เด็กวัดชั้นประถม


                                                         เด็กวัดชั้นประถม

          เมื่อประกาศใช้พระราชบัญญัติประถมศึกษาฉบับแรกในปี พ.ศ. 2464 เป็นระยะเวลา 93 ปี ผ่านมาจนถึงปัจจุบันช่วงแรกๆ ในชนบทอาคารเรียนของโรงเรียนประถมศึกษาคือศาลาวัด ในปี พ.ศ. 2490 ผมอายุ 7 ขวบถึงเกณฑ์เข้าเรียนชั้นประถมปีที่ 1 อันที่จริงปี พ.ศ. 2489 ผมเริ่มตามพี่ชายไปเข้าเรียนอยู่ชั้นเตรียมประถมศึกษาแล้ว 1 ปี

          ระยะนั้น พ่อแม่ของผมมีลูกผู้ชายเรียงกัน 5 คนผมเป็นคนที่ 3 พี่ทั้ง 2 คน เป็นเด็กวัดเรียนจบไปแล้วพอผมเข้าเรียนชั้นประถมปีที่ 1 พ่อของผมก็เอาผมไปฝากเป็นเด็กวัดต่อจากพี่ชายกับสมภารเจ้าวัด ผมจึงไม่ใช่ลูกศิษย์วัดธรรมดา แต่เป็นถึงลูกศิษย์สมภารเจ้าวัดรู้สึกโก้เก๋ดี เหมือนกับอยู่เรียนประจำกินนอนอย่างสมัยนี้ทีเดียวสมัยนั้น วัดในชนบทเมื่อเข้าพรรษา จะมีกุลบุตรที่อายุครบ 20 ปีถึงวัยบวชมาบวชเป็นเวลา 1 พรรษาเต็ม 3 เดือน ที่จะบวช 15 วัน หรือ 20 วัน อย่างปัจจุบันนั้นไม่มี ในช่วงออกพรรษาจะสึกเกือบหมดวัด จะเหลือสมภารกับพระลูกวัดสูงอายุหรือผู้บวช 2 พรรษาอีก 2-3 รูป เด็กวัดที่เป็นลูกหลานของพระที่บวชในพรรษาก็ลาออกตามหลวงน้าหรือหลวงอาไปเหลือเด็กวัดไม่กี่คน ยิ่งระยะเวลาที่โรงเรียนปิดภาคปลาย ในปลายเดือนมีนาคม ถึงกลางเดือนพฤษภาคมแล้วเหลือเด็กวัดไม่เกิน 3 – 4 คน เพราะลาออกไปช่วยพ่อแม่เก็บเกี่ยวข้าว เลี้ยงควายกันขืนอยู่ก็อดๆหยากๆ เพราะพระน้อยญาติโยมไม่มีใส่บาตรต้องตื่นไปนากันตั้งเช้ามืด ไม่มีเวลาทำอาหารใส่บาตรกันมากนัก

          ผมประเภทพ่อตัดหางปล่อยวัด สมภารไม่มีโอกาสสึกถ้าผมลาออกจะไม่มีลูกศิษย์ปฏิบัติท่าน และหมดสิทธิที่จะกลับมาเป็นลูกศิษย์สมภารอีก เมื่อขึ้นชั้นประถมปีที่ 3 ผมเริ่มเป็นเด็กวัดอาวุโสแล้ว ปิดเทอมภาคปลายเหลือเด็กวัดอยู่ 3 คน คือผมชื่อจุกและอีก 2 คน คือ กิ่มกับประเทือง เมื่อพระฉันอาหารเพลเสร็จ พวกเราเป็นลูกศิษย์จัดการกับอาหารที่เหลือเก็บกวาด ล้างถ้วยชามเรียบร้อยพวกเราตกงาน จึงหากิจกรรมนอกหลักสูตรทำเล่นสนุกตามประสาเด็ก

          วันหนึ่ง เวลาประมาณบ่ายโมงหลังจากเป็นลูกศิษย์พระกินอาหารกลางวันข้าวก้นบาตรเสร็จ พระจำวัดกลางวันแล้วเป็นส่วนใหญ่ จึงชวนกันเดินออกไปหลังวัด มองเห็นต้นตาลยืนต้นเตะตาเป็นแถวอยู่ 3-4 ต้น มีพะองไม้ไผ่ทอดมัดขึ้นไปสู่ยอด มีกระบอกไม้ไผ่สวมงวงตาลห้อยระย้า ต้นสูงประมาณ 10 เมตรเศษพวกเราสามคนนึกอยากกินน้ำตาลสดจากกระบอกขึ้นมาทันใด คิดว่ายังไม่ถึงเวลาที่เจ้าของจะมาเก็บน้ำตาลจากต้น เวลาที่จะเก็บน้ำตาลและเปลี่ยนกระบอกใหม่นั้นรู้กันว่าเวลาประมาณ 3 โมงเย็นทั้งสองคนลงความเห็นว่า เจ้าจุกคือผมนี่แหละขึ้นต้นไม้เก่งให้ปีนพะองไปเอากระบอกน้ำตาลลงมาให้เพื่อนกิน ผมโดนลูกยอเข้าไปก็ดำเนินการตามที่เพื่อนมอบหมาย รีบไปยืนที่กกต้นตาลยกมือไหว้ต้นตาลหนึ่งทีตามธรรมเนียมของผม แล้วรีบปีนพะองขึ้นไปอย่างระมัดระวังไปได้ประมาณกลางต้น ได้ยินเสียงเจ้าของคนทำตาลตะโกนลั่นมาจากต้นตาลแถวนอกห่างออกไปประมาณ 500 เมตรเศษ พร้อมกับชูมีดปาดตาลขาววับตะโกนก้องมาว่า        ”เฮ้ย พวกมึงลงมาเดี๋ยวนี้นา”          เพราะวันนี้เจ้าของมาทำงานพิเศษเก็บตกแต่งพะองและเก็บใบตาลคอต้นที่ขวางทางขึ้นยอดตาลจึงมาก่อนเวลา ผมได้ยินหันไปมองดูเห็นมีดปาดตาลขาววับเสียวไปถึงใส้พุงรีบไต่พะองลงมาอย่างเร่งรีบภายในหนึ่งนาที แล้วพากันวิ่งด่วนจี๋กลับเข้าวัดโดยมีเจ้าของคนทำตาลวิ่งกวดตามไล่หลังมา พวกเราวิ่งไปยังหลังกุฏีบริเวณที่มีป่ารกและมีส้วมหลุมร้างมีฝาตีล้อมไว้ด้วยสังกะสี ประตูทำด้วยสังกะสีเปิดอ้าอยู่ เป็นส้วมหลุมร้างลึกประมาณเกือบ 1 เมตร ไม่ได้ใช้มาเป็นเวลานานหลายปี เพราะวัดเริ่มมีส้วมซึมใช้แล้วอุจจาระแข็งกลายเป็นดิน พวกเราพากันวิ่งโดดลงไปขดตัวอยู่ก้นส้วมหลุมทั้งสามคน เจ้าของคนทำตาลเดินหาไปทั่วป่ารอบๆ ส้วม แต่ไม่ได้เข้ามามองดูในก้นหลุมส้วมทั้งๆ ที่ประตูส้วมเปิดอยู่ เขาคงคิดว่าเราทั้งสามคนคงไม่เข้าไปหลบอยู่ในก้นหลุมส้วม ประกอบกับมีพื้นไม้ปูส้วมเหลืออยู่บางส่วนบังไว้ ได้ยินเจ้าของคนทำตาลเดินบ่นอยู่คนเดียวว่า     

          ”เด็กผีพวกนี้ไวอย่างกับปรอท หากเจอจะให้สมภารเฆี่ยนสักคนละ 5-6 ที”     แกเดินวนอยู่รอบป่าอยู่พักใหญ่ตามหาพวกผมไม่พบจึงเดินทางกลับ ผมแอบโผล่หัวมาดูเห็นปลอดภัยแล้วจึงพากันแยกย้ายกลับไปกินข้าวมื้อเย็นที่บ้าน บ้านใครบ้านมัน จบเกมซ่อนหาที่หวาดเสียวไปหนึ่งวัน

          ทิ้งห่างมาหลายวันพระจนลืมความหวาดเสียว พวกเราเปลี่ยนทิศไปเที่ยวกันใหม่ หลังจากจัดอาหารถวายเพลพระเป็นลูกศิษย์พระเรียบร้อยแล้ว คราวนี้ไม่ไปหลังวัดอีก พากันไปใต้วัดหาผลไม้ป่ากินบ้าง จำได้ว่ามีสวนยายใหญ่อยู่ที่วัดหมู(ร้าง)แถวนั้นก็มีต้นตาลเยอะ แต่เปลี่ยนแนวบ้างไปหาลูกหว้ากินกัน พวกเราเดินไปทางทิศใต้ของวัดประมาณ 1 กม. จนถึงสวนยายใหญ่ เดินสำรวจต้นหว้าเห็นต้นหว้าขึ้นอยู่ริมรั้วสูงประมาณเกือบ 4 เมตร ลูกกำลังสุกดำเต็มต้น นกน้อยนาๆ ชนิดกำลังจิกกินส่งเสียงร้องเจี้ยวจ้าว มติของเพื่อนคงเหมือนเดิม มอบหมายให้เจ้าจุกด้วยลูกยอว่า " มึงขึ้นต้นไม้เก่งทำหน้าที่หน่อย"  ผมเมื่อได้กินลูกยอสุกอร่อย เข้าไปแหวกกอไม้พุ่มรอบกกหว้ายกมือไหว้เทพประจำต้นไม้หนึ่งครั้งแล้วรีบปีนขึ้นไปอย่างว่องไว ด้วยความสามารถที่สะสมไว้ตั้งแต่เด็กๆ อยู่บ้านชอบปีนไปเก็บลูกมะยม และลูกมะเฟืองหลังบ้านกินเป็นประจำจนชำนาญไต่ไปถึงปลายกิ่งจับกิ่งหว้าขย่มให้ลูกหว้าล่วงหล่นให้เพื่อนเก็บกิน ขณะเดียวกันก็เก็บลูกหว้าที่อยู่ใกล้มือใส่ปากและใส่กระเป๋ากางเกงตุนไว้ ด้วยความชะล่าใจ เดินเกาะกิ่งไปจนถึงปลายกิ่ง เอื้อมมือไปเด็ดลูกหว้าที่อยู่ปลายกิ่ง กิ่งหว้ารับน้ำหนักไม่ไหว กิ่งหักผมพลัดตกลงมาสู่พื้นดินจุกแน่นิ่ง เพื่อนทั้งสองตกใจรีบโดดข้ามคนละทีสองทีแล้วเข้าประคองผมลุกขึ้นความจุกหายไป ขาพอเดินได้ แต่ข้อมือขวาเคลื่อนไหวจับอะไรไม่ได้ เพื่อนจึงพากันประคองเดินกลับวัดอย่างทุลักทุเลเหนื่อยก็พักกันมาตลอดทาง ถึงวัดเพื่อนพาผมไปบอกสมภารเจ้าวัด ท่านสวดด่าพวกเรานิดหน่อย แล้วให้เจ้ากิ่มหนึ่งในสามสหายไปตามพ่อผมที่บ้านเหนือวัดระยะทาง 1 กม.เศษ

            พ่อผมมาถึงรีบพาผมไปบ้านตานวม แย้มเกตุ หมอน้ำมันต่อกระดูกใต้วัดฝั่งตรงข้ามแม่น้ำลพบุรี พร้อมพานธูปเทียนดอกไม้ไปไหว้บูชาครูของหมอนวม หมอนวมตรวจดูพบว่ากระดูกข้อมือขวาหักจัดการทำเฝือกไม้ไผ่ดึงยืดกระดูกให้เข้าที่ ตอนดึงรู้สึกเจ็บกว่าเมื่อตอนตกใหม่ๆ ระยะแรกอาจจะยังชาอยู่ ใส่เฝือกรอบรอยต่อกระดูกทาน้ำมันมนต์รอบเฝือกเสกเป่าด้วยคาถาอาคมของหมอ เสร็จแล้วพ่อพาผมกลับบ้าน มานอนรักษาตัวอยู่ 20 วัน แล้วจึงไปให้หมอนวมตัดเฟือกที่ใส่ไว้ออกผมต้องหยุดทำหน้าที่กองทัพหน้าปีนป่ายต้นไม้อยู่เป็นปี จนกระดูกเชื่อมต่อกันดี ผมก็จบหลักสูตรชั้นประถมปีที่ 4 และหลักสูตรพิเศษปีนป่าย เรียนต่อชั้นมัธยมปีที่ 1 ในตัวจังหวัดลพบุรี ไปเป็นเด็กวัดชั้นมัธยมต่อไป

           ขณะนี้ผมเจ้าจุก อายุ 73 ปี มองย้อนกลับมาทบทวนความหลัง เจ้ากิ่มและเจ้าเทืองคู่หู ต่างก็จากลาโลกไปหมดแล้วเพื่อนทั้งสองจบ ป. 4 แล้วไม่ได้เรียนต่อชั้นมัธยม สำหรับเจ้าเทือง เริ่มแตกเนื้อหนุ่มแล้วไปหัดเล่นลิเกเป็นตัวโกงบ้าง บางครั้งลดตำแหน่งไปเป็นเสนาบ้าง ได้ลาจากโลกนี้ด้วยโรคร้ายเมื่ออายุประมาณ 40 ปี ฝ่ายเจ้ากิ่ม ได้ภรรยาเป็นนางเอกลิเก และเป็นเจ้ามือรับแทงหวยใต้ดิน มีผู้ถูกรางวัลแล้วไม่มีเงินจ่ายให้เขา คนซื้อถูกรางวัล ยิงตายทั้งผัวและเมีย ผ่านมาเป็นเวลานับสิบปีแล้ว เหลือเจ้าจุกจอมปีนป่ายตายยากคนเดียวที่ยังจำความหลังได้ มาเล่าเรื่องเก่าๆ สู่กันฟังดังนี้แล

โดย : จุก วัดเกตุ

นายสมหมาย ฉัตรทอง (นามปากกา “จุก วัดเกตุ”)

ลงพิมพ์ คู่สร้างคู่สม ฉบับที่ 846 วันศุกร์ที่ 25 เมษายน 2557

หมายเลขบันทึก: 567898เขียนเมื่อ 13 พฤษภาคม 2014 19:10 น. ()แก้ไขเมื่อ 13 พฤษภาคม 2014 19:10 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)

เรียนท่านอาจารย์สมหมาย 

รรซศาลาวัด กับสุขศาลา รุ่นเดียวกันมั้ยครับ

ผมเกิดทันสุขศาลา

ท่านรอง ผวจ.มีเรื่องราวสนุก ให้ความรู้ และได้ความรื่นรมย์ทางปัญญาอยู่เสมอในทุกเรื่องล่ะครับ 

เขียนไว้เรื่อยๆ นะคะอาจารย์ เก็บเป็นประวัติชีวิตให้ลูกหลานและผู้คนได้อ่านตลอดไปค่ะ และอาจารย์ทำบันทึกเป็น e-book ได้นะคะ http://www.gotoknow.org/posts/564905

ปล. หน้าแรก GotoKnow ปรับใหม่แล้วนะคะ ใหม่! ส่วนตั๊ว ส่วนตัว กับหน้าแรกของ GotoKnow

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท