่จวนจะเน่ามาฝาก..มันขึ้นรา..เจ้าค่ะ..)

  • ผมไม่แน่ใจว่า เราจะคิดได้อย่างน้องฝนหรือเปล่า เมื่อถึงวันนั้นของเราเอง 
  • ต้องบอกว่า น้องฝนเขาพลิกจากคนที่ต้องเยียวยา กลายเป็นคนที่เยียวยาเราไปเลยครับ

<ul><li>ดอกไม้จวนเน่า ก็สวยไปอีกแบบครับ</li></ul>

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท