Praepattra
ผู้ช่วยศาตราจารย์ Praepattra Kiaochaoum

ถ้าไม่ถ่ายทุกข์แล้วจะเป็นอย่างไร!? สังคมควรอ่าน... ผู้บัญชาการเหล่าทัพควรตอบ


เจริญพรสาธุชนผู้มีศรัทธามั่นคงในพระพุทธศาสนา... อาตมาเดินทางด้วยรถยนต์โขยกเขยกไปบนถนนขรุขระที่เชื่อมโยงจากชายแดนเนปาล-อินเดีย ตามเส้นทางที่มุ่งสู่เมืองพาราณสี ที่ตั้งอันสำคัญของพระพุทธศาสนา ด้วยพระพุทธเจ้าทุกพระองค์จะต้องถือปฏิบัติตรงกัน จนเป็น พุทธประเพณี ในการเดินทางมาประกาศพระธรรมที่ตรัสรู้ชอบโดยพระองค์เองเป็นครั้งแรก ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ปัจจุบันตั้งอยู่ที่เมืองสารนาถ ใกล้เมืองพาราณสี รัฐอุตตรประเทศ / อินเดีย ใช้เวลาร่วม ๑๒ ชั่วโมง ซึ่งถือว่านานมากหากนับจำนวนกิโลเมตรของการเดินทาง...แต่ไม่ว่าจะต้องรับประทานอย่างไร เราก็ไม่มีสิทธิ์เลือกบริโภค...เพราะนี่คือหนึ่งเดียวที่มี อันเป็นหนึ่งเดียวที่ดีที่สุด...

...ด้วยกฎ การไม่มีสิทธิ์เลือกบริโภคในสรรพสิ่งที่ถูกหยิบยื่นมาให้ ทำให้เราต้องบริหารชีวิตให้ดำเนินไปตามธรรม ดุจผู้มักน้อยสันโดษ ต้องรู้จักห้ามปรามความรู้สึก ควบคุมบริหารความนึกคิดให้อยู่ร่วมกับสิ่งแวดล้อมอย่างสอดรับสัมพันธ์กันในทางสร้างสรรค์ อันนำไปสู่การดำรงชีวิตอย่างต้องตื่นรู้เท่าทัน มีความสุขไปตามอัตภาพ ด้วยการยอมรับและเข้าใจในสิ่งแวดล้อม เพื่อพร้อมปรับตนเองให้อยู่ร่วมได้อย่างมีเอกภาพ...สมฐานะแห่งความเป็นสัตว์มนุษย์ที่มี สติปัญญา อันเป็นเครื่องมือสำคัญในการใช้สอยเพื่อปรับสมดุล สร้างดุลยภาพให้กับชีวิต

บนเส้นทางที่หฤโหด นั่งหัวโยก ...หัวคลอน โดยไม่ต้องรอ ผู้ใหญ่ลีมาตีกลองประชุม กลับให้รสชาติชีวิตอย่างตื่นรู้อยู่ทุกขณะ เมื่อหันหน้ามาพูดคุยกันในหัวข้อธรรมะใดๆ ที่หยิบยกมาได้ตลอดสองข้างทาง... สติปัญญาได้พัฒนาไปตามการกำหนดรู้ดูเห็นเท่าทันในความจริงแห่งสรรพเรื่องนั้น แม้จะต้องแวะลงไปสู่ ทุ่งอิสรภาพ เพื่อปลดปล่อยความคับแค้นทุกข์เข็ญที่กดทับเนื่องในกายอันเน่าเหม็นนี้ ก็ให้เป็นไปอย่างรู้จักคำว่า พอเหมาะ พอควร พอเพียง และพอดี...

การรู้จักคำว่า "พอ" เพียงคำเดียวด้วยสติปัญญาที่รู้เท่าทันโลกปรุงแต่งใบนี้ ทำให้สัตว์เราทั้งหลายเดินทางไปบนถนนชีวิตที่ขรุขระ ทุรกันดารได้อย่างไม่ต้องโศกเศร้า คร่ำครวญจากความทุกข์กาย... เพราะใจมันรู้จักปล่อยวาง ดังที่เราไปถ่ายทุกข์กลาง ทุ่งอิสรภาพ ระหว่างเดินทางในอินเดีย-เนปาล สิ่งที่เราพบ ธรรมเชิงประจักษ์จากคำสอนของพระพุทธองค์ คือกองทุกข์เป็นของน่าเกลียด ไม่ควรแปดเปื้อนหรือแม้แต่เฉียดใกล้ ด้วยเป็นของเหม็นเน่าที่หมักดองด้วยอาสวะ ที่สำคัญ ทุกสัตว์ไม่ว่าหญิงชาย ตัวผู้หรือตัวเมีย มาจากวรรณะ ชาติ ตระกูลใด ดอกเตอร์ หรือไม่ด็อก...ล้วนมีชีวิตหมักหมมอยู่ในกองทุกข์ที่น่ารังเกียจ... เหม็นเหมือนกันทั้งสิ้น

สัตว์เราทั้งหลายจึงเดินทางไปบนถนนชีวิตที่ประชุมลงในความทุกข์ ซึ่งหากไม่รู้จักปล่อยวางถ่ายออก เสียบ้าง คงทุกข์ทรมานแสนเข็ญ เหมือนสัตว์ในอบายภูมิ ได้แก่ เปรต เดรัจฉาน อสุรกาย หรือสัตว์นรก ที่จมจ่อมอยู่ในกองทุกข์ เสวยทุกข์ ยากที่จะปล่อยวางถ่ายทุกข์ออกไปได้อย่างสัตว์เราทั้งหลาย ที่มี สติปัญญา รู้จักเรียนรู้เข้าใจในธรรมชาติ เพื่อปรับสมดุลชีวิต สร้างดุลยภาพให้กับตนเอง ด้วยอุบายวิธีการบรรเทาทุกข์ หรือธรรมวิถีดับทุกข์ให้สิ้น ซึ่งสัตว์เราสามารถทำได้ด้วย สติปัญญา...บนการเดินทางจากเนปาลสู่สารนาถ ใกล้เมืองพาราณสี ในอุตตรประเทศ/อินเดียปัจจุบัน จึงให้สัจธรรมตอบแทนคืนกลับอย่างคุ้มค่าบนเส้นทางที่เขย่าทุกข์ให้ตลอดทาง จึงให้ระลึกถึงพุทธวจนะที่ว่า "...สัตว์ทั้งหลายจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม เถิด... เพราะสังขารทั้งหลายย่อมมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา..."

กลับมาดูข่าวสารความวุ่นวายมาก มายด้วยความทุกข์ในบ้านเมืองเราขณะนี้ ที่ดำเนินสืบเนื่องมาหลายเดือนต่อเนื่องมาหลายปี

มันช่างละม้ายเรื่องราวถนนทุรกันดารที่กล่าวมา ที่ให้ระบมกายมาตลอดเส้นทาง ตั้งแต่เริ่มต้นเข้าสู่ประตูชาย แดนด้านเนปาล สัญญาณทุกข์ก็เกิดขึ้นแล้ว

หากรู้จักพิจารณาจะทราบว่า ... ความไม่สบายกายคือความทุกข์ มันเป็นอย่างนี้เอง...ยิ่งบวกกับท้องไส้ปั่นป่วนด้วยภัยในโทษของสังขารธรรมจากอาหารนานาชนิดที่ญาติโยมประเคนถวายด้วยใจบุญแด่พระภิกษุผู้ประพฤติพรหมจรรย์ ก็ยิ่งให้เห็น อาการทุกข์ที่เกิดจากทุกข์...ทุกข์ ที่เกิดจากสังขาร ทุกข์ที่เกิดจากความแปรปรวน ทุกข์ที่เกิดจากภายใน ทุกข์ที่ เกิดจากภายนอก... มันช่างเห็นครบลักษณะ ทุกข์ จากท้องปั่นป่วนด้วยฤทธิ์เดชการีสัง (อาหารเก่า) ที่เน่าเหม็นอยู่ภายใน

จึงเป็นธรรมดาแห่งชีวิตของสัตว์เรา ทั้งหลาย ที่ต้องมีเกิด ดับ ขับถ่าย คลายออก... ดุจคำสอนในกรรมฐานว่า ให้ปล่อยวาง จางคลาย หยุด สงบ จะพบนิ่ง...ลองพิจารณาดูเถิด หากไม่ปล่อยวาง จางคลาย ถ่ายออก...จะไม่หยุด สงบ พบนิ่ง อย่างแน่นอน... นี่คือสัจธรรมของการถ่ายทุกข์แท้จริง!!!

จึงควรกลับมาช่วยกันพิจารณาดูว่า เราจะปล่อยวาง จางคลาย ถ่ายออก ในความทุกข์ร้อนของบ้านเมือง ประเทศชาติอย่างไร!? ...หากปล่อยอาการสังคมระทมทุกข์ไว้อย่างนี้ โดยไม่ช่วยคิดอ่านทำประการใด

ความทุกข์ก็ยิ่งเพิ่มพูนพันทวี ดุจสัตว์เราท้องไส้ปั่นป่วนแล้วถูกปิดจุกช่องทวารไว้

แรกๆ ก็พอทน แต่นานๆ ไปยากที่จะทน แม้อยากทนจนเหงื่อพระ กาฬไหลอาบทั่วแก้มก้น

ซึ่งอย่างไรๆ ก็ต้องถ่ายทุกข์ออกไปสักทาง ไม่ทางปกติ หรือต้องทางพิเศษ...

จะเปิดหน้าท้อง ล้วง ควักลำไส้ออกมาชำระล้างก็ต้องยอม แม้จะเจ็บปวด สูญเสียอวัยวะไปบ้าง

แต่ดีกว่าถูกความทุกข์ที่ขังอยู่ภายในบีบเค้นจนกายแตก ใจสลาย...

การปล่อยวาง จางคลาย ถ่ายออก ความทุกข์ให้เร็วที่สุด ไม่ว่าด้วยกระบวน การ... วิธีการใดๆ ที่ดีที่สุด

เพื่อประหยัดชีวิตให้ได้มากที่สุด

จึงเป็นสิ่งที่ต้องทำอย่างไม่ต้องคิดมาก

ถ้าหากโอกาสความพร้อมยังมีอยู่ เช่นเดียวกับบ้านเมืองในเวลานี้

ที่ทุกคนในสังคมจะต้องช่วยกันหาหนทางถ่ายทุกข์ให้กับสังคม ประเทศชาติอย่างรวดเร็ว

โดยธรรมวิธีที่ดีที่สุดที่อาจจะไม่ใช่วิธีการที่ดีที่สุดที่พึงควรกระทำ จึงขอให้ยึดหลักพิจารณาที่ว่า

๑.ต้องถูกต้องตามกฎหมาย กฎสังคม และกฎศีล กฎธรรม

๒.หาก ผิดเพี้ยนไป ไม่สามารถปฏิบัติ ตามหลักกฎหมายได้ ก็ให้ยึดกฎสังคม ได้แก่ จารีต ประเพณี วัฒนธรรมอันดีเป็นหลัก อันถูกต้องตามกฎศีลและกฎธรรม

๓.หากไม่สามารถดำเนินไปตามกฎหมาย กฎสังคมได้ด้วยข้อจำกัดทั้งปวง ก็ไม่ควรรอให้ทุกข์กำเริบเสิบสาน จนหลั่งราดรดลงมาเปรอะเปื้อนสังคม ประเทศชาติ ให้รีบตัดสินใจ อิงกฎศีลและกฎ ธรรม

๔.ในที่สุด แม้จะไม่สามารถดำเนินตามกฎหมาย กฎสังคม และกฎศีล ซึ่งเป็นหลักค้ำชูให้สังคม ประเทศชาติดำรงอยู่ได้อย่างมั่นโดยสันติ... ให้คำนึงถึง หลักธรรม เป็นที่สุด ซึ่งที่สุดแห่งประโยชน์ความสุขต้องมุ่งสู่ธรรม มีธรรมเป็นตรา มีธรรมเป็นธง แม้พระผู้มีพระภาคเจ้ายัง ถวายความเคารพในธรรม เรียกว่า มีธรรมเป็นครู

ดังในยามสังคมไทยระทมทุกข์ บ้านเมืองขาดความสุข

มวลมหาประชาชนอยู่ในภาวะคับแค้นใจ จนหยิบศาสตราอาวุธออกมาประหัตประหารกัน

ด้วยความทุกข์คุกคามไปทุกอณูของสังคม จนสัตว์เราขาดสติปัญญา ให้ไม่รู้เท่าทันในอารมณ์...

อะไรๆ จึงเกิดขึ้นได้อย่างเป็นธรรมดาของความไม่ปกติแห่งสังคม

ดังกรณีทำ ร้ายพระภิกษุ ยิงปืน ระเบิด ประหารบุคคลโดยไม่เคยรู้จักมักคุ้น กันเลยอย่างไม่มีเหตุผล

ด้วยจิตวิปลาส ต่ำช้าสามานย์ของสัตว์ระทมทุกข์

จนแปรผันให้จิตวิปลาส กลับเป็นจิตชั่ว และนึก คิด พูด ทำ ได้ทุกอย่างเฉกเช่นเดรัจฉาน...

โดยไม่ไยดีต่อกฎหลักใดๆ ไม่ว่าทางโลกหรือทางธรรม...

จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่บุคคลในสังคมทุกฐานะ

โดยเฉพาะ ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบต่อการถ่ายทุกข์ บำรุงสุข พึงช่วยกันเปิดจุกที่ทวารของบ้านเมือง

เพื่อขับถ่าย คลายทุกข์ออกจากร่าง ชำระให้สิ้นในความเร่าร้อนที่หมักหมกอยู่ภายใน

จนแก๊สแรงดันแห่งความทุกข์แผ่ซ่านไปทั่วองคาพยพของสังคม ประเทศชาติอย่างที่เป็นอยู่

จึงขอเรียกร้องให้ผู้มีบทบาทหน้าที่ทุกฝ่าย...

ผู้มีกำลังความพร้อมในทุกด้าน...

ผู้มีสติปัญญาทุกคน ต้องรีบเร่งช่วยกันปล่อยคลายถ่ายทุกข์ให้กับประเทศชาติอย่างเร่งด่วน...

อย่ารอให้ท้องแตกตายเสียก่อน

เพราะนั่นหมายถึง สัตว์เราทั้งหลายต้องรับผลแห่งความทุกข์ร่วมกัน...

ยามนี้จึงเป็นโอกาสของวีรบุรุษ สัตบุรุษ บัณฑิตทั้งหลายที่พึงจะได้แสดงวุฒิภาวะของความเป็น สัตว์ประเสริฐ

โดยเฉพาะผู้บัญชาการเหล่าทัพ ข้าราชการ และนักวิชาการทั้งหลาย...

เจริญพร

ปักธงธรรม 4 เมษายน 2557
หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์

โดย..พระ อ.อารยวังโส
[email protected]

หมายเลขบันทึก: 565742เขียนเมื่อ 9 เมษายน 2014 08:01 น. ()แก้ไขเมื่อ 9 เมษายน 2014 08:01 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท