ผมกำลังอ่านทบทวนหนังสือ “การบริหารงานวิจัย และแนวคิดจากประสบการณ์” ของท่านอาจารย์หมอวิจารณ์ พานิช เพื่อให้ได้แนวคิดไว้พูดคุยกับรองคณบดีฝ่ายวิจัยที่ได้รับการแต่งตั้งใหม่จากคณะต่าง ๆ ตามที่ผมเคยเล่าให้ฟังแล้ว <Link> และ <Link>
ยังมีอีก 4 ประเด็นหลัก ๆ ที่ผมอยากจะคุยด้วย แต่คงต้องอาศัยอ้างอิงจากแนวคิดในหนังสือที่ผมกล่าวข้างต้น
เรื่องแรก เป็นเรื่องความแตกต่างของภารกิจของนักวิจัยและผู้บริหารงานวิจัย
เรื่องที่สอง เป็นความแตกต่างของความภาคภูมิใจของนักวิจัยและผู้บริหารงานวิจัย
เรื่องที่สาม เป็นเรื่องที่ว่านักบริหารงานวิจัยต้องทำงานเต็มเวลา
เรื่องที่สี่ เป็นเรื่องจรรยาบรรณของนักบริหารงานวิจัย
สำหรับครั้งนี้เป็นเรื่องที่สี่ครับ
"จรรยาบรรณของนักบริหารงานวิจัย
จรรยาบรรณของนักบริหารงานวิจัยมี 2 ด้าน คือ จรรยาบรรณต่อนักวิจัย กับจรรยาบรรณต่อองค์กรให้ทุนสนับสนุนการวิจัย
จรรยาบรรณต่อนักวิจัยมี 3 ประการ คือ การไม่มีประโยชน์ขัดแย้ง(Conflict of interest) ความเที่ยงธรรม และรักษาความลับ
นักบริหารงานวิจัยต้องไม่มีผลประโยชน์ขัดแย้งกับนักวิจัย เช่น ไม่เป็นคู่แข่งในการทำวิจัยเรื่องนั้น หากนักบริหารงานวิจัยยังทำวิจัยของตนเองอยู่ด้วย ในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง นักบริหารงานวิจัย ไม่ควรรับบริหารงานวิจัยในเรื่องนั้นเพราะตนองอาจมีผลประโยชน์ขัดแย้งกับนักวิจัยบางคน
ความเที่ยงธรรม หมายถึง การดำเนินการพิจารณาให้ทุนสนับสนุนการวิจัยโดยไม่มีความลำเอียงหรืออคติด้วยสาเหตุใดๆ ทั้งสิ้น
นักบริหารงานวิจัยจะต้องรักษาความลับของโครงการวิจัยที่มีผู้เสนอเข้ามา ไม่นำไปเปิดเผยโดยไม่สมควร เช่น เอาไปบอกคู่แข่งของนักวิจัย ผู้เสนอโครงการ ในกรณีที่จะนำโครงการไปขอคำปรึกษาจากคนบางคน และไม่มั่นใจว่าบุคคลนั้นมีผลประโยชน์ขัดกับนักวิจัยเจ้าของโครงการหรือไม่ ควรสอบถามเจ้าของโครงการเสียก่อนว่า จะขัดข้องหรือไม่หากจะนำโครงการไปขอคำปรึกษาบุคคลนั้น
จรรณยาบรรณต่อองค์กรให้ทุนสนับสนุนการวิจัยที่ตนทำงานให้ เป็นเรื่องของความจงรักภักดีต่อองค์กร และรักษาความลับ"
วิบูลย์ วัฒนาธร
ไม่มีความเห็น