"ลี กวน ยิว " (อดีตนายกสิงคโปร์) ได้แสดงความเห็นต่อระบบเศรษฐกิจ "แบบตลาดเสรี"
และระบบเศรษฐกิจ "แบบสังคมนิยม" โดยยกตัวอย่างกรณี "ไทย" และ "พม่า"
...น่าสนใจว่าทำไมต้องเป็นไทยกับพม่า .......เมื่อติดตามดูจะเห็นว่า
ทั้งสองประเทศนี้มี "ความเหมือน" และ "ความต่าง" อย่างน่าสนใจเลยทีเดียว
อดีตนายกฯสิงคโปร์ระบุว่า ระหว่างไทยกับพม่าพื้นที่และประชากรใกล้เคียงกัน
รวมทั้งในช่วงทศวรรษที่ 60 ทั้งสองประเทศยังมี ขนาดเศรษฐกิจใกล้เคียง
กันด้วย จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในปี 1962 เมื่อพม่าก้าวสู่การปกครองระบอบทหาร
ซึ่งดำเนินระบบเศรษฐกิจแบบปิดกั้นตัวเองรวมทั้งขับไล่ชาวอินเดีย
ที่เข้ามาบุกเบิกอุตสาหกรรม ค้าปลีกก่อนหน้านั้นหลายทศวรรษ
แต่ในทางตรงข้าม บรรดาผู้นำไทยเลือกที่จะดำเนินนโยบายเศรษฐกิจ
แบบตลาดเสรี เปิดรับจากการลงทุนจากทั่วทุกมุมโลก
และต้อนรับผู้อพยพชาวจีนเข้ามาในประเทศ จนส่งผลให้ปัจจุบันกลายเป็นหนึ่ง
ในแหล่งผลิตขนาดใหญ่ที่สุดในเอเชีย
นโยบาย ปิดกั้นตัวเองของพม่าทำให้รายได้ประชาชาติต่อหัวในพม่าอยู่ที่ 1,950 เหรียญสหรัฐต่อปีเท่านั้น
ขณะที่ไทยอยู่ที่ 8,516 เหรียญสหรัฐต่อปี
อย่างไรก็ตาม อดีตผู้นำสิงคโปร์ออกโรงเตือนว่า
แม้ไทยเปลี่ยนระบบการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็น
การปกครองระบอบประชาธิปไตยในห้วงเวลาที่ผ่านมา
กองทัพก็ได้ก่อการรัฐประหารทุกครั้งที่เห็นว่ารัฐบาลขาดประสิทธิภาพ
ในการบริหารประเทศ 80 ปีที่ผ่านมา กองทัพมีความพยายามรัฐประหาร 18 ครั้ง
โดยล้มเหลว 7 ครั้ง
การแทรกแซงของกองทัพนำไปสู่ความไม่แน่นอนทางการเมือง
และฉุดความเชื่อมั่นของนักลงทุนอย่างหนัก
#ดังนั้นทั้งไทยและพม่าควรตระหนักดีว่าความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจของไทย
#ในช่วงที่ผ่านมาเกิดจากนโยบายด้านการค้าและลงทุนที่เสรี
#ในทางกลับกันนโยบายที่ปิดกั้นตัวเองคือสาเหตุทำให้พม่าล้าหลังกว่า50ปี
(เพิ่มเติม... ปิดกั้นตัวเองหรือถูกผู้อื่นปิดกั้นจากการกระทำที่เขาไม่ยอมรับจะเป็นสาเหตุให้ไทยล้าหลังไปหลายปี
ถ้าไม่รีบยุติระบอบเผด็จการทหารและกลับคืนสู่ประชาธิปไตยโดยเร็ว โรดแม้บที่ใช้เวลา มากกว่า 1 ปีนั้นล่อแหลมต่ออนาคตที่เศร้าหมองของไทยยิ่งนัก)
ไม่มีความเห็น