วิชาการแนว KM
<p>
ผมได้รับเชิญจาก มศว.ประสานมิตร ให้ไปร่วมในการเสวนา “ทิศทางโครงการจัดตั้งวิทยาลัยนวัตกรรมการกีฬาและออกกำลังกาย” ในวันพรุ่งนี้ (30 มิ.ย.48) โดยที่ผู้จัดการเสวนาตระหนักในความจำเป็นที่ถ้าจะจัดตั้งวิทยาลัยนวัตกรรมด้านการกีฬาและออกกำลังกาย ก็จะต้องฉีกแนวไปจากนวัตกรรมที่เมืองไทยมีอยู่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการบูรณาการข้ามศาสตร์</p><p>
อ่านจากเอกสารของการเสวนา เห็นภาพการเปลี่ยนแปลงในอุดมศึกษาด้านการกีฬาชัดเจนมาก
· จุฬาฯ : พัฒนาจากภาควิชาพลศึกษา ไปเป็นสำนักวิชาวิทยาศาสตร์การกีฬา
· มหิดล : พัฒนาจาก รร.กีฬาเวชศาสตร์ ไปเป็นวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทางการกีฬา
· ม.บูรพา : พัฒนาจากภาควิชาพลศึกษา ไปเป็นวิทยาลัยวิทยาศาสตร์การกีฬา
· ม.เกษตรศาสตร์ : พัฒนาจากภาควิชาวิทยาศาสตร์การกีฬา ไปเป็นคณะวิทยาศาสตร์การกีฬา</p><p>
ผมแจ้งว่า มศว.จะไม่แค่เปลี่ยนแปลงตามแฟชั่น แต่กำลังแสวงหาวิธีดำเนินการให้กิจกรรมด้าน
อุดมศึกษาแขนงการกีฬาและออกกำลังกายเกิดคุณประโยชน์แก่สังคมไทยอย่างแท้จริง
ผมเกิดมาโชคไม่ดี เล่นกีฬาไม่เป็นสักอย่าง แต่โชคดีที่ได้ออกกำลังกายตั้งแต่เด็ก ตอนอายุ 10 – 15 ปีขี่จักรยานไปโรงเรียนวันละ 12 กม. อายุ 40 – ปัจจุบัน 63 วิ่งเหยาะออกกำลังกาย 20 – 30 นาทีแทบทุกเช้า ร่างกายจึงแข็งแรง</p><p>
เมื่อจะให้ออกความเห็นให้แหวกแนวสุด ๆ ในเรื่องกีฬาและออกกำลังกาย ผมก็จนปัญญา</p><p>
สมัยนี้เหงา ๆ หรือคิดอะไรไม่ออก ต้องลองเข้าอินเตอร์เนต ผมจึงลองเข้าไปค้นเอ็นไซโคลปีเดียแนวใหม่คือ วิกิปีเดีย ที่ www.wikipedia.org ด้วย keyword : exercise ก็ได้แนวคิดเรื่องการออกกำลังกาย ว่ามี 3 ชนิด คือบริหารกายแบบยืดหยุ่น, ออกกำลังกายแบบแอโรบิก กับแบบแอนแอโรบิก และอื่น ๆ อีกมาก</p><p>
ลองค้นอีกแหล่งที่ www.google.co.th ก็ได้คำตอบมาถึง 70.5 ล้านชิ้น (อย่าลืมว่าส่วนใหญ่เป็นขยะ) เห็นภาพชัดเจนว่าสังคมมนุษย์ได้ตั้งองค์กรหรือกลไกเชิงองค์กรด้านการออกกำลังกายและกีฬาขึ้นมามากมาย</p><p>
ค่อยหูตาสว่างขึ้นมาหน่อย (หน่อยเดียวนะครับ) ผมฟันธงเลยว่า ขณะนี้วงการวิชาการไทยด้านการกีฬาและออกกำลังกายยังเข้าไปเชื่อมต่อกับชีวิตความเป็นอยู่ของคนทั่ว ๆ ไปในสังคมน้อยไป</p><p>
เวลานี้สังคมไทยตื่นตัวด้านการออกกำลังกายมากกว่าเมื่อ 20 ปีที่แล้วอย่างมากมาย ตื่นตัวกว่าประเทศอื่น ๆ อีกมากมาย แต่ผมคิด (ไม่รู้ว่าผิดหรือเปล่า) ว่าวงการวิชาการเข้าไปเชื่อมต่อกับคนที่ออกกำลังกายเป็นประจำน้อยเกินไป
ผมจึงคิดว่านวัตกรรมอย่างหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องวิชาการด้านการกีฬาและออกกำลังกาย คือการเข้าไปเห็นคุณค่าของความรู้ปฏิบัติ เอาความรู้เกี่ยวกับการกีฬาและออกกำลังกายของผู้ปฏิบัติ ที่เป็นความรู้ฝังลึก (Tacit Knowledge) ออกมาต่อยอดด้วยความรู้เชิงวิทยาศาสตร์ แล้วหมุนกลับให้ชาวบ้านเอาไปทดลองปฏิบัติ หมุนเป็นวัฏจักรเช่นนี้เรื่อยไปไม่รู้จบ จะเกิดการสร้างและสั่งสมความรู้ด้านการออกกำลังกายและการกีฬามากมายมหาศาล</p><p>
กระบวนการทั้งหมดนี้เรียกว่า การจัดการความรู้ด้านการออกกำลังกายและการกีฬา เป็นการต่อยอดกันไปต่อยอดกันมาระหว่างความรู้ปฏิบัติ กับความรู้ทฤษฎี โดยที่จะต้องเอา IT มาเป็นเครื่องมือของการสื่อสารต่อยอดความรู้ และสร้างความคึกคัก</p><p>
IT ที่ผมจะ demo ให้ดู (ถ้าห้องประชุมเข้าอินเตอร์เนตได้) คือบล็อก หรือเว็บล็อก (Blog/Weblog) เป็นเครื่องมือเชื่อมโยงเครือข่ายความรู้ปฏิบัติ</p><p>
ถ้าจะดำเนินการตามแนวนี้จริง ก็จะต้องคิดลูกเล่นด้านการบริหารจัดการอีกมาก และจะต้องคำนึงว่า “ความรู้ปฏิบัติ” มีอยู่ในผู้ปฏิบัติและในผู้มีพรสวรรค์</p><p align="right">
วิจารณ์ พานิช
29 มิ.ย.48
</p>