ให้อภัย


 "ให้อภัย"

การให้อภัยเป็นกิริยา และเป็นกิริยาภาวนาอีกประการหนึ่ง ซึ่งมีปัจจัยบางประการที่อาจจะทำให้กระทำยากกว่าการขอบคุณ หรือการขออภัยเสียอีก แต่ยิ่งยากยิ่งหมายความถึงคุณค่าและบารมีจากการภาวนานั้นยิ่งมากตามไปด้วย

การให้อภัยนั้นสามารถกระทำได้ทั้งเมื่อมีคนมาขออภัย มาขอ ก็ให้ไป หรืออาจจะกระทำได้แม้แต่ไม่มีคนมาขออภัย เพราะการ "ให้อภัย" โดยรากเหง้าที่มา คือการ "บำเพ็ญจิต" โดยแท้ คือทำให้จิตให้เกิดความปราศจากความกลัว (อภัย อ คือ ไม่ ภย คือกลัวหรือทำให้กลัว อภัยคือการปราศจากความกลัว หรือทำให้ไม่กลัว) จิตที่ปราศจากความกลัวจะอยู่ในสภาวะที่สมบูรณ์พร้อมในการเห็น การรับรู้ และการเรียนรู้

@จะให้อภัย ต้องเห็นทุกข์ก่อน
เห็นทุกข์ ไม่เหมือนกับเป็นทุกข์ การเห็นทุกข์คือรับรู้ว่าเรา "มี" ทุกข์ ของที่เรามีนั้น เราจะทำอะไรกับมันก็ยังสามารถจะเลือกได้ ต่างกับที่เรา "เป็น" ที่ดูเหมือนจะหลบหลีก ปฏิเสธ ยาก ต้องทน ต้องอยู่กับมัน จะให้อภัยเกิดจากการปรับสภาพ (อาจจะชั่วคราวก็ได้ หรือถาวรก็ยิ่งดี) ของการเป็นทุกข์ ไปเป็นมีทุกข์ เพื่อที่จะได้พิจารณา และเห็นทุกข์นั้น และยังคงมีสติ สามารถใช้ปัญญาใคร่ครวญทุกข์นั้นได้

@จะให้อภัย ต้องผ่านทดสอบจิตก่อน
จิตที่กำลังหวาดกลัว เกิดข้อจำกัดในการใช้ปัญญา (ยังคงมีอยู่ แต่เป็นปัญญาหมาจนตรอก คือ หมดหนทาง เหลืออยู่ทางเดียว) ถ้ากลัวต่อ ก็จะเกลียด ก็จะโกรธ และจมทุกข์ การทดสอบจิตนี้คือ ณ ทางแพร่งแห่งนี้ เราจะเดินไปทางแยกใด จะต่อยอดไปเกลียด ไปโกรธ สุดท้ายก็จะทุกข์ หรือว่าเราจะเยียวยาความกลัวนั้นเสีย และให้อภัย

@จะให้อภัย เป็นการทบทวนต้นทุนชีวิต
ความกลัวต่ออันตราย ความอยุติธรรม ความเจ็บปวด ความโกรธแค้นชิงชังนั้นคุกคามต่อการมีชีวิต การให้ความหมายชีวิต การเกิดความปราถนาที่จะมีชีวิตต่อไปอย่างมีความสงบสันติ จะให้อภัยเราจะต้องมองเห็นต้นทุนอื่นๆของชีวิตของเราให้ชัดเจน นำมาเป็นสถานะที่เราจะหลุดพ้นความกลัวนั้นได้ เห็นว่าเรามีอะไรดีบ้าง มีอะไรเหลืออยู่บ้าง มีความหวัง มีเพื่อน มีกัลยาณมิตร มีคนที่เรารักและมีคนที่รักเรา เพราะที่สุดแล้ว "เราไม่สามารถจะให้อะไรใคร ในสิ่งที่เราไม่มี" หากเราจะมอบความ "ไม่กลัว" ให้กับใครได้ เราก็ต้องมี "ความไม่กลัว" นั้นเสียก่อน เป็นโอกาสอันยิ่งใหญ่ที่เราจะได้ทบทวนชีวิตทั้งหมดของเราเพื่อที่จะมองเห็น ต้นทุนแห่งความไม่กลัวนี้ จนมีมากพอที่จะมอบออกไปให้แก่ผู้อื่น

@จะให้อภัย เป็นการเลือกใช้ความรัก
ทั้งๆที่มีเหตุแห่งความกลัว ความโกรธ มากมายและเหตุเหล่านั้นยังไม่หมดไป เป็นไฟฟืนแห่ง ""ภัย" คุกรุ่นอยู่ ก็ยังสามารถให้อภัยได้หากเรา focus ที่ "ความสามารถที่จะรักและเมตตา (love and compassion)" ได้เพียงพอ บนทางแพร่งนี้ เราเองที่จะเป็นผู้เลือกทุกครั้ง ว่าเราจะเดินไปทางไหน เติมพลังงานให้กับอะไร ความกลัว ความเกลียด ความโกรธ นั้นเป็นพลังงานที่ feed ตนเอง เพียงแค่อยู่กับมันก็จะเติบโต ลุกลาม มากขึ้นเรื่อยๆ แต่ความกล้าหาญ ความรัก และความสงบสันติ เป็นพลังงานที่ต้องหล่อเลี้ยง ใคร่ครวญ ประคบประหงมให้งอกงาม เติบโต ด้วยความวิริยะ อย่างมีสติ มีสัมมาทิฎฐิ

@จะให้อภัย ทำให้เราสามารถเห็นข้อจำกัดของชีวิต
คนที่ทำให้เราเดือดร้อน ทำให้เรากลัว หรือโกรธแค้นนั้น อาจจะมีความไม่เป็นตัวของตัวเอง ในบริบทที่เราไม่ทราบมาก่อน แต่เมื่อเราชะลอการตัดสิน มองเห็นพลังงานขับเคลื่อนของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เห็นชีวิตอื่นๆเป็นนาวาที่กำลังผจญคลื่นแห่งกรรม เมื่อนั้นแทนที่เราจะจมไปกับเหตุการณ์นั้น เราจะสามารถทุ่มเทสติ ไปที่จะทำอย่างไรจะทำให้นาวาของเราเองไปรอดได้ และอาจจะถึงขั้นจะทำอย่างไร ที่จะช่วยเหลือนาวาลำอื่นๆ ที่กำลังจมอยู่ในกระแสความโกรธ เกลียด ชัง นั้น หลุดรอดออกจากวิบากนั้นได้

@จะให้อภัย เป็นการอาราธนาการใช้ชีวิตด้วยปัญญา
ท่ามกลางความยากลำบาก กับสัณชาตญาณดิบที่อยากจะเห็น อยากจะกระทำ ให้คนที่เป็นเหตุของความทุกข์ ความเกลียด ความโกรธ ของเราได้รับความทุกข์บ้างนั้น อันจะเป็น vicious cycle วงจรอุบาทว์ หากเราสามารถเรียกประมวลประสบการณ์ ความกล้าหาญ ต้นทุนชีวิต ทั้งหมด หลุดจากบ่วงนี่ไปได้ รางวัลที่รอคอยอยู่คือการเติบโตของปัญญา ซึ่งจะเป็นต้นทุนทบต้นต่อไปสำหรับชีวิตที่เหลืออยู่ เพราะชีวิตที่สามารถให้อภัยได้นั้น เป็นการเลือกที่จะมีนาวาอันมั่นคง พร้อมที่จะฝ่าคลื่นลมฝนพายุ แทนที่จะเป็นกะลาที่ล่องลอยไร้ทิศทาง และถูกทำลายลงไปในที่สุด

หากเราไม่สามารถจะให้อภัยได้ ก็คงจะต้องพิจารณาว่าเพราะเหตุใด และชีวิตของเรานั้นจะดีขึ้น หรืออยู่ต่อไปอย่างไร กับจิตที่ยังผูกติดกับความกลัวนั้นตลอดไป

สกล สิงหะ
เขียนที่หน่วยชีวันตาภิบาล รพ.สงขลานครินทร์
๙ นาฬิกาตรง วันอังคารที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗
วันขึ้น ๑๒ ค่ำ เดือน ๓ ปีมะเส็ง

คำสำคัญ (Tags): #ให้อภัย
หมายเลขบันทึก: 561370เขียนเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2014 09:05 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2014 09:07 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (11)

ขอบพระคุณครับ มิทราบว่าพอจะแนะนำเอกสารสิทธิ์ที่ว่านี้ด้วยได้ไหมครับ

สำหรับเรื่องมนุษย์มาจากไหนนั้น ตัวผมเองยังพิจารณาว่าเป็น imponderable questions หรืออจินไตย คงจะต้องรอศึกษาเรียนรู้ต่อไปครับ ขอบพระคุณครับ

ขอบพระคุณครับ ไม่ทราบว่าทั้งหมดที่กรุณามาแลกเปลี่ยนเป็นท่านเดียวกันไหมครับ :)

ต้องขออภัยหากทำให้ขุ่นมัว เพราะเนื้อหาน่าสนใจผมจึงคิดว่าน่าจะเริ่มต้นด้วยความจริง ทั้งจริงใจ และจริงต่อตนเองเท่านั้นเอง และเข้าใจว่ายังไม่ได้มีเนื้อหาส่วนใดที่เป็นความมุทะลุปรากฏขึ้น มิตรภาพระหว่างบุคคลนั้นสำคัญ จับต้องได้ มิได้เป็นเพียงมิตรภาพระหว่างเงา แต่เป็นระหว่างเลือดเนื้อ ชีวิต เพราะเรามีชีวิตมีการเดินทาง และกำลังอยู่ระหว่างการเดินทางด้วยกัน

ท่ามกลางการแสวงหา "สัจจธรรม" คงจะต้องจริงตามวิถีชีวิตด้วย มิใช่แค่ปริยัติ แต่รวมถึงปฏิบัติ จึงจะดำเนินไปสู่ปฏิเวธ สิ่งที่เรากำลัง "สนทนา" นี้เชื่อว่าไม่ได้เป็นเพียงทฤษฎี แต่ว่าเราทั้งหมดกำลังยึดถือและปฏิบัติเป็นจริยาวัตรจริง

เริ่มต้นจาก Who we are, What are we doing?

ให้อภัยคนทำผิดแล้วคิดแก้ให้ได้ ให้อภัยที่เราจะมีเพียงฝ่ายรํฐข้างเดียวไม่ได้

สำคัญที่สุดโดยเฉพาะในปัจจุบันนี้จริงๆค่ะ "เริ่มต้นจาก Who we are, What are we doing?"

ขอบคุณการผู้นำพาเครื่องมือ

ขอขอบคุณ ผู้กำหนดให้มีเครื่องมือลบทำลายความจริง ความรู้สากล ที่กำหนดให้ชัดขึ้นต่อสังคมไทย

ชาติไทยจะได้พัฒนาขึ้นได้ในเร็ววัน เพราะเครื่องมือที่ผิดพลาดหวาดเสียวนี้ ทำงานได้อย่างประจักษ์ชัดต่อชนในแผ่นดิน

โดยเฉพาะ ครูบาอาจารย์ แพทย์พยาบาล ข้าราชการ ผู้บริหารบ้านเมือง บนบอร์ด โกทูโนว์นี้

ผู้บันดาล ช่างเมตตาต่อสังคมแผ่นดินไทยเหลือเกิน ที่ไม่ทอดทิ้งให้สังคมจมอยู่กับความมืดบอกในแง่มุมนี้

ขอบคุณในพฤติกรรมที่ ทำให้การกระทำทั้งดี และ ชั่ว ได้ประจักษ์ชัด เป็นจีรังสู่สังคม 55555 ดีใจมากๆ

การกระทำของเรานั้นส่วนหนึ่งเพื่อการเติบโต ส่วนหนึ่งเป็นการเยียวยา เพื่อที่จะเข้าใกล้ เข้าหา true self หรือตัวตนที่แท้จริงของเราให้ได้ ทำให้ตัวตนของเราชัดยิ่งขึ้น

ไม่ว่าจะเป็นเขียน พูด หรือการลบ ถอนความเห็นก็ตาม สุดท้าย "ตัวตนที่แท้" จะสำแดงสะท้อนออกมาในการกระทำนั้นๆ ก็เป็นโอกาสอันดีที่จะได้เห็นและเรียนรู้ว่าจริงๆแล้วเราเป็นใคร และกำลังทำอะไรอยู่ การยอมรับหรือการไม่ยอมรับสิ่งต่างๆจะทำให้เรามองเห็นว่าเราชอบ/ไม่ชอบอะไร สิ่งเหล่านี้มีที่มา และเป็นองค์ประกอบของ self ในปัจจุบัน

หวังว่าพวกเราจะเห็น self เราเองชัดขึ้นจากกายกรรม วจีกรรม และมโนกรรมของเราตลอดเวลาครับ

พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า ให้วางอัตตาลง แล้ว หากลูกหล่นจะ true self มันจะไม่ใกล้เคียงอัตตาหรือ

แล้วที่มีผู้กล่าวว่า การเดินทางไปหาสิ่งสุดท้ายคือ การตอบแทนในปรโลก เราก็หลงลืมไป หาแต่สิ่งปลอบประโลมในโลกนี้

สรรเสริญ เยินยอ ยอมรับ พึงใจ อำนาจควบคุม บุญ บารมี กระนั้นหรือ

ไม่มีความรู้ใด ได้มาด้วยการไม่เคยทดลอง จงลองกตัญญูไปพลางๆ แทนการเนรคุณไปพลางๆก่อนเถิด (ต่อผู้สร้างธรรมชาติ สร้างโปรแกรมบริหารจัดการกรรม) ท่านจะได้ความรู้เรื่องการ “จะกตัญญูสูงสุดได้อย่างไร” —- การแนะนำเรื่องการกตัญญู คือ เครื่องมือช่วย การชี้วัด เป้าหมายของจิต วิญญาณ เชิงพรรณนา ขอจงอย่ากังขาว่า ถูกหรือผิด เพราะ การกตัญญูสูงสุด ย่อมไม่มีทางเลือกอื่น เพราะมันคือ สูงสุดแล้ว. สูงสุดคือ ปลอดภัยสุด กตัญญู ก็ยังคงเป็นนามธรรม ไร้รูปธรรมที่หากจะต่อรองแล้ว ก็ยังสามารถดีดดิ้นได้อีกว่า ยังไม่พบตัวตนแล้วจะกตัญญูทำไม. หากไม่แน่ใจวันนี้ จงย้อนกลับไปตรวจสอบว่า เราเอง กตัญญูสูงสุดเทียบเท่ามนุษย์อื่นๆสากล ที่เขาทำได้กันหรือยัง——- แยกทางโลก ออกจากทางธรรม เป็นการสร้างความสับสนให้ระบบ เพิ่มภาระงาน มุ่งหน้าสู่ความสำเร็จทั้งทางเนื้อหนัง และจิตวิญญาณได้ แบบ ไม่พร้อมกัน และถูกหลอก สวมรอยจากนายหน้า ทนายกรรมได้ง่าย. อย่าแยก สังขาร สัญญา ออกจากจิต วิญญาณ ปล่อยให้มีผู้สวมรอยมานำ จิต และ วิญญาณของเรา และต้องจ่ายค่าสินค้าและบริการของเขาแบบ ไม่จำเป็น

ทำลายเครื่องมือ และห้องทดลอง ก่อนลูกหลานจะได้ลองสัมผัสมันนั้น ง่ายเกินด็อกเตอร์ หรือ ครูบาอาจารย์ท่านใดจะทำมัน

หน้าที่ทำลายเช่นที่ว่านั้น ปล่อยให้คนวิกลจริต สัตว์ที่ใช้สัญชาติญาณ(ไม่มีปัญญาญาณ) คนเสพของมึนเมา คนผิดศีล ไร้ปัญญา ขาดสมาธิ ทำงานนี้เหอะ มีงานอื่นทำตั้งมากมายที่จะสร้างสิ่งที่ บั่นทอนชั่วกับพยากรณ์ และ ฟื้นฟูความดี และ ความจริง

ขออภัยที่สาดไปเปียกที่สมองส่วนหน้าทุกๆท่าน แต่ต้องทำจริง เป็นภาระหน้าที่

ถ้าเข้าใจว่าผมเป็นคนลบ post บางส่วนไปนั้น ขอเรียนตรงนี้ว่า เข้าใจผิดนะครับ อาจจะเป็นเจ้าของโพสต์เป็นคนลบ หรือผมไม่ทราบว่าจะมีใครลบได้บ้าง ที่แน่ๆ ไม่ใช่ผมลบ และผมก็เชื่อว่าการสนทนาเท่านั้นที่จะเชื่อมและต่อยอดไปได้

ผมเขียนบทความเรื่อง "ขอบคุณ" ไปก่อนหน้านี้ เรามีความเห็นตรงกันเรื่องกตัญญูกตเวที ที่มนุษย์สามารถจะส่งเสริมกัน ต่อยอดกัน และเกื้อกูลกัน บนโลกนี้มีนักปราชญ์ นักคิดมากมายหลายภาษา สิ่งที่ทุกคนคิด ใคร่ครวญ วิเคราะห์มานั้น มาด้วยหลากหลายวัฒนธรรม ความเชื่อ ถึงแม้ว่า ultimate truth น่าจะตกผลึกไปอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่ง แต่ด้วยความต่างของการใช้ภาษา และเบื้องหลังชีวิตของแต่ละคนนี้เอง ทำให้การสื่อสารเรื่องนี้น่าสนใจที่จะทำออกมาได้แตกต่างกัน พระคัมภรัอัลกุรอ่านนอกเหนือจะเป็น scripture ทางศาสนาแล้วก็ยังเป็นหนังสือวรรณกรรมที่งดงามไพเราะมากที่สุดเล่มหนึ่ง เป็นมฤดกโลกไม่เพียงแค่ปัญญา แต่เป็นความสุนทรีย์ของศักยภาพของมนุษย์อีกโสตหนึ่งด้วย

ส่วนใครจะวิกลจริตนั้น ทางการแพทย์มี criteria of diagnosis อยู่ คงจะไม่รวมการด่วนตัดสินใครโดยไม่จำเป็น เพราะเราต้องรับผิดชอบในเรื่องการแสดงความเห็นแบบนี้ค่อนข้างมากครับ

การลบโพสต์นั้นเราทุกคนแจ้งให้ลบได้ค่ะ หากเห็นว่าผู้โพสต์ไม่มีความจริงใจในการแสดงความคิดเห็น สังคม GotoKnow ยอมรับความคิดต่าง แต่ขอให้เป็นแบบแสดงตัวตนอย่างชัดเจน เพราะสิ่งที่ท่านที่ไม่ได้เข้าระบบแล้วแสดงไว้นั้นก็เป็นแนวคิดที่ไม่ได้แปลกแยกไปจากที่อีกมากมายหลายคนคิด เพียงแต่นัยยะที่แสดงออกนั้นดูไม่มั่นใจในการแสดงตน และออกจะดูเหมือนประชดประชันชาว GotoKnow อยู่กลายๆ พวกเราในนี้ไม่เคยดูถูกใคร เราไม่ได้ยึดถือว่าใครเรียนจบอะไรมา สูงต่ำแค่ไหน เราเคารพการแสดงความคิดเห็นที่สุภาพ จริงใจ คิดต่างได้ไม่ใช่ปัญหาค่ะ อ.Phoenix เป็นบุคคลที่แสดงให้เห็นชัดเจนเสมอว่า เคารพความเห็นผู้อื่น เพราะฉะนั้นหวังว่า ท่านที่เข้ามาโพสต์โดยไม่แสดงตัวตนของท่านโปรดเข้าใจว่าคนแจ้งลบเป็นใครก็ได้ค่ะ ถ้าเข้าระบบจะทราบดี เจ้าของบันทึกจะได้รับการปกป้องโดยพวกเราทุกคนที่อาจจะเห็นว่าความเห็นในบันทึกนั้นๆไม่สมควรอยู่ จึงอาจถูกลบไปโดยเจ้าของบันทึกไม่ใช่คนจัดการเสมอไป

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท