​วันที่เขา ต้องการฉันไปเป็นตัวประกัน


วันที่เขา ต้องการฉันไปเป็นตัวประกัน


เสียงวิ่งเล่นของเด็กๆลูกหลานโรงพยาบาลที่หน้าห้องแถวบ้านพักหลวงทำให้ฉันรู้สึกตัวตื่นลืมตาขึ้นมา “เป็นเช้าของอีกวันแล้วสินะ” เสียงหัวเราะของเด็กดึงดูดให้ฉันลุกออกจากเตียง เก็บที่นอนให้เรียบร้อยเดินออกจากห้องลงบันได ไม่กี่ก้าวก็ถึงหน้าบ้าน วันนี้คงเป็นวันที่ดีสำหรับฉันอีกวันท้องฟ้าดูปลอดโปร่ง อุณหภูมิของอากาศเย็นสบาย ดอกแคทลียาสีชมพูอมม่วงส่ายไหวช้าๆเป็นตามแรงลมพัดคุณสามีชอบแคทลียาส่วนฉันชอบกล้วยไม้ป่า ซึ่งนานกว่าจะมีดอกให้ชื่นชมสักครั้งตามฤดูกาลของมัน

เด็กๆยังคงวิ่งไล่หยอกล้อกันตามประสาก่อนที่รถโรงเรียนจะมารับ ฉันมองดูพวกเขาอย่างมีความสุขอมยิ้มที่มุมปาก ฉันแอบปลาบปลื้มลูกๆของคนอื่นเสมอ อาจจะเป็นเพราะความไม่มีลูกของฉันด้วยกระมังฉันขอกอดและหอมแก้มพวกเขาทุกครั้งที่มีโอกาส มันเป็นกำลังใจแม้...บางครั้งมันทำให้ฉันสลด เมื่อเด็กเอามือปาดแก้มลบร่องรอยของปลายจมูกฉัน วันนี้พวกเขาทำให้ฉันมีความสุขอีกเช่นเคยฉันยิ้มกว้างไปที่พวกเขา ก่อนเดินกลับเข้าไปในตัวบ้าน

ฉันอาบน้ำแต่งตัวฮัมเพลง อย่างมีความสุข เดินทอดน่องอย่างอารมณ์ดีออกจากบ้านไปยังโรงอาหาร มีเจ้าหน้าที่หลายคนเดินไปมา ต่างทักทายหยอกล้อตามประสาคนคุ้นเคย ฉันยังไม่ทันได้สั่งข้าว ก็มีคนเล่าให้ฟังว่า“มีคนไข้หนัก น่าสงสารมากเมียเพิ่งคลอดลูกด้วย”

“จริงสิ”ฉันนึกขึ้นได้ว่าเมื่อคืนน้องโทรบอก ฉันเดินออกจากโรงอาหารตรงไปที่ไอซียู ภายในห้องฉันมองเห็นหนึ่งในแปดเตียงที่เรามีมีคุณหมอสองท่านพยาบาลเวรดึกอีกสองคน กำลังปั้มเลือดให้คนไข้ฉันมองไปที่เครื่องติดตามสัญญาณชีพ ชีพจรเร็วมาก ความดันโลหิตต่ำมากด้วย

“ยังไม่ดีขึ้นเลยเหรอ”ฉันพูดขึ้นอย่างไม่ได้เจาะจงจะถามใคร

“อาการไม่ค่อยดีพี่”คุณหมอดมยาผู้ที่ไม่เคยทิ้งคนไข้ในยามวิกฤติบอกกับฉัน

“ตับอ่อนอักเสบเกร็ดเลือดต่ำมาก เลือดไหลไม่หยุด” คุณหมอศัลยแพทย์มือหนึ่งของโรงพยาบาลพูดต่อคุณหมอให้ความใส่ใจคนไข้ทุกคน เมื่อคืนก็คงเฝ้าคนไข้ทั้งคืน เพราะดูอิดโรยเต็มที

“พลอยเปลี่ยนคนปั้มไหม” เมื่อฉันเห็นว่า ยูนิฟอร์มของน้องเปรอะเปื้อนไปหมดแล้ว

“ชุดที่สองของหนูแล้วโชกเลือดไปตามๆกัน” น้องเปลี่ยนยูนิฟอร์มไปครั้งหนึ่งแล้ว น้องบอกต่อว่า เมื่อคืนหาเลือดกันทั้งคืน ทั้งพลาสมาทั้งเกร็ดเลือด ปั้มเข้าไปเท่าไรก็ออกเท่านั้น

“จริงด้วยมีจุดจ้ำเลือดตามแขนขา มีเลือดซึมออกตามรูขุมขน”ฉันตรวจดูคนไข้ก่อนจะห่มผ้าเพิ่มให้อีกเพื่อให้ร่างกายคนไข้อบอุ่นขึ้

“แต่ว่า..ปากพี่เป็นอะไรเบี้ยวไปข้างขวาเยอะมาก” น้องอีกคนที่กำลังเตรียมส่งเวรมองมาที่ฉัน การเปลี่ยนเรื่องสนทนาทำให้ทุกคนมองมาที่ฉัน ดูเหมือนมันจะทำให้ความกังวลที่คนไข้มาอยู่ที่ฉันชั่วขณะ

“ความดันเท่าไร”คุณหมอดมยาที่เป็นคนเริ่มต้นรักษาโรคความดันโลหิตสูงให้ฉันถามพร้อมทำหน้าฉงน

“ไปให้หมอฟันดูให้ดีกว่า กระดูกใบหน้าอาจจะผิดปกติ” คุณหมอศัลยแพทย์แนะนำเมื่อฉันบอกค่าความดันโลหิต “ไปโดนอะไรมาหรือเปล่า” คุณหมอคงยังสงสัย

“ไม่นะไม่ปวดด้วย สนใจคนไข้เถอะค่ะ” ฉันตอบไป แอบรู้สึกตกใจไม่น้อย

“ไม่มีอะไรแล้วรอเลือด พี่ไปหาหมอเถอะ” ทุกคนลงความเห็นให้ฉันไปหาหมอฟั

ห้องฟันยังคงแออัดไปด้วยผู้มารับบริการนั่งบ้างยืนบ้าง สถานที่เรายังไม่เพียงพอ แม้ว่าจะพยายามต่อเติมจนไม่รู้จะต่อเติมอย่างไรอีกฉันปรึกษาพูดคุยกับคุณหมอฟันในขณะที่คุณหมอให้บริการคนไข้ไปด้วย ฉันยังไม่ได้รับการตรวจครบตามกระบวนวินิจฉัยค้นหาโรคก็ถูกตามตัวให้กลับมาห้องไอซียูโดยด่วน “คุณหมอเอาไม่อยู่แล้ว” น้องพยาบาลส่งเสียงมาตามสายอย่างวิตก

ฉันกึ่งวิ่งกึ่งเดินมุ่งไปยังจุดหมายฝูงชนเต็มไปทั่วบริเวณหน้าห้องและตลอดทางเดินของอาคารที่ตั้งของห้องไอซียู หลายคนมีสีหน้าตึงเครียดหลายคนกำลังถกกันถึงเรื่องราวบางอย่างที่ฉันอ่านปากไม่รู้เรื่อง ฉันขอแทรกตัวเข้าไปในฝูงชนนั้นเพื่อไปยังประตูห้องซึ่งปิดสนิทในตอนนี้

พอผลักประตูเข้าไปได้ฉันมองเห็นน้องพยาบาลทั้ง 4คน ต่างมีสีหน้าตระหนกยืนอยู่ข้างเตียงคนไข้รวมกับญาติสองสามคน น้องออมหนึ่งในสี่ของพยาบาลเวรวันนี้ เดินตรงมาที่ฉัน

