GotoKnow

การจัดการความรู้สู่องค์การแห่งการเรียนรู้

Dr. Phichet Banyati
เขียนเมื่อ 20 ตุลาคม 2548 12:08 น. ()
แก้ไขเมื่อ 21 มิถุนายน 2555 12:55 น. ()
การแลกเปลี่ยนเรียนรู้มีหัวใจสำคัญคือการนำสิ่งที่ทำแล้วสำเร็จมาเล่าสู่กันฟัง ทำนองใช้ดีจึงบอกเพื่อน การบอกว่าดีหรือไม่จึงต้องใช้การเทียบเคียงมาตรฐานปฏิบัติ(Benchmarking)

การจัดการความรู้(Knowledge Management)เป็นเครื่องมือสำคัญอย่างหนึ่งในการพัฒนาองค์กรเพื่อสร้างผลลัพธ์ที่ดีต่อลูกค้าและประชาชนโดยเน้นการจัดการความสัมพันธ์ระหว่างคนและเชื่อว่าแม้คนจะเป็นสินทรัพย์สำคัญแต่ความสัมพันธ์ระหว่างคนกลับสำคัญยิ่งกว่า แม้จะเคยมีคนกล่าวว่าความรู้คืออำนาจแต่การแบ่งปันความรู้มีอำนาจยิ่งกว่า  การจัดการความรู้จะช่วยนำเอาความรู้จากคนในองค์กรออกมาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อองค์กรได้โดยเฉพาะความรู้ส่วนใหญ่ที่ใช้ในการปฏิบัติงานจริงที่จัดเป็นความรู้ฝังลึก(Tacit Knowledge)ที่อาจอยู่ในรูปของทักษะ ประสบการณ์ กฎของสามัญสำนึกหรือพรสวรรค์ที่อยู่ในตัวคน ไม่ใช่แค่เพียงความรู้ที่เห็นชัด(Explicit Knowledge)เท่านั้น  ดังนั้นการจัดการความรู้จึงเน้นที่การปฏิบัติ(Practice)เป็นสำคัญที่ต้องแนบแน่นอยู่กับงานประจำโดยมีความสำคัญอยู่ที่ผู้ปฏิบัติงานหาใช่ผู้รู้หรือนักทฤษฎีไม่  การจัดการความรู้จึงเป็นเครื่องมือ(Mean)ไม่ใช่เป้าหมาย(End)และต้องไม่ยึดติดกับรูปแบบแต่ต้องปรับเปลี่ยนประยุกต์ไปตามสถานการณ์อย่างเหมาะสมกลมกลืน สำหรับองค์กรในปัจจุบันที่มุ่งหวังเป็นองค์กรคุณภาพเพื่อความอยู่รอดต้องตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าและประชาชน การที่จะตอบสนองได้ดีต้องมีการเรียนรู้ลูกค้าและหาวิธีการตอบสนองลูกค้าได้อย่างดีกว่า เร็วกว่าและถูกกว่านั่นคือการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้(Learning Organization)และจะสามารถนำความรู้ที่มีอยู่มาใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ต้องมีการจัดการความรู้อย่างเหมาะสม การจัดการความรู้กับการวิจัยจะได้ผลลัพธ์เหมือนกันคือความรู้แต่ต่างกันที่จุดเริ่มต้นการวิจัยเริ่มจากปัญหา(Problems)แต่การจัดการความรู้เริ่มจากความสำเร็จ (Successes) ตัวอย่างที่เด่นชัดก็คือพระพุทธเจ้าได้ทดลองปฏิบัติหลายทางจนสามารถตรัสรู้อริยสัจ 4 แล้วนำมาสอนให้คนพ้นทุกข์ไปสู่นิพพานได้  ซึ่งปัจจุบันจะพบว่ามีการนำเสนอแนวทางการจัดการความรู้ที่หลากหลายรูปแบบแล้วแต่องค์กรต่างๆ บางครั้งหลายคนอาจจะสับสนหรือจับภาพชัดๆไม่ถูกว่าตกลงการจัดการความรู้เป็นอย่างไรกันแน่  เปรียบเสมือนกับไข่ ถ้าเห็นเป็นส่วนอาจจะเป็นไข่แดง ไข่ขาว เปลือกไข่หรือจะเป็นไข่ดาว ไข่เจียวก็เป็นไข่เหมือนกัน การจัดการความรู้ก็เช่นกันหากจะให้ชัดจึงต้องมองให้เห็นไข้ทั้งฟองก่อนแล้วจะเลือกส่วนไหนไปใช้ประโยชน์หรือปรุงอาหารอย่างไรก็เลือกไปตามใจชอบของเรา  จะขอเสนอตัวแบบการจัดการความรู้ที่จะบูรณาการสู่องค์การแห่งการเรียนรู้ที่เปรียบเสมือนไข่ทั้งฟองคือLKASA Egg Model ซึ่งจะมีอยู่ 5 ขั้นตอนหลักที่ไม่จำเป็นต้องเริ่มจากหนึ่งไปสองไปสามเพราะแต่ละขั้นตอนจะเชื่อมโยงและส่งผลถึงกันได้ ใครจะเริ่มจากขั้นตอนไหนก่อนก็ได้ จึงเรียกว่าเป็นโมเดลไข่ ดังรูปพร้อมจะอธิบายในรายละเอียดพอสังเขป ดังนี้ (ผมส่งรูปมาไว้ในบล็อคไม่ได้ครับ)

  1. การจัดการให้เกิดการเรียนรู้(Learning) เป็นหน้าที่หลักของผู้บริหารองค์กรและผู้บริหารจัดการความรู้(คุณเอื้อ)ที่ต้องทำให้ทุกคนมีและมองเป้าหมายเดียวกันว่าองค์กรกำลังจะไปทางไหน มองเห็นภาพใหญ่ทั้งระบบขององค์กร พยายามทำให้กิจกรรมและเครื่องมือต่างๆในการพัฒนาองค์กรสอดแทรกไปกับงานประจำ ทำให้ง่ายไม่เน้นและยึดติดรูปแบบ เข้าใจหลักการที่แท้จริงและสร้างสภาพบรรยากาศขององค์กรให้เอื้อต่อการเรียนรู้โดยทำให้คนในองค์กรมีวินัย 5 ประการของปีเตอร์ เซ็งเก้ ที่ต้องใฝ่รู้ใฝ่เรียน คิดสร้างสรรค์ มองเป้าหมาร่วม มองเชิงระบบและเรียนรู้จากทีม  สร้างทีมที่เอื้อต่อการเรียนรู้โดยลดความไร้ความสามารถในการเรียนรู้ขององค์กรทั้งลดการยึดติดฝ่าย/ตำแหน่ง ไม่มุ่งเน้นหาผู้กระทำผิด แก้ปัญหาที่ต้นเหตุ รับรู้การเปลี่ยนแปลงทีละเล็กทีละน้อยได้ ไม่ยึดติดความสำเร็จในอดีต เรียนรู้จากผู้อื่นและทีมงาน จัดกิจกรรมที่ส่งเสริมการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้เช่นกิจกรรมกลุ่มเรียนรู้ การสอนงาน การเป็นพี่เลี้ยง การเปรียบเทียบผลงานหรือแฟ้มงานเพื่อการพัฒนา  จัดเตรียมเครื่องมืออุปกรณ์เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างเหมาะสม  ส่งเสริมการเรียนรู้ของบุคลากรทั้งการฝึกอบรม ศึกษาดูงาน การอ่านและการเรียนรู้จากการปฏิบัติภายใต้การมีความคิดสร้างสรรค์ 4 แบบคือคิดเชิงบูรณาการ  คิดเชิงระบบ คิดเชิงบวกและคิดเชิงบุก(คิดนอกกรอบ) และที่สำคัญต้องมีการเขย่าองค์กรอย่างเหมาะสมต่อเนื่องตามหลักของจตุรภาคของการจัดการความรู้
  2. การจัดการให้เกิดองค์ความรู้(Knowledge Organizing) การนำความรู้ในแต่ละด้านมาประกอบกันเป็นแนวทางปฏิบัติที่ดีเกิดเป็นองค์ความรู้ในแต่ละเรื่องเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้องค์กรฉลาดขึ้น ทำให้องค์กรสามารถที่จะเรียนรู้หรือเข้าใจหรือจัดการกับสถานการณ์ที่ใหม่หรือยากลำบากได้ ความฉลาดขององค์กรจะทำให้เกิดขีดความสามารถหลักขององค์กรที่จะกลายเป็นปัจจัยสำคัญแห่งความสำเร็จขององค์กรได้ เราจึงต้องแยกแยะขีดความสามารถหลักออกมาให้ได้แล้วมามองว่าเรามีความรู้อะไร ยังขาดเรื่องอะไร สามารถสร้างหรือมีในองค์กรหรือไม่ ถ้ามีก็ใช้การหมุนเกลียวความรู้ตามSECI Modelสกัดออกมาหรือดูจากข้อมูล สารสนเทศ หรือวิธีการปฏิบัติที่มีอยู่ ถ้าไม่มีก็ไปคว้ามาจากภายนอกอย่างเหมาะสมโดยนำมาแต่แก่นหรือเนื้อในแกะเอาเปลือกนอกของเขาทิ้งไป ในขั้นตอนนี้วิศวกรความรู้(คุณประกอบ)จึงต้องนำความรู้ที่มีและที่คว้ามามาประกอบกันเป็นองค์ความรู้ที่นำไปสู่การปฏิบัติงานที่ดีภายใต้บริบทขององค์กรเราเอง องค์ความรู้เหล่านี้จึงเรียกได้ว่าเป็นภูมิปัญญาสถาบัน
  3. การจัดการให้เกิดการใช้ความรู้(Knowledge Acting) มีความสำคัญที่จะทำให้เรานำเอาความรู้ที่สร้างขึ้นมาใช้ปฏิบัติจริง คนในองค์กรจึงต้องเชื่อใจไว้ใจกันเพราะถ้าสร้างความรู้แล้วไม่นำมาใช้ก็เสียเปล่าแต่เมื่อนำมาใช้แล้วต้องมีการทบทวนหลังปฏิบัติ(AAR)และกิจกรรมผิดเป็นครู(Lesson Learned)เพื่อสร้างปรับเปลี่ยนองค์ความรู้ให้เหมาะสมยิ่งขึ้น  จัดกิจกรรมให้มีการแก้ปัญหาเป็นกลุ่ม การสอนงานกัน เป็นพี่เลี้ยงกันได้และสรุปสิ่งดีๆเก็บไว้ด้วย การจะปฏิบัติได้ดีจึงต้องกระตุ้นให้เกิดวัฒนธรรมทบทวนเพื่อลดความเสี่ยงและเรียนรู้จากข้อผิดพลาด  วัฒนธรรมประกันคุณภาพเพื่อให้ตัวเองและลูกค้ามั่นใจในผลงาน  วัฒนธรรมคุณภาพเพื่อให้ดีขึ้นเรื่อยๆ วัฒนธรรมสร้างสุขภาพเพื่อให้เกิดความสุขและวัฒนธรรมเรียนรู้เพื่อจะได้ไม่หยุดนิ่ง ซึ่งจะสังเกตวัฒนธรรมการเรียนรู้จากการเปิดใจรับความคิดที่แตกต่าง การมีส่วนร่วมคิดร่วมทำและการเสริมพลัง ขั้นนี้จึงเกี่ยวกับผู้ปฏิบัติจัดการความรู้หรือคุณกิจ(Knowledge Practitioner)เป็นหลักภายใต้การสนับสนุนของคุณเอื้อ(CKO) คุณอำนวย(KM Facilitator) คุณประกอบหรือวิศวกรความรู้(Knowledge Engineer)และคุณเก็บหรือบรรณารักษ์ความรู้(Knowledge Librarian)
  4. การจัดการให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้(Knowledge Sharing) เป็นหัวใจสำคัญของการจัดการความรู้ที่ขาดไม่ได้จึงเป็นเสมือนไข่แดงที่จะทำให้ไข่ฟักเป็นตัวได้ การแลกเปลี่ยนเรียนรู้มีหัวใจสำคัญคือการนำสิ่งที่ทำแล้วสำเร็จมาเล่าสู่กันฟัง ทำนองใช้ดีจึงบอกเพื่อน การบอกว่าดีหรือไม่จึงต้องใช้การเทียบเคียงมาตรฐานปฏิบัติ(Benchmarking) ผู้ที่จะเป็นตัวกลางที่ช่วยให้เกิดการแลกเปลี่ยนคือคุณอำนวยที่จะช่วยให้ผู้ปฏิบัติมาแลกกันโดยเฉพาะคนหวงวิชาและคนขี้อายที่มีสิ่งดีๆอยู่ในตัว  คุณอำนวยจึงควรเอื้ออำนวย 4 อย่างคือเอื้อโอกาส(Learn)จัดเวลาหาเวทีให้ เอื้ออาทร(Care)สร้างความสัมพันธ์ในกลุ่มให้รักกัน เชื่อใจกัน จริงใจกันผ่านกิจกรรมกลุ่มสัมพันธ์รูปแบบต่างๆ เอื้ออารีย์(Share)กระตุ้นให้คนอยากแบ่งปันกันและเอื้อเอ็นดู(Shine)ให้กำลังใจ เติมไฟ ใส่ฟืน การจัดเวลามีทั้งในเวลาและนอกเวลาราชการ มีทั้งเป็นทางการและไม่เป็นทางการ  การจัดเวทีให้มีทั้งเวทีจริงที่เจอหน้ากันและเวทีเสมือนที่ผ่านทางเทคโนโลยีสารสนเทศเช่นอินทราเน็ต อินเตอร์เน็ต  รูปแบบการแลกเปลี่ยนมีทั้งผู้ปฏิบัติกับผู้ปฏิบัติ  ผู้ปฏิบัติรุ่นเด็กกับรุ่นเดอะ  หัวหน้ากับลูกน้อง  แผนกกับแผนก องค์กรกับลูกค้า องค์กรกับองค์กร นำเครื่องมือแลกเปลี่ยนเรียนรู้รูปแบบต่างๆมาใช้เช่นเรื่องเล่าเร้าพลัง(Story telling) สุนทรียสนทนา(Dialogue)ย้อนรอยกรรม(Retrospect)เพื่อนช่วยเพื่อน(Peer assist)ค้นหาสิ่งดี(Appreciative inquiring)สุมหัว(Brain storming)พี่สอนน้อง(Coaching) หากจะเกิดความยั่งยืนของกลุ่มแลกเปลี่ยนต้องกระตุ้นให้เกิดก๊วนคุณกิจหรือชุมชนนักปฏิบัติ(Community of practice)โดยกลุ่มต้องมีเรื่องที่สนใจร่วมกัน มาพบปะกันสม่ำเสมอและได้ผลลัพธ์เป็นการปฏิบัติที่ดี การเทียบเคียงมาตรฐานระหว่างแผนกหรือหน่วยงานสามารถใช้เครื่องมือชุดธารปัญญาช่วยได้โดยกำหนดประเด็นที่สนใจและปัจจัยสำคัญแห่งความสำเร็จในตารางอิสรภาพพร้อมค่าคะแนนประเมินที่บ่งชี้ความสำเร็จอย่างเหมาะสม ทุกหน่วยยอมรับและเข้าใจตรงกันแล้วให้แต่ละหน่วยไปประเมินนำผลมาเปรียบเทียบกันเป็นรูปกราฟปรับสู่ธารปัญญาและแผนภูมิขั้นบันได นำหน่วยที่มีผลงานที่ดีมาแลกเปลี่ยนสรุปเป็นแก่นความรู้ นำไปสู่การกำหนดวิธีปฏิบัติที่เป็นเลิศ(Best practice)แล้วให้แต่ละหน่วยนำไปปรับใช้ตามความเหมาะสมของแต่ละองค์กร หลังจากนั้นสักระยะหนึ่งก็นัดกันกลับมาประเมินเทียบเคียงและแลกเปลี่ยนกันต่อไปเรื่อยๆก็จะได้การปฏิบัติที่ดีขึ้นเรื่อยๆ
  5. การจัดการให้เกิดขุมทรัพย์ความรู้(Knowledge Assets) การจัดทำคลังความรู้หรือขุมปัญญาเพื่อให้มีการเก็บสั่งสม(ไม่ใช่สะสม)องค์ความรู้ที่สามารถปรับให้เหมาะกับสถานการณ์และเปลี่ยนให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าได้ ต้องจัดการให้เข้าถึงง่าย นำมาใช้ง่าย ตรวจสอบ ทบทวน ต่อยอดได้ง่าย การแยกประเภทองค์ความรู้อาจแบ่งเป็นคู่มือการปฏิบัติงาน,นวัตกรรมทั้งสิ่งประดิษฐ์ เชิงระบบบริการ เชิงระบบริหาร สถานที่เก็บอาจเป็นในรูปแบบเอกสารที่หน่วยงาน ศูนย์คุณภาพหรือศูนย์สารสนเทศ หรือในรูปแบบอิเล็กโทรนิกส์ไฟล์ในระบบอินทราเน็ตหรืออินเตอร์เน็ต  จัดผู้ดูแลระบบเป็นบรรณารักษ์ความรู้ กำหนดการเข้าถึงทั้งสิทธิและวิธีการเข้าถึงของบุคคลทั้งภายในภายนอกเพื่อให้เกิดการเคลื่อนย้าย กระจายความรู้ที่มีอยู่ กำหนดการทบทวนปรับเปลี่ยนองค์ความรู้ที่มีใช้อย่างเหมาะสมเพื่อกระตุ้นให้เกิดการต่อยอดองค์ความรู้ได้

จากตัวแบบดังกล่าวหากมีการนำไปใช้จะวัดความสำเร็จอย่างไรบ้างนั้น สามารถทำได้ 2 แนวทางคือ

  1. การวัดว่าองค์กรมีการนำการจัดการความรู้มาใช้หรือไม่ ทำอะไรบ้าง มากน้อยแค่ไหน ทำหรือไม่ทำ มีอะไรบ้างซึ่งเป็นการวัดตัวเครื่องมือ
  2. การวัดว่าการจัดการความรู้ทำให้เกิดผลสัมฤทธิ์ที่ดีอะไรบ้างต่อองค์กร ลูกค้าหรือเจ้าหน้าที่ เป็นการวัดเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ของการจัดการความรู้ ซึ่งสำคัญมาก

ถ้าสรุปจากการจัดการความรู้ของโรงพยาบาลบ้านตากที่ทำอยู่จะเกิดผลลัพธ์ที่ดี

4

ประการ คือ
1.   ต่อองค์การ เช่น ขยายและพัฒนาโรงพยาบาลโดยไม่ใช้เงินงบประมาณด้านอาคารสถานที่ เครื่องมือแพทย์, พัฒนาโรงพยาบาลได้แม้จะมีทรัพยากรจำกัด, ผ่านการประเมินHA/HPH/HWP, เป็นที่ศรัทธาของชุมชน
2.  ต่อเจ้าหน้าที่ เช่นความเครียดในการทำงานลดลง, การกระทบกระทั่งกันระหว่างแผนก/วิชาชีพลดลง, บรรยากาศการทำงานดีขึ้น, ได้ใช้ศักยภาพที่มีอยู่มากขึ้น, คุ้นเคยกันมากขึ้น
3.  ต่อประชาชน เช่นสถานะสุขภาพดีขึ้น,ความพึงพอใจบริการสูงขึ้น,ความเสี่ยงลดลง
4.  ต่อผู้บริหาร ทำให้มีเวลาคิดวิเคราะห์งานมากขึ้นและมีคนมาช่วยคิดด้วย เพราะในโลกนี้มีอะไรๆที่เราไม่รู้อีกมากและแม้จะฉลาดปราดเปรื่องแค่ไหนก็ไม่สามารถเรียนรู้ได้หมดเพราะจำกัดเรื่องเวลา การให้คนที่เขารับผิดชอบงานคิดจึงเป็นการแบ่งเบาภาระอันหนักอึ้งของผู้บริหารลงได้ ไม่ต้องคอยตามจี้งานมาก ทำให้มีเวลาที่จะทำตามบทบาทที่แท้จริงของCEOมากขึ้นคือฝัน ขายความฝันและประคับประคองความฝันให้เป็นจริง
                การจัดการความรู้เป็นเรื่องสำคัญต่อองค์การที่ดูเหมือนยาก แต่ไม่ยาก ถ้ามุ่งทำเพื่อประโยชน์ขององค์การ และลูกค้าเป็นหลักและถือเป็นโครงร่างสำคัญขององค์การแห่งการเรียนรู้(Knowledge Management  is a connective tissue of a Learnining Organization) แต่หากจะนำมาใช้ต้องเกิดจากความต้องการทำเพราะเห็นประโยชน์จนเกิดกระสัน(Passion)จึงจะสำเร็จง่าย ไม่ใช่ทำเพราะกระแส(Fashion)ที่เห็นเขาทำก็ทำบ้างจะได้ไม่ตกยุคหรือกระสุน(Budget)มีเงินมาให้ก็ทำๆไปหรือกระสับกระส่าย(Policy)เพราะนโยบายบังคับให้ทำ  การจัดการความรู้ต้องเน้นคนก่อนเครื่อง ไม่ต้องรอให้รู้ก่อนแล้วจึงทำ ให้ทำไปเลยเป็นการทำไปรู้ไปเพราะการจัดการความรู้  ไม่ทำ…ไม่รู้…และเมื่อ ไม่รู้…ต้องทำ…
 
 

บทความโดย  นายแพทย์พิเชฐ   บัญญัติ  ผู้อำนวยการโรงพยาบาลบ้านตาก  จ.ตาก  23  มิถุนายน  2548

 

 


ความเห็น

JJ
เขียนเมื่อ

เรียน ท่าน อาจารย์ หมอ พิเชฐ เสริมความรู้ เป็นระยะๆ ดีมากครับ

JJ 

เขียนเมื่อ

อ่านแล้วเข้าใจ มองภาพรวมได้ดีครับ


พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท
ภาษาปิยะธอน (Piyathon)
เขียนโค้ดไพทอนได้ด้วยภาษาไทย