Praepattra
ผู้ช่วยศาตราจารย์ Praepattra Kiaochaoum

จิตสำนึกล้มเหลว.. ภัยร้ายของสังคม!!


เจริญ พรสาธุชนผู้มีศรัทธาในพระพุทธศาสนา ในห้วงสัปดาห์เฉลิมฉลองงานวิสาขบูชาโลก ระหว่างวันที่ ๑๑-๑๗ พฤษภาคม ๒๕๕๗ อาตมาได้เดินทางฝ่าลมร้อนมากกว่า ๔๐ องศา สู่อินเดีย เพื่อร่วมงานตามอาราธนาของ มหาโพธิสมาคมของอินเดีย ที่ได้จัดงาน ธรรมสภา ขึ้น เพื่อพูดคุยกับบุคคล/ผู้นำจากศาสนาต่างๆ ในเรื่องของ ศาสนา ความสามัคคี และการนำสันติภาพสู่สังคมมนุษยชาติ เนื่องในวันวิสาขบูชาที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๕๗ ณ มหาโพธิสมาคม ที่กัลกัตตา/อินเดีย (วันวิสาขบูชาในประเทศไทย ตรงกับวันที่ ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๕๗ แต่ในอินเดีย ซึ่งรับอิทธิพลการนับจากพุทธศาสนาศรีลังกา นับวันตรงกับ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๕๗)

อาตมา จึงวางแผนเดินทางเข้าสู่พุทธคยา เพื่อกราบสักการะสังเวชนียสถานที่ตรัสรู้ ณ พระศรีมหาโพธิ/ มหาโพธิ มหาวิหาร พุทธคยา/ รัฐพิหาร อินเดีย ในวันที่ ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๕๗ ซึ่งพุทธศาสนาในประเทศเราถือว่าเป็นวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ (จันทรคติ) ที่เรียกว่า "วันวิสาขบูชา"... ค่ำคืนนี้ (๑๓ พ.ค.๕๗) จึงเขียนต้นฉบับ ณ อนิมิสเจดีย์ สถานที่ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จประทับยืนในสัปดาห์ที่ ๒ อยู่ ๗ วัน ที่เราเรียกกันว่า "เจริญภาวนา เสวยวิมุตติด้วยการยืน" ซึ่งห่างจากควงพระศรีมหาโพธิ สถานที่ประทับนั่งตรัสรู้ เสวยวิมุตติสุขในสัปดาห์ที่ ๑ ประมาณ ๕๐-๖๐ เมตร โดยมี รัตนจงกรมเจดีย์ สถานที่เสด็จจงกรม (เจริญภาวนาด้วยการเดิน) อยู่ใน สัปดาห์ที่ ๓ คั่นอยู่ระหว่าง ซึ่งหากใครที่เคยเดินทางมากราบสักการะสังเวชนียสถานที่ตรัสรู้ ก็คงจะคุ้นตาจดจำได้ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ดังกล่าวที่ยังปรากฏมีอยู่ นั่นจะต้องรวมถึงรัตนฆรเจดีย์ด้วย ที่ทรงประทับนั่งพิจารณาธรรมต่อเนื่องอีก ๗ วัน ใน สัปดาห์ที่ ๔ ก่อนจะเสด็จข้ามฟากแม่น้ำเนรัญชราเพื่อประทับนั่งพิจารณาธรรมที่ทรงตรัสรู้ ใน สัปดาห์ที่ ๕ และเสด็จข้ามฟากแม่น้ำกลับมาสู่สระมุจลินท์ใน สัปดาห์ที่ ๖ ต่อด้วยเสด็จไปสู่โคนต้น ไม้ราชายตนะ ในสัปดาห์ที่ ๗ เพื่อเสวยธรรมสมบัติที่ทรงค้นพบด้วยพระองค์เองจนครบสมบูรณ์ ๗ สถาน ใน ๗ สัปดาห์ จำนวน ๔๙ วัน อันเป็นไปตามพุทธวิสัย

วิสาขบูชาปีนี้จึงได้กลับมาเฉลิมฉลองด้วยการอยู่ปฏิบัติภาวนาภายใน มหาโพธิ มหาวิหาร ตลอดคืน ยันฟ้าสว่างรับวันใหม่ ก็จะต้องเดินทางโดยรถยนต์ประมาณ ๘ ชั่วโมง สู่ เมืองกัลกัตตา เพื่อร่วมประชุม ธรรมสภา เสร็จสิ้นการประชุมจะได้นั่งเครื่องบินจากสนามบินกัลกัตตาสู่ประเทศไทย เพื่อเตรียมตัวแสดงธรรม นำประชาชนอบรมจิตภาวนา และร่วมสวดพระปริตร อธิษฐานจิต เพื่อแผ่นดินไทย ในวันศุกร์ที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๕๗ ตั้งแต่เวลา ๑๙.๐๐ น. ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง เนื่องในงานสัปดาห์ฯ วิสาขบูชาโลก

ท่าม กลางอากาศที่ร้อนระอุในอินเดีย แต่ยังมีศรัทธาสาธุชนหลายคณะจากประเทศพุทธศาสนา เดินทางมาร่วมงาน โดยเฉพาะจาก เวียดนาม และชาวพุทธในอินเดียจากรัฐมหาราษฏระ มีการจัดธรรมยาตรา กันท่ามกลางความร้อนที่ไม่ค่อยจะลดลงเลย จึงเป็นธรรมดาที่ไม่ค่อยเห็นพุทธศาสนิกชนชาวไทย ซึ่งปกติจะมีมากันจำนวนมากๆ อาตมาได้ตั้งใจมาเจริญภาวนา จึงประกอบศาสนกิจอย่างเต็มกำลังเพียงรูปเดียวในภาคกลางวัน ต่อเนื่องในภาคกลางคืน 

เมื่อก่อนจะออกมาจากที่พักวัดศรีลังกา ซึ่งตั้งอยู่ด้านหน้า มหาโพธิ มหาวิหาร (Main Temple) อาตมาได้เข้าไปทำ พิธีบอกอุโบสถ และบอกบริสุทธิ์ ตามพุทธานุญาตที่ให้พระภิกษุที่อยู่ในเขตอาวาส/ที่พักกระทำได้ ซึ่ง หากละเลยปล่อยผ่านไปไม่กระทำ แม้อยู่รูปเดียวในวันอุโบสถ (๑๕ วัน ครั้งหนึ่ง) จะต้องถูกปรับเป็น อาบัติ (เป็นโทษ... เป็นบาป กับภิกษุผู้ต้องความผิด อันเป็นไปตามสิกขาบทที่พุทธบัญญัติไว้ดีแล้วในปาติโมกข์ศีล ๒๒๗ สิกขาบท)

เรื่อง วินัยของพระ ศีลของคน เป็นเรื่องยิ่งใหญ่ที่สุดที่พระพุทธศาสนาให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก 

 ดังปรากฏในไตรสิกขาที่ เบื้องต้น คือ ศีล หรือในพระไตรปิฎกที่ เบื้องแรก คือ พระวินัย ซึ่งถือเสมือนเป็น รากแก้ว ของพระพุทธศาสนา หมายความว่า 

 ศาสนาจะอยู่ได้หรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับรากแก้วคือวินัยนี่แหละ... ปัญหาทั้งปวง... ประโยชน์ทั้งหลาย จึงอยู่ที่การไม่ถือปฏิบัติหรือการถือปฏิบัติตามพระวินัยหรือศีลเป็นสำคัญ ที่สุด... 

หากเมื่อใดที่คณะสงฆ์ละเลยพระวินัย ศรัทธาสาธุชนทำศีลบกพร่อง รับประกันได้เลยว่า หายนะ เสื่อมสลาย เกิดขึ้นอย่างแน่นอน 

 ให้มีผู้รู้ทางปริยัติมากมาย มีดอกเตอร์เกิดขึ้นทั่วหัวระแหงแห่งแผ่นดิน แต่หากท่านเหล่านี้เสื่อมวินัย บกพร่องศีล 

 ความรู้ที่ท่องบ่นจดจำมาก็ไร้คุณประโยชน์ แถมจะกลับคืนเป็นโทษ ด้วยการใช้ความรู้ไปในทางที่ผิดเพี้ยนไปจากศีลธรรม

แม้ จะมุ่งมั่นเจริญสมาธิ อบรมวิปัสสนากันเป็นดอกเห็ด แต่หากมีอาจารย์ตุ๊ด เณรแต๋ว เป็นเจ้าสำนัก รับประทานได้ว่าฉิบหายแน่นอน 

นี่ยังไม่นับบรรดาท่านทุศีล ที่แอบซุกซ่อนอยู่ในชายคาศาสนา รับเงิน รับทอง เสกบุญ แจกซองเรี่ยไรกันเป็นบ้าเป็นหลัง ยังไม่นับบรรดาพุทธพาณิชย์ เสกหลวงพ่อ ขายหลวงตา จนข้ามไปคบค้ากับพราหมณ์ ขายเทวดา พรหมปางต่างๆ ซึ่งมีให้เห็นเต็มหูเต็มตา และไม่เห็นมีใครหน้าไหน องค์กรใด กล้าหาญจัดการเพื่อขจัดเสี้ยนหนามศาสนาให้หมดไปสังคมประเทศชาติ

จึงหมุนอยู่ ในวังวนของอ่างน้ำเน่า พานพบแต่เรื่องเลวร้ายรายวัน เดี๋ยวยิงที่นั่น... เดี๋ยวข่มขืนที่นี่ เดี๋ยวค้า-เสพยาเสพติดกันที่โน่น และยิ่งการยิงระเบิดใส่กันกลางเมืองหลวง 

ยิ่งน่าเกลียดต่อความเป็นประเทศพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะไม่มีข่าวคราวว่าจะจับใครมาลงโทษได้เลย 

เรื่องของเรื่องจึงไม่จบ เสียงปืน... เสียงระเบิด 

เพราะอำนาจกฎหมาย ขื่อแปบ้านเมืองไม่ศักดิ์สิทธิ์ ไม่ขลังพอที่จะทำให้ผีเปรตบางพวกบางกลุ่มเกรงกลัวได้เลย...

สังคม แบบนี้จึงยากต่อการดำรงอยู่ของคนดี แต่สะดวกสบายต่อการดำเนินชีวิตของคนชั่ว ตรงนี้จึงเป็นจุดอันตรายของประเทศชาติ ยิ่งขบวนการกัดกร่อนสถาบันหลัก ยิ่งน่าคิดว่าฝ่ายความมั่นคงกองทัพทั้งหลายอยู่กันอย่างไร หรือทำอะไรกันอยู่ ทำไมปล่อยให้การกระทำดังกล่าวยังดำเนินกันต่อไปอย่างไม่มีทีท่าว่าจะยุติ 

นับวันยิ่งเปิดเผยตัวกันอย่างเต็มที่ เหมือนสังคมในศาสนา ที่นับวันนักบวชทุศีลมีพวกมาก ชักชวนกันย่ำยีพระธรรมวินัยด้วยการถือปฏิบัติที่ผิดเพี้ยนอย่างเปิดเผย เช่น การรับเงินทอง ขบฉันของอันไม่ควรตามกาลเวลา การเดินทางไปในสถานที่ไม่เหมาะสม การแต่งเนื้อแต่งตัวไม่เหมาะต่อความเป็นสมณะหรือนักบวชในพระศาสนา

เมื่อวันก่อนพบเห็นเต็มตา คณะหัวโล้นกลุ่มหนึ่งที่สนามบินเชียงใหม่ ซึ่งมีท่าทีบุคลิกแปลกๆ โดยเฉพาะการแต่งเนื้อแต่งตัว เล่นเอาชาวบ้านที่ศรัทธาศาสนาต้องหันไปมองกันคนละหลายครั้ง... มีข้าราชการท่านหนึ่งพูดให้อาตมาฟังว่า "หลวงพ่อครับ เดี๋ยวนี้ แบบนี้มีแยะจนเป็นแฟชั่นกันแล้วครับ!!"

เอา ล่ะ จะเป็นแฟชั่นนรกหรือแฟชั่นสวรรค์ เดี๋ยวไม่นานคงรู้กันไปตาม วิถีกรรม... แต่สิ่งที่ออกจะเป็นห่วงคือ ศรัทธาปสาทะ ของญาติโยม โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ใน สังคมวัตถุนิยม ที่กำลังเข้ามาแทนที่ วัตถุนิยมในสังคม ซึ่งนับวันยิ่งถอยห่างออกจากศาสนา จนเป็นสัญญาณอันตรายที่น่ากลัวมากกว่าเรื่องใดๆ... เพราะหากคนเราปฏิเสธศาสนา (ไม่ว่าศาสนาใด) อยู่อย่างไม่มีศาสนา ดุจดังคนรุ่นใหม่ในหลายประเทศที่รุ่งเรืองทางด้านวัตถุเทคโนโลยี สังคมประเทศชาติที่เคยดูดี สวยงาม น่าอยู่อาศัย จะพังทลายเหมือนเจดีย์ทรายโดนน้ำซัดทันที...

...ไหนๆ ก็ไหนๆ หากจะมีการปฏิรูปบ้านเมืองกันยกใหญ่ดังที่เรียกร้องกันอยู่ ถ้าเป็นไปได้จริง สิ่งสำคัญที่ใคร่ขอฝากไว้คือ 

การปฏิรูปจิตสำนึก ให้คืนกลับมาเป็นชาวไทยที่สวยงาม บริสุทธิ์ อีกครั้งหนึ่งเถิด... 

 โดยการหันกลับมาช่วยกันดูแลรักษา สถาบันพระพุทธศาสนา ให้เข้มแข็ง มั่นคง มีประสิทธิภาพในการฝึกฝนพัฒนาจิตของสัตว์สังคม เพื่อให้มีศีลธรรมค้ำชูชีวิตสืบไป 

ซึ่งหากสถาบันการพัฒนาจิตวิญญาณ คือ ศาสนา มีประสิทธิภาพ 

เรื่องราวใดๆ ในสังคมไม่ใช่ปัญหาที่แก้ไขไม่ได้... แต่ที่ยังแก้ไขกันไม่ได้ในทุกปัญหาของสังคม 

โดยเฉพาะความแตกแยกของหมู่ชน นั่นเพราะการพัฒนาจิตสำนึกสู่มนุษยธรรมมันล้มเหลว 

และเป็น ความล้มเหลวที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขให้ตรงจุดเหตุ 

นี่คือภัยที่น่ากลัวที่สุดของสัตว์สังคม!!.

เจริญพร

หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ --
ศุกร์ที่ 16 พฤษภาคม 2557

โดย..พระ อ.อารยวังโส

หมายเลขบันทึก: 569068เขียนเมื่อ 25 พฤษภาคม 2014 08:42 น. ()แก้ไขเมื่อ 25 พฤษภาคม 2014 08:42 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท