ขอแค่ใครสักคน


เรื่องราวนี้เป็นเรื่องของเพื่อนสนิทของลูกชาย ที่เล่นกันมาตั้งแต่ยังไม่เข้าเรียน  เด็กคนนี้เป็นเด็กชายเช่นกัน เย็น ๆ หลังเลิกเรียนมักไปวิ่งเล่นด้วยกันบ่อย ๆ   พ่อและแม่ของเด็กชายผู้นี้เป็นชาวเขาแท้ ๆ แต่เข้าเมืองกรุงเพื่อทำมาหากิน  ณ ปัจจุบันก็ยังพูดภาษาไทยได้ไม่ชัด อ่าน เขียนได้  อันที่จริงเคยบันทึกถึงเพื่อนคนนี้ของลูกหลายครั้งแล้วเหมือนกัน แต่ปูพื้นไว้นิด ๆ สำหรับใครที่ไม่เคยอ่านเลยเนอะ 

พ่อ เขาขยันทำงานมาก ทำงานแทบไม่มีวันหยุด ถึงจะมีวันหยุดบางทีก็ไม่ยอมหยุด อยากจะไปทำงานหาเงินตลอดเวลา  ส่วนแม่ของเขานั้นทำงานเป็นพนักงานจิปาถะ ตั้งแต่ทำความสะอาด ดูแลต้นไม้ ต้นหญ้า นั่งโต๊ะทำงานเอกสารอีกต่างหาก อีกมากหลายสารพัดกับสิ่งที่ต้องทำ  แต่หน้าที่ที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใดคือหน้าที่ความเป็นแม่  ซึ่งเท่าที่รู้จักกันมา เขามีความตั้งใจและใส่ใจในหน้าที่แม่ได้อย่างน่าชื่นชม เคยฝากซื้อหนังสือจิตวิทยาการเลี้ยงลูก 1 เล่ม ด้วยความใส่ใจและอยากจะเป็นแม่ที่ดีที่สุด แต่สุดท้ายบอก อ่านออก แต่ไม่เข้าใจความหมายของคำ เขาบอกว่าภาษาไทยหลายคำก็ไม่เข้าใจแต่อ่านได้ จึงกลายเป็นแลกเปลี่ยนเรียนรู้จากการพูดคุยกันแทน มีเรื่องน่าชื่นชมหลายอย่าง เช่น ลูกเขาไม่ทานน้ำเย็น ไม่ทานลูกอม ขนมกรุบกรอบ ไอติม ช็อคโกแลต ฯลฯ ไม่นับเวลาไปโรงเรียนนะคะ เพราะเด็กก็จะตามเพื่อน

เข้าเรื่องดีกว่า  วันหนึ่งแม่ดาวพาลูกชายไปเล่นที่บ้านเขา ซึ่งเป็นบริษัทด้วย ขณะที่กำลังนั่งอยู่เพลิน ๆ เด็กชายตัวกลมก็เดินเข้ามาบอกกับแม่ดาวว่า

วิน      น้าดาวครับ  โตขึ้น วินอยากจะเป็นหมอ

แม่ดาว  ดีจังเลยครับ งั้นน้าดาวขอเรียกคุณหมอวินแล้วกัน

พูด ด้วยรอยยิ้ม อิ่มสุข เสียงดังฟังชัด พูดด้วยความมั่นใจ แต่พอสิ้นเสียงเด็กชาย ก็มีเสียงหลาย ๆ เสียงดังขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นเสียงหัวเราะ คำพูดแซว ๆ ตามประสาผู้ใหญ่ชอบแหย่เด็ก ไม่รู้ทำไมเนอะ ผู้ใหญ่หลาย ๆ ท่านชอบพูดแซว พูดหยอกแบบแรง ๆ ก็เข้าใจว่าเอ็นดู แต่บางทีก็เพลียใจเลย  แต่มีเสียงหนึ่งที่ดังมาก ตะโกนมา และเป็นเสียงของแม่เขาเอง

แม่ วิน     โอ๊ย...ดาว อย่าไปฟังวินมันก็เพ้อเจ้อ จะเป็นหมอได้ยังไง บวกเลขง่าย ๆ ยังไม่ได้เลยเนี้ย ครูก็บ่นมา (พูดแบบขำ ๆ ไม่ได้ว่าจริงจัง ประมาณมองเป็นเรื่องตลกไป)

ความรู้สึก ตอนนั้นจำได้ว่า มีเคืองแม่วินและบรรดาเหล่าผู้ใหญ่บ้าง เกิดจากความสงสารเห็นใจเด็ก สีหน้าและแววตาเขาดูจะเปลี่ยนไปจากตอนแรกที่เมื่อกี้วิ่งมาบอกแม่ดาว  เขาก็มีตะโกนว่าคนอื่นที่ไม่ใช่แม่เขา ไม่พอใจคำพูดและพฤติกรรมที่คล้ายว่าจะแสดงว่าหัวเราะเยาะเขา  สิ่งที่แม่ดาวคิดได้ตอนนั้นคือต้องกู้พลังใจเขากลับคืนมา ทำได้เท่าที่คิดออก อันดับแรกต้องเบี่ยงเบนความสนใจเขาจากความไม่พอใจก่อน

แม่ดาว    วินครับ....มานี่ก่อน ยังคุยกันไม่จบเลย โตขึ้นวินอยากจะเป็นหมอ แล้วจะเป็นหมอแบบไหน หมอรักษาอะไร

วินยืนงงๆ กับคำถาม เขาคงไม่เข้าใจว่า หมอนี่มีหลายแบบนะ ไม่ได้จำกัดแค่หมอรักษาคนแค่นั้น เขาเลยตอบแม่ดาวว่า

วิน   น้าดาวไม่รู้จักหมอเหรอ ก็หมอไง (นั่นไงเดาผิดซะที่ไหน)
แม่ดาว  รู้จักครับ แต่อาชีพหมอเนี้ย มีหลายอย่าง เช่น หมอรักษาคน หมอรักษาสัตว์

วิน   หมอรักษาคนซิน้าดาวก็ (แล้วก็ขำใหญ่)

แม่ดาว   อ้อ....ที่ถามจะได้รู้ว่า วินอยากเป็นหมอรักษาคน แม่ดาวจะได้ฝากเนื้อฝากตัว อนาคตป่วยหมอวินช่วยรักษาน้าดาวด้วยนะ

วิน   (ยิ้มหน้าบาน) ได้เลยครับผม

แม่ดาว   แล้วทำไมวินถึงอยากเป็นหมอล่ะครับ

วิน   ก็จะได้รักษาคนไข้ไง

แม่ ดาว   อืม....เยี่ยมเลย วินเป็นคนมีเมตตา อยากช่วยเหลือคนอื่นเนอะ เป็นคุณหมอนี่ได้บุญเยอะนะวิน ตั้งใจเรียนนะ จะได้เป็นคุณหมอ น้าดาวจะได้พึ่งคุณหมอวินเวลาไม่สบาย

วินยิ้มหน้าบานจากนั้นก็ให้เขาไปวิ่งเล่นด้วยกัน แล้วหันกลับมาคุยทำความเข้าใจกับแม่ของวิน มีแอบตำหนิเล็ก ๆ

แม่ดาว   ไม่ดีใจเหรอที่ลูกอยากเป็นหมอ

แม่วิน      ก็ดีใจ แต่มันเป็นไปไม่ได้หรอก สมองอย่างวิน เป็นไม่ได้อยู่แล้ว

จาก นั้นแม่ดาวก็ต้องมานั่งคุยตามประสา คุยกันบ่อยเรื่องแนะแนวการเลี้ยงลูกฮ่าๆๆ และที่เขายอมรับฟังแม่ดาวเพราะเขาลองนำไปปฏิบัติแล้วเห็นผลว่าลูกเขาดีขึ้น จึงฟังต่อ ๆ เรื่อยมา ตัวเขาเองที่จริงรู้จุดแข็ง ข้อดีของลูกตัวเองดี แต่มักลืมมอง ลืมคิด  มักไปมองในด้านที่จะต้องปรับปรุงแก้ไขบ่อย ๆ แม่ดาวจึงย้ำให้เขามองลูกในเง่ดี  เด็กคนนี้เป็นเด็กที่มีความมุ่งมั่น ขยันหมั่นเพียรในเรียนมาก รักการเรียน โดนเพื่อนแกล้งยังไงก็อยากไปเพื่อเรียน ในเรื่องของสมองอาจไม่ดีเท่าลูกแม่ดาว แต่เขามีดีในส่วนที่ลูกแม่ดาวไม่มีเช่นกัน 

แม่ดาวบอกเขาว่า แม่และพ่อคือคนสำคัญมากที่สุดของลูก คำพูดของพ่อแม่ศักดิ์สิทธิ์ ไม่ใช่เพราะมีเวทมนต์วิเศษใด ๆ อย่างที่รู้ ๆ กันคำพูดพ่อแม่สำหรับต่อจิตใจของลูกอย่างยิ่ง คิดดี ทำดี พูดดีกับลูก คิดดูว่าหากคนที่สำคัญมากในชีวิตยังไม่เชื่อมั่นในตัวเขา ไม่สนับสนุนในความคิดเขา หัวเราะเยาะในความฝันที่อาจเป็นจริงในอนาคตของเขาแบบนี้ แล้วชีวิตของเขาจะประสบความสำเร็จตามฝันที่คิดไว้ได้ไหม  จากที่ขำ ๆตลก ๆ ตอนแรก ตอนนี้แม่เขาก็เริ่มเข้าใจว่า เรื่องนี้ไม่ตลกอย่างที่คิด

บาง ครั้งเราอาจพูดเพราะความเคยชิน ด้วยนิสัยคนไทยชอบถ่อมตนบ้าง ใครชมว่าลูกดีอย่างนั้นอย่างนี้ ก็บอกไม่หรอกค่ะ โอ๊ย...นี้มีเรื่องไม่ดีสารพัด แล้วก็บ่น ๆ กันไป แล้วก็ชมลูกของฝ่ายตรงข้าม  ที่ร้ายคือต่อหน้าเด็กนี่แหละ  อย่าว่าแต่คนอื่นเลยนะคะ  แม่ดาวเองเมื่อก่อนก็แบบนี้ ด้วยมารยาทอย่างไทยที่เห็นผู้ใหญ่ทำเป็นต้นแบบต่อ ๆ กันมา แม่ดาวก็ชินอินตามไป คิดว่าแบบนี้ถือสมควรทำ แต่นานมาแล้วนะคะ แต่มันก็เป็นอดีตให้ได้เรียนรู้ เรียนรู้จากประสบการณ์ตัวเองเลย ไม่มีใครชอบถูกตำหนิต่อหน้าคนใครจริงไหม โดยเฉพาะคนที่ไม่ใช่คนในครอบครัว จะรู้สึกเสียหน้า เสียใจ เสียความรู้สึกมาก พาลเป็นโกรธไป

 

สุดท้ายนี้มีบทความดี ๆ จากคุณแม่ดี ๆ ท่านหนึ่งใน Facebook ใช้ชื่อว่า

A Real Working Mom เลยขอแบ่งปันคัดลอกมาให้สมาชิกgotoknow ได้อ่านกัน เป็นอีกท่านทีแม่ดาวเองก็ติดตามอ่านบทความดี ๆ เรื่อย ๆ มา

 

“ความหวังและแผนงานเล็กๆ ของเด็กๆ ควรได้รับการเคารพและยอมรับด้วยความอ่อนโยน จากผู้ใหญ่”

~Louisa May Alcott

เหมือนกับคำคมของ ศาสตราจารย์ ดร. Jon Carlson ที่เพิ่งจัดการอบรมคุณพ่อคุณแม่ไปเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ได้บอกไว้ว่า “งานวิจัยพบว่า หนึ่งในปัจจัยที่ทำให้คนเราประสบความสำเร็จ คือ การที่มีใครสักคน เชื่อมั่นในตัวเด็กคนนั้นเสมอมา”

หากไม่ใช่เราพ่อแม่ ที่เป็น #ใครสักคนที่เชื่อมั่นเสมอมา แล้วเราจะมอบตำแหน่งอันทรงคุณค่านี้ให้ใครทำ??

มองตาเขาด้วยความเชื่อมั่น ฟังเขาอย่างตั้งใจ แม้จะเป็นความสำเร็จ หรือไอเดียเพียงเล็กๆ น้อยๆ ที่ลูกได้พยายามจะแสดงให้เราเห็น ความเชื่อมั่นผ่านสายตา และการแสดงออกทางกาย อย่างสม่ำเสมอ อาจจะไม่จำเป็นต้องทำให้เยอะมากมายจนเกินความจำเป็น ขอเพียงเป็นความรู้สึกชื่นชมอย่างจริงใจ เพราะลูกเขาสัมผัสได้..

ทุกๆ อย่างที่เราทำ มีความสำคัญกับหัวใจของเขาเสมอ กำลังใจของเราพ่อแม่นั้นสำคัญและยิ่งใหญ่กับลูก มากกว่าทุกความเชื่อมั่นที่คนทั้งโลกจะให้เขา

หากเราเต็มที่กับเวลาคุณภาพในการสร้างลูก ก็ไม่ต้องสงสัยว่ามือสองข้างของเรา จะส่งลูกยื่นมือต่อไปสร้างโลกได้สำเร็จได้ไม่ยาก

เอ้า!! ฮุย เล ฮุย.. ลุยไปด้วยกันนะคะ

 

 

 

เด็ก ๆ ขอแค่ใครสักคนที่เข้าใจ ให้พลังใจ จะดีกว่าไหม หากเป็นคุณ (พ่อแม่/ผู้ปกครอง)

หมายเลขบันทึก: 559858เขียนเมื่อ 22 มกราคม 2014 23:51 น. ()แก้ไขเมื่อ 22 มกราคม 2014 23:51 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)

ปัญหาของเด็กทั้งหลายทั้งปวง เขาไม่ได้ขาดความรู้ครับ แต่เขาขาดความรัก

ขอใครสักคน ที่ยอมรับและเข้าใจในตัวตนของเขา

ขอบคุณ ดร.พจนา และ คุณ small man ค่ะ คิดว่าในด้านของพ่อแม่เองส่วนหนึ่งก็มีความรักล้นเหลือ แต่ขาดความรู้ ขาดสติปัญญาที่จะพาความรักไปส่งต่อให้ลูกได้ถึงใจ บ้างก็มีความรู้มาก แต่มีความเห็นผิด คิดว่าแบบนี้แหละถูกต้อง ถูกทาง ทำไปด้วยความเข้าใจผิด อันที่จริงคงจะดีมากหากในเมืองไทย มีโรงเรียนพ่อแม่ที่เป็นโรงเรียนจริง ๆ และเป็นการให้ความรู้แบบไม่ค้ากำไร

ทัศนคติเชิงบวกที่พ่อแม่ถ่ายทอดมายังลูกสำคัญมากๆ ค่ะ เพราะจะทำให้ลูกกล้าที่ยืนได้ด้วยตัวของเขาเองค่ะ

ขอบคุณสำหรับบันทึกดีๆ ค่ะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท