เมื่อสองวันก่อนตื่นมาด้วยอาการปวดหัวร้าวไปบริเวณโหนกคิ้วขวา ปวดมากจนหัวแทบจะระเบิด ไม่รู้ทำไมแวบแรกนั้น.. อดรู้สึกขึ้นมาไม่ได้ว่า ความตายใกล้เรามาทุกทีแล้ว
ทำให้นึกไปถึงเครื่องใช้บางอย่างในชีวิตประจำวัน พวกพัดลม นาฬิกา รถมอเตอร์ไซต์ ฯลฯ ที่ใช้มานานจนเก่าและเริ่มพัง หากแต่เครื่องยนตร์กลไกข้างในมันยังดีใช้งานได้อยู่ ถึงพัดลมจะคอหัก ไม่หมุน กดเบอร์ปรับความแรงไม่ได้แล้ว แถมกรอบยังหักต้องเอาเชือกมามัดไว้ แต่เจ้าของที่ยังไม่ทิ้งซื้อเครื่องใหม่ นอกจากเพราะรู้สึกผูกพัน อีกทั้งยังเป็นเพราะมันยังมีคุณค่า ที่ยังใช้งานได้อยู่
คนเราก็เช่นนั้น ถึงจะสุขภาพบอบแบ่บสักแค่ไหน แต่ขอเพียงยังทำงานได้อยู่ ก็เรียกว่ายังมีคุณค่า
แล้วเมื่อเราพยายามลืมตาขึ้นก็มองเห็นนัยน์ตาสีดำกลมๆ สองคู่ ของเจ้าสองตัวที่นั่งหมอบรออยู่ที่ปลายเท้า จับจ้องมองเราอย่างรอคอยอยู่ตลอดเวลา และแสดงอาการระริกระรี้ดีใจ เมื่อเห็น "นาย" ลืมตาตื่น นั่นทำให้เรารู้สึกเพิ่มขึ้นมาว่า นอกจากคำว่า "คุณค่าในตัวเอง" ที่ทำให้คนเรายืนหยัดอยู่ในโลกนี้ได้แล้วนั้น ก็ยังมีคำว่า " คุณค่าในจิตใจ " อีกสิ่งหนึ่งด้วย ที่เป็นพลังผลักดันทำให้คนเรา มีชีวิตต่อไปข้างหน้าได้อย่างมีความสุข ถึงแม้บนร่างกายจะทุกข์ทรมานถึงเพียงไร
แค่มีคุณค่าในตัวเอง แต่ไร้คุณค่าในจิตใจ มันก็เหมือนวัตถุเครื่องใช้ ที่เจ้าของใช้งานมันเพียงแต่รอของซื้อใหม่แล้วค่อยซัดทิ้ง เหมือนชีวิตที่อยู่ต่อไปโดยไร้สิ่งผูกพัน จะอยู่จะตายก็ไร้ความหมาย โดดเดี่ยวและว้าเหว่
ดังนั้นคนเรานอกจากจะสร้างคุณค่าในตัวเองแล้ว ก็ควรจะสร้างคุณค่าในจิตใจให้บังเกิดขึ้นคู่กัน... ไม่ว่าจะเกิดอะไรแม้เลวร้ายสักเพียงใดขึ้นมา เราก็จะยังมีพลังที่จะต่อสู้ และมีชีวิตอยู่ต่อไป
คิดได้อย่างนั้นแล้ว ก็ลุกขึ้นจากเตียง ล้างหน้าล้างตา หาหยูกยากินแก้ปวด แล้วก็หาอาหารให้เจ้าสองตัวนั้นกิน.. มันหิวแล้ว