"เด็กคือ..เชื้อผู้ใหญ่ ๆ คือ..เชื้อเด็ก"
สมัยเป็นเด็ก (ประถม) เราไม่ได้มีจินตนาการ เลิศลอย อยากสอยดาว สอยเดือน อะไรหรอก เพราะไม่มีแรงดลใจจากใคร เพราะทำนา เลี้ยงควายในทุ่ง..เรามองเห็นโลกมันกว้างใหญ่เหลือคณา (วัดเอาจากสายตา ท้องนา ป่าทุ่ง แผ่นดิน) มันกว้างใหญ่ มองขึ้นท้องฟ้ายามราตรี เห็นแสงดาว พราวแพรวแววลับๆ เหมือนดวงไฟตามทุ่งท้องนาเวลาหน้าหนาว ..
ในตอนนั้น ที่จำได้ในตอนนี้ เราคิดว่า ท้องฟ้ามีดาว มีเดือน มีอาทิตย์จริงๆหรือมันสูงแค่ไหน สงสัยแค่นั้น ก็เพลินตาเวลาแล.. แต่สมองเราก็หยุดไว้แค่นั้น มิได้สร้างเส้นสืบสาน ให้เกิดความรู้ต่อไป เพราะไม่มีผู้ชี้แนว ... โลกที่เราอยู่อาศัย เล่น ซอกแซก ปีนป่าย คล้ายกะลิง หาผลไม้ ไล่กันเล่นสนุกๆ (เล่นเเสี่ยง) มันทำให้เรามีความสุขกับกิจกรรมประจำวันคือ เล่นๆๆ จากนั้นก็หิว กินแล้วก็นอน... เป็นเช่นนี้เรื่อยมาจนเติบโตออกโรงเรียน... เมื่อมองย้อนหลังอดีต..มีสิ่งที่จับได้ ๒ อย่างคือ ๑) เห็นโลกเป็นที่เล่นสนุก ๒) เห็นโลกกว้างใหญ่
เมื่อถึงวัยรุ่น ก็วุ่นเวียนอยู่กับสมอง ความคิด จินตนาการ ตามสัญชาตญาณ ทำให้เห็นโลกมีรัศมีกว้างไปอีกขั้นหนึ่ง.. เห็นโลก เห็นคน เห็นสังคม เห็นสิ่งแวดล้อม เด่นชัดขึ้นมา และรู้สึกสัมผัสได้ เหมือนเป็นรูปธรรมที่เราเข้าไปเกาะกุมไว้ได้.. แต่นั้นก็มิได้มีอะไรที่จริงจังนัก..เหมือนโลกแห่งมายาจากใจตนเอง ...แต่ก็สร้างเซลล์สมอง ให้มองเห็นเส้นทางชีวิต โลก สังคม ที่สัมพันธ์ได้บ้าง..เมื่อเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ ประกอบกับได้เรียนรู้จากครู อาจารย์ จากสังคม สิ่งแวดล้อม ฯ
ผ่านกระบวนการคิด การทำ การสังเกต มันเริ่มมองเห็นสรรพสิ่งลิงค์กันมากขึ้น ..ทำให้กล้าพูด กล้าแสดงออก กล้านำเสนอ กล้าเจอสิ่งใหม่ๆ และท้าทายมากขึ้น ..มองเห็นชีวิตมีส่วนเกี่ยวโยงในแบบสหมิติและมีความคิดแบบไร้ขีดจำกัดในตนเอง.. กลายเป็นผู้ชอบคิด ชอบเสนอ ชอบหักล้าง ชอบแปลกแยก แตกต่าง อยากออกนอกกรอบบ้าง เบื่อปุพวิถีเก่าๆ ซ้ำซาก อยากให้เปลี่ยนแปลงบ้าง...กระแสทัศน์นี้ ไปสอดคล้องกับวิชาหนึ่งคือ ศาสนาและปรัชญาเข้าให้ โดนเลย.. จึงสนใจ ท้าทายในสาขานี้อยู่พอควร
สิ่งที่ทำให้คิดว่า มันท้าทายคือ เราคิดในตัวเองว่า ชีวิตมีที่มา ที่ไปอย่างไร จิตทำงานอย่างไร ตายแล้วจะไปไหน กอปรที่เห็นมรณพิธีมามาก จึงทำให้มีคำถามต่างๆ มากขึ้น.. สิ่งที่เราทำไปพร้อมกันด้วยคือ สอนเด็ก ให้มีศีลธรรม แต่ก็ไม่ได้หวังอะไรมาก เพราะวิชานี้เป็นยาขมสำหรับพวกเขา.. ต้องเล่น ต้องยืดหยุ่นไปกับพวกเขา...
สิ่งที่ได้จากเด็กคือ เห็นความบริสุทธิ์ ใสซื่อทางแววตา สีหน้า และการกระทำ ที่ไร้มายาสาไถย์ มันสะท้อนให้เห็นวัยตนเองว่า สมัยนั้นเราก็คงซื่อๆ (บื้อด้วย) แบบนี้กระมัง การอยู่กับเด็กจึงเป็นสะท้อนวัยตนเองด้วย ซึ่งเห็นข้อแตกต่างสองขั้วคือ ๑) เราโตแล้วย่อมมองเห็นพวกเขาเป็นเด็กที่เห็นโลกแค่เวทีหรือสนามวิ่งเล่น ๒) ส่วนเราเห็นตัวเองในเด็ก ที่มองเห็นโลกที่กว้างขึ้น และมีอะไรอีกมากมาย ที่เด็กๆยังต้องเผชิญ
สิ่งที่เราสามารถมองเห็นเส้นทางอีกอย่างคือ "วิถีจิต" ในร่างกายเรา ซึ่งคนโต ย่อมจะตระหนักในจุดนี้ เพราะมันมีรหัสแห่งชีวิตและความจริงฝังอยู่ ..ทั้งด้านดี ไม่ดี ซึ่งเราต้องฝึกฝน มองให้เห็นจิตตนเองให้มากพอ มิฉะนั้น เราก็จะเอาชนะตนเองยาก..งานที่ยิ่งใหญ่และหนักอึ้งคือ การฝึกจิต มันเป็นงานเบา แต่ยากยิ่งและหนักอย่างแรง ต้องไปถามพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติแบบอุกฤษ..จึงจะซึ้งพอ
อย่างไรก็ตาม เราก็พอเห็นไลน์สายทางของมันบ้าง เพื่อจะได้เข้าถึงแก่นแท้คำว่า มนุษย์ที่แท้จริง คือ รู้ตัว ที่ใจตน หากเข้าถึงได้อย่างถ่องแท้ พ่อแม่ครูบาอาจารย์กล่าวว่า นี่คือ โลกที่กว้างไกล ใหญ่ยิ่งกว่าสิ่งใด โลกภายนอกยังเดินทางข้ามได้ สำรวจได้ แต่โลกภายใน เต็มไปด้วยหลุมดำที่มีพลังมหาศาลที่ยากจะหยั่งถึง
จากอดีตวัยเด็ก...มาจบที่จิต นี่เองครับ
---------------<>---------------
ขอบคุณนะคะ ชอบมากค่ะ ถ้าไอดินฯ ยังสอนอยู่คงต้องแนะนำให้นักศึกษาที่เรียนจิตวิทยาสำหรับครู เข้ามาอ่านเพื่อสร้างความเข้าใจใน "จิตวิทยาวัยเด็ก" ให้ชัดขึ้นค่ะ