“ญาติขอพี่ไปเป็นตัวประกัน หากไม่ชดใช้ให้เขา เขาไปเรียกคนทั้งหมู่บ้านมาที่นี่ ” แม้ฉันจะไม่ค่อยเข้าใจในคำพูดของน้อง แต่มันก็ทำให้ฉันรู้สึกชาไปที่ขาทั้งสองข้างฉันก้าวถอยออกมาเล็กน้อย มือขวาทาบไปที่หน้าอก

“พระเจ้า เกิดอะไร” ฉันอุทานในใจพร้อมกับมองไปที่ร่างของคนไข้ที่น้องพยาบาลกำลังคุยกับญาติและคุณหมอ ใบหน้าของคนไข้บนเตียงซีดขาวเครื่องช่วยหายใจผลักลมเข้าปอดอย่างสม่ำเสมอ เครื่องตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจเดินเป็นเส้นตรง

“อ้า...เขาตายแล้วอย่างนั้นหรือ

น้องออมเล่าให้ฟังอย่างคร่าวๆว่า มีญาติคนหนึ่งที่เพิ่งมาถึงไม่พึงพอใจกับการเสียชีวิตของคนไข้ ขอค่าชดใช้ และค่าเลี้ยงดูลูกอ่อนที่เพิ่งเกิดอ้างตัวว่า แม้ไม่ใช่ อสม. แต่ก็ช่วยเหลืองานสาธารณสุขทุกเรื่องคราวนี้ต้องช่วยเหลือเธอบ้าง คุณหมออธิบายอย่างไรก็ไม่ยอมฟัง ส่งเสียงดังไปทั่วห้อง

“ใช่แล้วผู้หญิงคนที่กำลังจ้องหน้าคุณหมออย่างอยากกินเลือดกินเนื้อ เธอแต่งตัวด้วยเสื้อยืดสีขาวขลิบปกและชายแขนเสื้อด้วยสีเขียวอ่อน ปักสัญลักษณ์ของทางราชการที่ฉันไม่รู้จักใบหน้าสีเข้ม ดวงตาที่กลมโต ริมฝีปากหนากว้าง ทำให้ดูเธอเป็นคนน่ากลัวไม่ใช่น้อย”

“ขอให้คุณหมอไปพักเถอะนะคะคุณหมอไม่ได้นอนทั้งคืน” ฉันกล่าวกับเธออย่างสุภาพ

ฉันนึกไปถึงเมื่อคืนขณะที่ฉันกำลังหลับสบาย น้องเหมียวก็โทรหา รายงานว่า “มีคนไข้กลับจาก OR ช้อค เสียเลือดมาก ไม่รู้สึกตัว”

ฉันตอบน้องไปว่า“keep warm เต็มที่ เปิดเส้นเลือดด้วยเข็มเบอร์ใหญ่ๆสองสามเส้น ทดแทนน้ำและเลือดให้พอ” แล้วเราก็ขาดการติดต่อจนถึงรุ่งเช้า

พอตั้งสติได้ ฉันเชิญผู้หญิงคนดังกล่าว และขอญาติคนสนิทของคนไข้ ไปยังห้องให้คำปรึกษาที่เรามี ฉันตรวจดูเวชระเบียนอีกครั้ง

คนไข้พาภรรยามาคลอดแล้วมีอาการปวดท้อง หมออนุญาตให้ภรรยากลับบ้านได้แต่..คนไข้ยังปวดท้องไม่หาย ท้องกลับแข็งขึ้นเรื่อยๆคุณหมอจึงตัดสินใจผ่าตัดเพื่อเข้าไปดูว่า เกิดอะไรขึ้น ช่างโชคร้ายเหลือเกินคนไข้เกิดอาการช้อค เสียเลือดมาก อย่างไม่น่าเป็นไปได้ “เขาสูญเสียปัจจัยการแข็งตัวของเลือด”

ญาติเลือกผู้หลักผู้ใหญ่ที่คนไข้นับถือ มาพบฉันหลายคน น้องผู้ช่วยเตรียมกาแฟและน้ำเย็นให้พวกเขา การสนทนาเริ่มด้วยการปล่อยให้เขาพูด ส่วนฉันเป็นฝ่ายตั้งใจฟัง แน่นอนว่า ผู้หญิงคนเดิมเป็นคนเริ่มก่อนเพราะอารมณ์ของเธอยังไม่สงบ สิ่งที่เธออยากได้ยังไม่ได้รับการตอบสนอง เธอส่งภาษาตำหนิการทำงานของคุณหมอด้วยเสียงอันดัง สีหน้า แววตาดุดัน

“ฉันไม่ยอมนะ ปล่อยให้หลานชายฉันตายได้ยังไง” เธอส่งสำเนียงที่แข็งกร้าวมาที่ฉัน

“เมื่อคืนหมอไม่บอกเลยว่าเกิดอะไรขึ้นตื่นเช้ามาหลานก็ตาย” เธอยังคงแสดงความโกรธ

“ลูกเกิดใหม่ของมัน ใครจะเลี้ยงโรงพยาบาลต้องรับผิดชอบ” เธอไม่ยอมหยุด แม้ญาติอีกคนจะดึงแขนให้เธอนั่งลง

ฉันรู้สึกสะเทือนใจทุกครั้งที่สูญเสียคนไข้และหวาดหวั่นใจจนเกิดความเครียดหากญาติไม่พึงพอใจฉันต้องใช้เวลาอยู่กับเขาให้เขาระบายความอัดอั้นจนพอใจ

กรณีนี้ก็เช่นกัน ฉันนั่งนิ่งตั้งใจฟังจนเธอคนนั้นไม่พูดต่อแล้วจึงขออนุญาตพูดบ้าง ฉันไม่ได้ แก้ตัวใดๆ กลับเล่ากระบวนการดูแลรักษาของพวกเราให้กับพวกเขาฟัง ด้วยคำพูดที่เนิบช้า เลือกศัพท์ที่เข้าใจง่าย ดึงญาติคนที่อยู่ในเหตุการณ์ให้ร่วมแสดงความคิดเห็น ญาติสองสามคนที่อยู่กับคนไข้เกือบทั้งคืนดูเหมือนเข้าใจฉัน และเป็นคนยืนยันว่า หมอและพยาบาลทำดีที่สุดแล้ว ไม่ได้หลับไม่ได้นอนกันทั้งคืน

“พยาบาลและห้องเลือดวุ่นวายหาเลือดกันทั้งคืน” ญาติคนหนึ่งช่วยเสริมคำพูดของฉั

“ให้คุณหมอไปพักเถอะ ไม่สบายอยู่ด้วย”ญาติคนที่ดูเหมือนจะเป็นผู้ใหญ่ที่สุดบอกกับญาติคนอื่น เขาคงสังเกตเห็นว่า ฉันใช้มือดันคางข้างที่ปากเบี้ยวไปด้านตรงข้าม

“เป็นกิริยาที่ดูไม่เหมาะเลยเสียบุคลิก”ฉันนึกตำหนิตัวเอง ฉันกล่าวขอโทษ ที่แสดงอาการเช่นนั้น และบอกว่าข้อต่อขากรรไกรของฉันเลื่อน ความปวดรบกวนนิดหน่อย

“เป็นหมอก็ยังไม่สบายเนาะ”แม่ของคนไข้ บอกเหมือนจะเอาใจ

ฉันรู้สึกโล่งอกเล็กๆ ที่ญาติช่วยฉันไกล่เกลี่ยมันช่วยลดความขัดแย้งลงไปได้บ้าง ผู้หญิงคนนั้นสงบลง ฉันรับปากกับพวกเขาว่าจะช่วยเท่าทีจะทำได้อย่างสุดความสามารถ ขอส่งเรื่องและข้อมูลของคนไข้ไปยังผู้รับผิดชอบพิจารณาเรื่องการชดเฉยค่ารักษาหากช่วยได้จะรีบดำเนินการทันทีดูญาติจะลดความรุนแรงลงไปอย่างมาก ต่างไหว้ขอบคุณและขอตัวจากไป

หลังจากพิธีการขอขมาศพพวกเราจัดรถของทางโรงพยาบาลไปส่งคนไข้ มีน้องพยาบาลเวรดึกคนหนึ่งติดตามไปส่งด้วย โดยตัวประกันอย่างฉันที่เขาต้องการไม่ได้ติดตามไปด้วย

“คุณหมอไม่สบาย ไม่ต้องไปด้วยหรอกครับ”พ่อของคนไข้บอกมาอย่างนั้น

ฉันฝากเงินจำนวนหนึ่งไปร่วมทำบุญด้วย พร้อมกับเสนอตัวให้ความช่วยเหลือหากต้องการ

พายุอารมณ์ที่โหมกระหน่ำเมื่อหลายชั่วโมงก่อน ได้ผ่านไปแล้ว แม้เหตุการณ์จะสงบลง มันเหมือนจะผ่านไปด้วยดี <a></a>แต่ฉันในใจฉันกลับคิดว่ามันยังคงเป็นสีเทาหม่นญาติคนที่แรงกับฉันมองมาที่ฉันอย่างเฉยชา มีเพียงแม่คนไข้ที่เข้ามากอดขอบคุณ

รถพยาบาลวิ่งออกไปจนลับตา ฉันหันหลังกลับอย่างช้าช้ามองหน้าน้องพยาบาลที่เดินมาส่งคนไข้ด้วยกันอย่างอิดโรย น้องยื่นมือมากุมมือฉันโดยปราศจากคำพูดใดๆ ฉันรู้ว่า การจากไปของชีวิตหนึ่งมันเป็นเรื่องหนักหน่วงของชีวิตที่ยังเหลืออยู่ แต่ก็ใช่ว่า จะเป็นเรื่องที่น่ายินดีของทีมดูแล“ไม่มีใครอยากให้มันเกิดขึ้น”ฉันพูดขึ้นพร้อมบีบมือน้องเบาๆและแยกตัวปฏิบัติภารกิจหลายชีวิตที่มีความทุกข์ทรมานยังรอเราอีกมากมาย รวมถึงตัวฉันเองก็ต้องกลับไปตรวจวินิจฉัยหาสาเหตุที่แท้จริงว่า“มันเกิดอะไรขึ้นกับใบหน้าของฉัน”

เมฆสีเทาก้อนหนึ่งผ่านไปยังคงมีเมฆสีเทาก้อนใหม่ที่จะเข้ามา เมฆเหล่านั้นจะกลายไปเมฆฝนช่วยล่อเลี้ยงชีวิตหรือจะกลายเป็นพายุที่โหมกระหน่ำซ้ำเติมชีวิตของทั้งเมฆเองหรือผู้ที่คอยเยียวยาให้กลายเป็นเมฆสีขาวประกอบฉากท้องฟ้าให้สว่างสดใส

อย่างไรก็ตาม ชีวิตที่ต้องดำเนินต่อไปล้วนรอคอยและต้องการ “ฟ้าหลังฝน ที่หลายคนบอกว่า งดงามเสมอ”
........................

หมายเลขบันทึก: 572427เขียนเมื่อ 14 กรกฎาคม 2014 10:21 น. ()แก้ไขเมื่อ 14 กรกฎาคม 2014 10:21 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)

ชื่นชมการตอบสนองต่อญาติคนไข้ และเป็นกำลังใจให้และขอชื่นชมกับความทุ่มเท แรงพลังให้กับคนไข้นะคะ เรื่องแบบนี้ถ้าไม่มีใครเขียนเล่าก็ยากที่คนนอกวงการจะเข้าใจนะคะ ขอบคุณมากๆค่ะ

อยากให้พี่แดงช่วยให้ความเห็นด้วยว่า เราจะช่วยกันทำให้ เมฆสีเทา มันจะกลายเป็น เมฆสีขาว ได้อย่างไรนะครับ 

เป็นกำลังใจให้คะ  เพราะ เข้าใจความรู้สึกมากมาย  

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท