กรณีศึกษาน้องโลตัส หรือ “เด็กชายจิตติพัฒน์” : การเลือกกฎหมายกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างบุตรบุญธรรมและมารดาตามกำเนิด
โดย รศ.ดร.พันธุ์ทิพย์ กาญจนะจิตรา สายสุนทร
กรณีศึกษาในวิชากฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล
เมื่อวันที่ ๑๙ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๗
https://www.facebook.com/note.php?saved&¬e_id=10152478551873834
------------
ข้อเท็จจริง[1]
------------
โรงพยาบาลอุ้มผางซึ่งเป็นหนึ่งในสี่ภาคีจากภาคประชาสังคมที่เข้าร่วมทำงานภายใต้ “โครงการศึกษาวิจัยและให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายเกี่ยวกับสิทธิเด็กและผู้ด้อยโอกาสในชุมชนจังหวัดตากและชุมชนกลุ่มจังหวัดชายแดนในประเทศไทย คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มิถุนายน พ.ศ.๒๕๕ – พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๙” ได้มีคำร้องมายังคณะผู้ศึกษาวิจัยภายใต้โครงการดังกล่าวเมื่อวันที่ ๒๗ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๕ ทั้งนี้ นางจันทราภา จินดาทอง นักสังคมสงเคราะห์ประจำโรงพยาบาลอุ้มผางได้มีข้อหารือมายังคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ดังนี้
“น้องโลตัส” หรือ “เด็กชายจิตติพัฒน์” เกิดเมื่อวันที่ ๑๗ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๕ ณ โรงพยาบาลอุ้มผาง จากเด็กหญิงมะซาว ซึ่งเป็นชาวเมียนม่าร์อายุประมาณ ๑๔ ปี รับจ้างเลี้ยงวัวและดูแลสวนยางพาราอยู่ที่หมู่บ้านเจ่โด่ง เลยชายแดนเปิ่งเคลิ่งเข้าไปเขตประเทศเมียนม่าร์ เมื่อมารดาไม่มีชื่อในทะเบียนราษฎรทั้งของประเทศเมียนม่าร์และประเทศไทย จึงไม่มีบัตรประจำตัวของคนสัญชาติของทั้งสองประเทศที่เกี่ยวข้องรวมถึงประเทศใดเลยบนโลก นางจันทราภาจึงได้ออกหนังสือรับรองการเกิด (ท.ร.๑/๑) ของโรงพยาบาลอุ้มผางให้ และดำเนินการแจ้งการเกิดของน้องโลตัสในทะเบียนประวัติบุคคลซึ่งไม่มีสถานะทางทะเบียนให้แก่น้องโลตัสต่ออำเภออุ้มผาง อำเภอดังกล่าวได้บันทึกรายการสถานะบุคคลของน้องโลตัสในทะเบียนประวัติเพื่อบุคคลที่ไม่มีสถานะทางทะเบียนราษฎร (ท.ร.๓๘ ก) และให้มีเลขประจำตัวประชาชน ๑๓ หลัก ขึ้นต้นด้วยเลข ๐
ด้วยโรงพยาบาลอุ้มผางตระหนักว่า มารดายังเป็นเด็กวัยเยาว์ จึงไม่ยังไม่มีความพร้อมที่จะดูแลเด็กวัยเยาว์อย่างเหมาะสม ดังนั้น นางจันทราภาจึงหารือประชาสังคมรอบโรงพยาบาลอุ้มผางถึงความเป็นไปได้ที่จะดูแลน้องโลตัส มีบุคคลในหลายครอบครัวเสนอที่จะเป็น “ครอบครัวบุญธรรม” ให้แก่น้องโลตัส ซึ่งทางโรงพยาบาลอุ้มผางได้เลือกครอบครัวของนางบัวติ๊บและนายสุริยา ครอบครัวนี้อาศัยอยู่ในอำเภออุ้มผางนั้นเอง นางบัวติ๊บและนายสุริยาสมรสกันมานาน แต่ไม่มีบุตร การได้รับมอบหมายจากโรงพยาบาลอุ้มผางให้ดูแลน้องโลตัสในระหว่างกระบวนการตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองเด็กที่ขาดไร้บุพการี จึงเป็นการสร้างครอบครัวที่อบอุ่นมากขึ้นให้แก่ทั้งบุคคลทั้งสองและน้องโลตัสเอง
นางบัวติ๊บและนายสุริยาจดทะเบียนสมรสกันตามกฎหมายในวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๔ การก่อตั้งครอบครัวระหว่างบุคคลทั้งสองจึงเป็นไปตามกฎหมายไทย ทั้งสองคนมีอาชีพทำไร่ทำสวน ฐานะปานกลาง มีความขยันหมั่นเพียร
นางบัวติ๊บจะยังประสบปัญหาความไร้สัญชาติ เพราะเธอไม่ได้รับการรับรองสถานะคนสัญชาติโดยรัฐใดเลยบนโลก แต่เธอมีสถานะเป็นราษฎรไทยในทะเบียนบ้านคนที่มีสิทธิอาศัยอยู่ชั่วคราว (ท.ร.๑๓) ตามกฎหมายไทยว่าด้วยการทะเบียนราษฎร เธอถือบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยที่ออกโดยอธิบดีกรมการปกครองโดยอาศัยอำนาจตามกฎหมายไทยว่าด้วยการทะเบียนราษฎร เธอมีเลขประจำตัวประชาชน ๑๓ หลักขึ้นต้นด้วยเลข ๖ เธอเป็นบุตรสาวคนโตของนายลูลู และนางเพียง ซึ่งเกิดที่ประเทศเมียนม่าร์ เมื่อราว พ.ศ.๒๕๓๐
เธอเข้ามาในประเทศไทยทางฝั่งบ้านเปิ่งเคลิ่ง ตำบลแม่จัน อำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก ตั้งแต่ยังแบเบาะ บัวติ๊บมีพี่น้องร่วมบิดามารดาอีก ๒ คน ได้แก่ (๑) นายสุขซึ่งเกิดที่บ้านเปิ่งเคลิ่งเมื่อราว พ.ศ.๒๕๓๑ ซึ่งเพิ่งได้รับการเพิ่มชื่อใน ท.ร.๑๔ เป็นบุคคลสัญชาติไทยตามมาตรา ๒๓ แห่ง พรบ.สัญชาติ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ.๒๕๕๑ เมื่อวันที่ ๒๔ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๕๒ และ (๒) เด็กหญิงสาวิกา ซึ่งเกิดเมื่อวันที่ ๓ กันยายน พ.ศ.๒๕๔๘ ที่โรงพยาบาลอุ้มผาง สาวิกาถูกบันทึกใน ท.ร.๑๓ แต่ทะเบียนบ้านนี้ระบว่า สาวิกาไม่มีสัญชาติไทย และมีเลขประจำตัวประชาชน ๑๓ หน้า ขึ้นต้นด้วยเลข ๗
ขณะนี้นางบัวติ๊บ นายลูลู (บิดา) และนางเพียง (มารดา) อยู่ระหว่างการยื่นคำร้องขอรับรองสถานะคนต่างด้าวที่เข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมายและมีสิทธิอาศัยถาวรตามกฎหมายไทยว่าด้วยคนเข้าเมือง ส่วนเด็กหญิงสาวิกาอยู่ในระหว่างการยื่นคำร้องขอสัญชาติไทยต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยตามกฎหมายไทยว่าด้วยสัญชาติ
ส่วนนายสุริยา อินเสาร์ ได้รับการรับรองสถานะคนสัญชาติไทยในทะเบียนราษฎรของรัฐไทยในทะเบียนบ้านคนอยู่ถาวร (ท.ร.๑๔) ในสถานะคนสัญชาติไทย เขามีเลขประจำตัวประชาชน ๑๓ หลัก ขึ้นต้นด้วยเลข ๓
ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๕ ทนายความประจำคลินิกกฎหมายอุ้มผางสิทธิมนุษยชน โรงพยาบาลอุ้มผางได้ประสานงานกับสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จังหวัดตาก เพื่อหารือเรื่องการจดทะเบียนรับเป็นบุตรบุญธรรมให้ถูกต้องตามกฎหมาย
--------
คำถาม[2]
--------
หากการจดทะเบียนรับบุตรบุญธรรมระหว่างน้องโลตัส กับนางบัวติ๊บและนายสุริยาได้ทำแล้วเสร็จลงแล้วในวันที่ ๖ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๗
โดยหลักกฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล ถามว่า จะต้องใช้กฎหมายของประเทศใดบ้างกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างน้องโลตัสและเด็กหญิงมะซาว มารดาตามกำเนิด เพราะเหตุใด
--------
คำตอบ
--------
ประเด็นที่พิจารณาเป็นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างบุตรบุญธรรมและมารดาตามกำเนิด เมื่อมีการจดทะเบียนบุตรบุญธรรมขึ้นแล้ว กรณีจึงเป็นเรื่องตามกฎหมายเอกชน
โดยพิจารณาข้อเท็จจริงตามโจทย์ นิติสัมพันธ์ที่พิจารณาน่าจะมีลักษณะระหว่างประเทศ ดังจะเห็นว่า “น้องโลตัส”เกิดในประเทศไทยจากเด็กหญิงมะซาว ซึ่งเป็นชาวเมียนม่าร์ไร้รัฐไร้สัญชาติ ซึ่งอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านเจ่โด่ง เลยชายแดนเปิ่งเคลิ่งเข้าไปเขตประเทศเมียนม่าร์ นิติสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นจึงมีความเกาะเกี่ยวทั้งกับประเทศไทยและประเทศเมียนม่าร์ อันทำให้นิติสัมพันธ์ดังกล่าวตกอยู่ภายใต้การขัดกันแห่งกฎหมาย การเลือกกฎหมายที่มีผลกำหนดสัมพันธภาพระหว่างน้องโลตัสและเด็กหญิงมะซาว ซึ่งเป็นมารดาตามกำเนิด จึงเป็นไปภายใต้กฎหมายขัดกันของรัฐที่มีการกล่าวอ้างนิติสัมพันธ์ ทั้งนี้ เว้นแต่จะมีการกำหนดเป็นอย่างอื่น
เมื่อมีการกล่าวอ้างนิติสัมพันธ์ระหว่างน้องโลตัสและเด็กหญิงมะซาวในประเทศไทย กรณีจึงต้องเป็นไปตามกฎหมายขัดกันไทย อันได้แก่ มาตรา ๓๕ วรรค ๓ แห่ง พ.ร.บ.ว่าด้วยการขัดกันแห่งกฎหมาย พ.ศ.๒๔๘๑ ซึ่งบัญญัติว่า “สิทธิและหน้าที่ระหว่างบุตรบุญธรรมกับครอบครัวของตนตามกำเนิดนั้นให้เป็นไปตามกฎหมายสัญชาติของบุตรบุญธรรม”
ดังนั้น เราจึงต้องไปพิจารณาว่า น้องโลตัสซึ่งมีสถานะเป็นบุตรบุญธรรมมีสัญชาติของประเทศใด ? จะเห็นว่า แม้น้องโลตัสซึ่งเกิดในประเทศไทยก็ตาม แต่ก็ไม่ปรากฏการบันทึกน้องในทะเบียนราษฎรในสถานะคนสัญชาติไทย แต่กลับปรากฏว่า มีการบันทึกน้องในทะเบียนประวัติประเภทบุคคลที่ไม่มีสถานะทางทะเบียนราษฎร (ท.ร.๓๘ ก) อันหมายความว่า น้องโลตัสย่อมมีสถานะเป็นคนไร้สัญชาติ ซึ่งข้อเท็จจริงนี้จึงทำให้ต้องพิจารณาปัญหาการเลือกกฎหมายโดยใช้มาตรา ๖ วรรค ๔ แห่ง พ.ร.บ.ว่าด้วยการขัดกันแห่งกฎหมาย พ.ศ.๒๔๘๑ ซึ่งบัญญัติว่า “สำหรับบุคคลผู้ไร้สัญชาติ ให้ใช้กฎหมายภูมิลำเนาของบุคคลนั้นบังคับ ถ้าภูมิลำเนาของบุคคลนั้นไม่ปรากฏ ให้ใช้กฎหมายของประเทศซึ่งบุคคลนั้นมีถิ่นที่อยู่บังคับ” ดังนั้น เพื่อกำหนด “สิทธิและหน้าที่ระหว่างบุตรบุญธรรมอันได้แก่ น้องโลตัส กับครอบครัวของตนตามกำเนิด อันได้แก่ เด็กหญิงมะซาว” จึงต้องนำเอากฎหมายของรัฐเจ้าของภูมิลำเนาของน้องโลตัส ผู้เป็นบุตรบุญธรรม มาใช้แทนกฎหมายของรัฐเจ้าของสัญชาติของน้องโลตัส ซึ่งไม่ปรากฏมีสิทธิในสัญชาติของรัฐใดเลยบนโลก เมื่อฟังว่า น้องโลตัส เป็นผู้เยาว์ ซึ่งมีสถานะเป็นบุตรบุญธรรมของนายสุริยาและนางบัวติ๊บ ซึ่งตั้งบ้านเรือนอยู่ที่อำเภออุ้มผาง ประเทศไทย น้องโลตัสจึงมีภูมิลำเนาในประเทศไทยตามบุพการีบุญธรรมตามกฎหมาย ซึ่งเป็นผู้แทนโดยชอบธรรม ดังนั้น ในการกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างน้องโลตัสและเด็กหญิงมะซาว มารดาตามกำเนิด จึงต้องใช้กฎหมายสาระบัญญัติไทยว่าด้วยครอบครัว นั่นก็คือ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยการรับบุตรบุญธรรม
[1] เค้าโครงของเรื่องมาจากเรื่องจริงซึ่งผู้ออกข้อสอบนำมาจากข้อมูลการทำงานภายใต้ “โครงการศึกษาวิจัยและให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายเกี่ยวกับสิทธิเด็กและผู้ด้อยโอกาสในชุมชนชายแดนไทย – เมียนม่าร์ ประจำปีการศึกษา ๒๕๕๖” ซึ่งเป็นงานในปีที่ ๒ ของ “โครงการศึกษาวิจัยและให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายเกี่ยวกับสิทธิเด็กและผู้ด้อยโอกาสในชุมชนจังหวัดตากและชุมชนกลุ่มจังหวัดชายแดนในประเทศไทย ระหว่างปี พ.ศ.๒๕๕๕-๒๕๕๙” กรณีศึกษานี้ถูกเผยแพร่ครั้งแรกต่อสาธารณชนในการประชุมวิชาการเรื่อง “สถานการณ์สำคัญเกี่ยวกับความเป็นไปได้ทางกฎหมายและนโยบายของรัฐไทยและผูกพันรัฐไทย ในการจัดการปัญหาความด้อยโอกาสของเด็กและเยาวชนข้ามชาติจากเมียนม่าร์ โดยผ่าน ๑๕ กรณีศึกษาหลักและกรณีศึกษาในสถานการณ์เดียวกันที่เสนอโดยเจ้าของปัญหาเองและคนทำงานในภาคประชาสังคม” ในวันที่ ๑๕ มกราคม พ.ศ.๒๕๕๗ เวลา ๙.๐๐ – ๑๒.๐๐ น. ณ ห้องประชุมอำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก บุคคลในกรณีศึกษาประสงค์ที่จะให้คณะผู้ศึกษาวิจัยใช้เรื่องราวของตนเป็นกรณีศึกษาต้นแบบเพื่อสร้างสูตรสำเร็จให้การให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ประชาชนในสถานการณ์เดียวกัน จึงประสงค์ให้ใช้ชื่อจริงของเจ้าของปัญหาเอง
อนึ่ง ข้อเท็จจริงเก็บและบันทึกโดย อ.ดร.รัชนีกร ลาภวณิชชา อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และนางสาววิกานดา พัติบูรณ์ ผู้ช่วยทางวิชาการในโครงการบางกอกคลินิก คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในระหว่างการลงพื้นที่อำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก ระหว่างวันที่ ๑๔ – ๑๗ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๗
[2] ข้อสอบความรู้ชั้นปริญญาตรี ภาคบัณฑิต คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ วิทยาเขตท่าพระจันทร์ การสอบภาคแก้ตัว ประจำปีการศึกษา ๒๕๕๖ วิชาบังคับ ชั้นปีที่ ๔ วันที่ ๗ มีนาคม พ.ศ.๒๕๕๗
ไม่มีความเห็น