ครั้งยังเด็ก


โลกเเห่งจินตนาการหมดไปเเล้วเมื่อยังเด็ก เดินมาสู่โลกเเห่งความรับผิดชอบ เเต่หลายๆครั้งเมื่อได้ไปอยู่ในมุมเเห่งจินตาการก็เป็นสุขเช่นเดียวกัน

เมื่อยังเด็ก เด็กจริงๆ

        ลมเหมันต์พัดผ่านมาในระหว่างที่คิมหันก็กำลังเคลื่อนที่มาเเทนที่ พัดพามายังดินเเดนบ้านนอกถิ่นอีสานบ้านเกิด เด็กคนหนึ่งลืมตาดูโลก ขึ้นเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2539 เกิดเนิดอยู่ในครอบครัวที่อบอุ่น เติบโตขึ้นความเเม่เลี้ยงเป็นอย่างดี เติบขึ้นในมาในระดับของอนุบาลเเล้ว เป็นคนที่ชอบดูการ์ตูนชอบดูหนังอุลตร้าเเมน/คาเเมนไรเดอร์เป็นชีวิตจิตใจ กลับมาจากโรงเรียนก็มานั่งดูทุกๆวัน เมื่อดูเเล้วก็นึกอยากเเปลงร่างได้ขึ้นมาเหมือนเขา ในหนังเขามีเข็มขลัดเเปลงร่าง เราก็จะมีเหมือนกัน (บ่นอยู่คนเดียว) จากนั้นด้วยจินตนาการที่พิลึกพิลั่น การประดิษฐิ์เข็มขลัดเเปลงร่างเริ่มขึ้น มีการวางเเผน ออกเเบบอย่างชัดเจน เพื่อนคนหนึ่งบอกว่าทำให้ด้วย เราก็น้อมรับมาทำให้ ซึ่งอุปกรณ์ของเรานี้ คือ กล่องกระดาษที่ใส่ของ เราก็ลงทำมือเลย เราก็ทำของตัวเองมีมาก สวยมาก เเต่ทำให้ผู้อื่นๆก็ลดหลั่งความสวยงาม (ฮ่าๆๆ) เพราะเราต้องชนะในการสงครามครั้งนี้(จินตนาการ) เมื่อได้ที่เเปลงร่างเเล้วก็มาต่อสู่กัน ต่อสู่้กับเพื่อเเล้วปรากฏว่า กระดาษขาดยับเยิน มานั่งคิดว่าอุปกรณ์นี้มัน ขาดง่าย ดาบที่ทำจากกระดาษนั้นมันใช้ไม่ได้ ต้องเอาไม้ เราต้องทำดาบไม้ จากนั้นก็เริ่มทำดาบไม้ เเละสะสมเพิ่มพูนขึ้นเรื่ยๆจนรกบ้าน เเล้วดาบไม้อันสุดท้าย(เราทำเอง) ทำอยู่ดีดี มีดก็บาดมือ ร้องไห้ไม่ได้เพราะเเม่จะตีซ้ำเพราะเราเเอบทำเอง กลายเป็นรอยเเผลเป็นมาจนทุกวันนี้ 

        ตอนนี้เราได้อุปกรณ์เเปลงร่างเเล้ว เราได้ดาบไม้อันสวยงามเเล้ว เราก็มาปะทะกันเลยหมู่มารทั้งหลาย(ในจินตนาการ) เเล้วก็ต่อสู่กับเพื่อนๆเเละพี่ๆก็มาเล่นด้วยกัน นอกจากที่จะมีการเเปลงร่างเเล้วยังเป็นคนบ้าสมบัติ ชอบสะสมโมเดลการ์ตูน ตัวการ์ตูนของเล่น เก็บไว้ถุงใหญ่เลยทีเดียว เป็นสมบัติที่เราหวงมาก เล่นทุกๆวัน นอกจากที่เราจะต่อสู่กันด้วยร่างกายเเล้ว เราก็ต่อสู้ด้วยสมองด้วยการให้ตัวการ์ตูนโมเดลจัดทัพ เราเป็นเเม่ทัพเเล้วโจมตีกันเหมือนในการ์ตูนจริง เล่นอยู่เช่นนี้หลายปีเหมือนกัน เเต่ถ้าเราจะเล่นอย่างเดียวมันก็เบสิก  เขามีการ์ตูนที่เขาสร้างมา เราก็ต้องมีการ์ตูนของเราเช่นเดียวกัน จากนั้นเพียงไม่นานก็เริ่มทำหนังสือการ์ตูนของตนเองที่เราเองเเต่งขึ้นตั้งเเต่อนุบาลถึงป.3 นับรวมได้ประมาณ 40 กว่าเรื่องที่ได้เเต่งหนังสือการ์ตูนขึ้น เเต่งจบจริงๆนั้นประมาณ 10 เรื่อง ส่วนที่เหลือ 30 กว่าเรื่องนั้นเเต่งไม่จบ เพราะตอนนั้นเราเองก็เป็นคนเบื่อง่าย ถ้าเเต่งไปเจอทางตันการเเต่งเล่มใหม่จะมาในทันทีทันใด  เราเเต่งหนังสือการ์ตูนเองเเล้วก็อ่านเอง เเล้วก็มีความสุขเอง เล่นอยู่คนเดียว เลยกลายเป็นคนสันโดด ชอบอยู่คนเดียวถ้าอยู่คนเดียวจะคิดอะไรออกตั้งเเต่บัดนั้น 

        วัยเเห่งจินตนาการเริ่มหมดไป วัยเเห่งความรับผิดชอบเริ่มเข้ามา ตั้งเเต่ชั้นประถมศึกษาเพื่อนก็บังคับให้ผมเป็นหัวหน้าห้องตลอดเพราะ เพื่อนของผมนั้นล้วนมองว่า "เธอต้องลำบาก" (นึกเเล้วก็ขำอยู่ในใจ) ก็น้อมรับตำเเหน่งนี้มาทั้งประถม เพราะไม่มีคนเป็น เราเลยต้องเป็น เมื่อได้เป็นเเล้วนั้นมีอยู่ครั้งหนึ่งสมัยป.5 ตอนนั้นเป็นการเรียนเย็บปักถักร้อย ปรากฏว่าเราเองเอาผ้ามาชิ้นน้อย ไม่พอสำหรับเย็บ เลยกลับมาเอาที่บ้าน เเล้วครูก็เข้ามาในระหว่างที่เราเดินทางไปเอาผ้า ครูเดินเข้ามาเเล้วไม่มีใครบอกทำความเคารพ ขณะที่รองหัวหน้าห้องก็อยู่ทั้ง 2 คน ครุก้เลยเอ่ยขึ้นว่า ถ้าไม่บอกทำความเคารพก็ไม่ต้องเรียนกันล่ะ เเล้วครุก้เดินจากไป ครุเดินออกจากห้องไปไม่นานผมเองก็มาถึงโรงเรียนพอดี พอเดินเข้ามาที่ห้องก็โดนเพื่อนรุมด่า ต่างๆนานา ผมเองก็พยายามที่จะอธิบายว่า เเล้วรองหัวหน้าก็อยู่เเล้วทำไมไม่บอกทำความเคารพ เเต่เนื่องด้วยเราเป็นเสียงเดียว ต่อสู้กับคนทั้งห้องไม่ได้ ก็เลยน้ำตาซึมเล็กๆ เเล้วก็เซ็งตามประสาเด็กๆ

        จากนั้นคำว่า"ความรับผิดชอบตราตรึงอยู่ในหัวเฃผมตลอกเวลายิ่งขึ้นไปอีก" ซึ่งเเต่ก่อนนั้นตั้งเเต่ป.1-ป.4 ผมเองก็ขาดเรียนเเค่เป็นไข้ประมาณ 4 วัน เเล้วตอนป.5 มาย้ำเตือนความรับผิดชอบอีก ตั้งเเต่ขนาดเป็ไข้ก็ยังมานั่งเรียนกับเขาเลยไม่ขาดเลย สรุปว่าตั้งเเต่ป.1-ป.4 ขาดเรียนอยู่ประมาณ 4-5 วัน (นับได้เลย) คราวนี้มาถึงป.5ลงสมัครประธานนักเรียนเพราะครูบังคับลง ไม่มีคนลง เราเลยต้องลง เมื่อเราลงเเล้ว คนอื่นเห็นเราลงเขาก็ลงตามไปด้วย หลังจากที่ลงคะเเนนเสียงเเบบเรียบง่าย ผล คือ เราได้เป็นรองประธานคนสุดท้ายคนที่ 3 เเต่เขาก็บังคับเราอีกว่าให้เรานำกล่าวหน้าเสาธงทุกๆวัน เราก็น้อมรับด้วยความเต็มใจ พอขึ้นมาป.6ก็สมัครประธานนักเรียนอีก เราก็ได้ทีสุดท้ายอีก เเล้วเขาก็บังคับเราให้เรานำกล่าวหน้าเสาธงอีก ชีวิตของความรับิดชอบในช่วงนี้มีเเต่ "บังคับ" เลยเซ็ง นิดๆ เเต่ก็มีกำลังใจ คือ เราได้ทำในสิ่งที่เราชอบ เเล้วก็ก้าวขึ้นมัธยมมาด้วยความชื่นใจ ... 

        ความเป็นเด็กของเรานี้ เมื่อได้ย้นไปมองดูทีไร เป็นการสุขในทุกครั้งครัน ความเป็นเด็กเมื่อครั้งก่อนเป็นเเรงบันดาลใจให้เราเดินต่อไปในเส้นทางของความฝัน ในครั้งป.6 เป็นช่วงจุดประกายความฝันเเห่งเส้นทาง โลกเเห่งจินตนาการหมดไปเเล้วเมื่อยังเด็ก เดินมาสู่โลกเเห่งความรับผิดชอบ เเต่หลายๆครั้งเมื่อได้ไปอยู่ในมุมเเห่งจินตาการก็เป็นสุขเช่นเดียวกัน ... 

 

 

 

 

 

 

 

 

หมายเลขบันทึก: 564196เขียนเมื่อ 19 มีนาคม 2014 08:29 น. ()แก้ไขเมื่อ 19 มีนาคม 2014 08:30 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)

สักวันจะได้เป็นนักเขียนน้อย ดีใจด้วยน่ะเขียนเก่งครับ

คุณครูครับ ... ขอบคุณครับ .. ผมก็เขียนตามประสาเด็กๆ ครับ ... 555


อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท