แสดงความคิดเห็นในบทความของ ศ.น.พ.วิจารณ์ พานิช ด้านธุรกิจธนาคาร


จากประสบการณ์ของผม คิดว่า ธุรกิจธนาคารเป็นธุรกิจที่เอาเปรียบลูกค้าอย่างมาก ผลกำไร สูงขึ้นทุกปี และกำไรอย่างมากมายได้จากการขูดรีดเลือดจากปู ผมยังไม่เคยเห็นธนาคารในประเทศไทยที่นำกำไรส่วนหนึ่งออกมาเป็นกองทุนให้กับผู้ที่เคยเป็นผู้กู้ หรือประชาชนที่เข้าไม่ถึงแหล่งเงินทุน การปล่อยเงินกู้ให้กับผู้ขอกู้เงิน ธนาคารไม่ได้มองผู้กู้ว่าเป็นลูกค้า เอาเปรียบผู้กู้โดยการอ้างว่าธนาคารไม่ใช่โรงจำนำ

เรียนอาจารย์วิจารณ์ ที่เคารพ

จากบทความที่อาจารย์เขียนนี้ และจากข้อมูล ดังนี้

"ธนาคารไทยพาณิชย์มีผลประกอบการดี และเพิ่มขึ้นทุกปี เป็นเวลา ๕ ปีติดต่อกัน กำไรเพิ่มจากปีละ 20 พันล้านบาท มาเป็นเกือบ ๕๐พันล้านบาทในปีนี้ (ตัวเลขประมาณการ) และตาม business plan ปี 2557 มีเป้ากำไรเพิ่มขึ้นอีก ทั้งหมดนี้เป็นผลจากการที่องค์ประกอบต่างๆ ของธนาคารทำงานอย่างประสานงานกัน อย่างเป็นระบบ มีหลักวิชา มีประสบการณ์ และที่สำคัญ มีการเรียนรู้สูง"

จากประสบการณ์ของผม คิดว่า ธุรกิจธนาคารเป็นธุรกิจที่เอาเปรียบลูกค้าอย่างมาก ผลกำไร สูงขึ้นทุกปี และกำไรอย่างมากมายได้จากการขูดรีดเลือดจากปู ผมยังไม่เคยเห็นธนาคารในประเทศไทยที่นำกำไรส่วนหนึ่งออกมาเป็นกองทุนให้กับผู้ที่เคยเป็นผู้กู้ หรือประชาชนที่เข้าไม่ถึงแหล่งเงินทุน การปล่อยเงินกู้ให้กับผู้ขอกู้เงิน ธนาคารไม่ได้มองผู้กู้ว่าเป็นลูกค้า เอาเปรียบผู้กู้โดยการอ้างว่าธนาคารไม่ใช่โรงจำนำ แต่ที่ธนาคารขาดทุนส่วนมากเป็นเพราะผู้บริหารหรือเจ้าหน้าที่ไม่ซื่อสัตย์ จึงมีการออกกฎต่างๆจนทำให้เจ้าหน้าที่ไม่สามารถทำอะไรในทางสร้างสรรค์ได้ จนทำให้ประชาชนที่ดีๆและมีความต้องการเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่เหมาะสมไม่ได้จำเป็นที่จะต้องไปใช้แหล่งเงินทุนที่เอาเปรียบ และแหล่งเงินทุนนั้นก็เป็นสาขาหรือผู้บริหารของธนาคารมีส่วนได้รับผลประโยชน์ด้วย ธนาคารเริ่มเสนอเงินกู้ที่ดอกเบี้ยสูงให้กับคนที่ไม่สามารถผ่านกฎเกณท์ที่สามารถได้รับดอกเบี้ยต่ำซึ่งธนาคารเป็นผู้กำหนดไว้ ถ้าอาจารย์ต้องการรายละเอียด ผมสามารถเรียนให้ทราบได้ เพราะได้เกิดขึ้นกับตัวผมเอง เรื่องความไม่เป็นธรรมของธนาคาร และธุรกิจใหญ่ๆตลอดจนการให้บริการจากโรงพยาบาลและจากภาครัฐ มีมากมาย กำลังหาเวลาเพื่อที่จะเขียนเผยแพร่ให้ได้ทราบกัน แต่ต้องใช้เวลาเพราะผมไม่ใช่นักวิชาการและนักเขียน จึงต้องใช้เวลาในการเรียบเรียงถ้อยคำ

ม.ล.ชาญโชติ ชมพูนุท

5 มกราคม 2557

ด้านล่างนี้เป็นบทความของ ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช

ชีวิตที่พอเพียง : ๒๐๖๘. ต่อเนื่องยั่งยืนด้วยธุรกิจแนวใหม่

 

          ผมเข้าร่วมประชุมคณะกรรมการธนาคารไทยพาณิชย์ วาระประชุมแบบ retreat และวาระปกติ ด้วยความพิศวงเรื่อยมา   ว่าในท่ามกลางกระแสปั่นป่วนทางการเมืองของไทย   และกระแสปั่นป่วนทางการเงินและเศรษฐกิจของโลก ที่เกิดขึ้นไม่หยุดหย่อน   ธนาคารมีผลประกอบการดีเยี่ยม ได้อย่างไร

          วันที่ ๑๕ พ.๕๖ เป็นการประชุมแบบ retreat ปลายปี ที่จังหวัดขอนแก่น   ช่วงบ่ายเป็นการเสนอ business plan ของปี ๒๕๕๗ และในระยะยาว ๓-๕ ปี      ฟังแล้วผมขอนำมาสื่อสารกับผู้ถือหุ้น และลูกค้าของธนาคารไทยพาณิชย์ ทั้ง ๑๓ ล้านคน ว่า ท่านจะสมหวังต่อการดำเนินการของธนาคารของท่าน   ในรูปแบบการทำงานอย่างที่นำเสนอในวันนี้

          เพราะในปี ๒๕๕๖ และปีต่อๆ ไป ธนาคารไทยพาณิชย์จะใช้ business model ที่ต่างไปจากเดิม   

          ทีมงานผู้บริหารระดับสูง มี ดรวิชิต สุรพงษ์ชัย  และคุณกรรณิกา ชลิตอาภรณ์ เป็นแม่ทัพใหญ่  ที่มองยุทธศาสตร์ภาพใหญ่   ซึ่งผมตีความง่ายๆ ว่า "จะอยู่ได้ยั่งยืน ต้องไม่ทำธุรกิจแบบเดิมๆ"   แล้วมีทีมบริหารคนหนุ่มสาวไฟแรง มาคิดรูปธรรมของธุรกิจแบบใหม่ๆ    ผมเข้าใจว่าธนาคารทุกธนาคารต่างก็เข้าใจยุทธศาสตร์นี้ดี   การแข่งขันจึงอยู่ที่ฝีมือในการทำให้ยุทธศาสตร์เป็นจริง    และคุณภาพของการให้บริการ

          ไม่ทราบว่าเพราะผมมีอคติจากการเข้าไปเป็นกรรมการธนาคารหรือเปล่า    ที่ทำให้ผมมองว่า องค์กรธุรกิจที่ทำงานอย่างถูกต้อง มีคุณธรรมจริยธรรม   และมีการริเริ่มสร้างสรรค์ มีนวัตกรรมในการทำธุรกิจ    คือองค์ประกอบสำคัญของสังคมสมัยใหม่   เป็นพลังขับเคลื่อนความเจริญก้าวหน้าของบ้านเมือง    และยิ่งนับวันพลังนี้จะสูงกว่าพลังของฝ่ายภาครัฐ   แต่คิดอย่างนี้ก็อาจไม่ถูกต้อง   จริงๆ แล้วบ้านเมืองจะเจริญก้าวหน้าได้ ภาคส่วนต่างๆ ของสังคม ต้องทำงานร่วมกันอย่างสามัคคี เสริมพลังกัน

          ธนาคารไทยพาณิชย์มีผลประกอบการดี และเพิ่มขึ้นทุกปี เป็นเวลา ๕ ปีติดต่อกัน     กำไรเพิ่มจากปีละ 20 พันล้านบาท มาเป็นเกือบ ๕๐ พันล้านบาทในปีนี้ (ตัวเลขประมาณการ)   และตาม business plan ปี 2557 มีเป้ากำไรเพิ่มขึ้นอีก   ทั้งหมดนี้เป็นผลจากการที่องค์ประกอบต่างๆ ของธนาคารทำงานอย่างประสานงานกัน อย่างเป็นระบบ มีหลักวิชา มีประสบการณ์   และที่สำคัญ มีการเรียนรู้สูง

          เป้าหมายต่อไปคือการเป็น Knowledge-Based Organization   สามารถ capture ความรู้ที่ไม่มีในตำราสำหรับใช้ในการทำงาน   โดยที่ความรู้นั้นเกิดจากปฏิสัมพันธ์ระหว่างพนักงานธนาคารกับลูกค้า   และปฏิสัมพันธ์ระหว่างพนักงานด้วยกันเอง   นำมาทำให้เป็น Institutional Knowledge   จัดเก็บไว้ใช้อย่างเป็นระบบ   ให้ดึงเอามาใช้งานได้ง่าย   สามารถเสนอบริการแก่ลูกค้าได้ตรงใจ ตรงความต้องการ ตรงเวลา

          ตอนนี้ปัญหาใหญ่ที่จะกัดกร่อนสังคมไทยคือคอรัปชั่น   ที่มีจุดเริ่มต้นจากฝ่ายการเมือง   คณะกรรมการธนาคารจึงมีมติชัดเจนว่าให้ฝ่ายจัดการระมัดระวังในเรื่องนี้   ไม่ทำธุรกิจกับกิจการที่ส่อเค้าชัดเจนว่าน่าจะมีการแสวงประโยชน์โดยมิชอบอยู่ด้วย   เรื่องนี้มีกรณีที่เป็นรูปธรรม แต่ผมนำมาเปิดเผยไม่ได้

          ในฐานะที่ผมเป็นคนมหาวิทยาลัย   อดเปรียบเทียบการบริหารธนาคารกับการบริหารมหาวิทยาลัยไม่ได้   จุดแตกต่างใหญ่มี ๒ ส่วน คือ การสร้างการเปลี่ยนแปลง จริงจังและได้ผลในธนาคาร   แต่ที่มหาวิทยาลัยมีแรงเฉื่อยสูงมาก   ประการที่สอง ค่าตอบแทนที่คนเก่งพอๆ กัน ในสองวงการนี้ แตกต่างกันมากเหลือเกิน   ทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่า อาจารย์มหาวิทยาลัยเก่งๆ อยู่ในมหาวิทยาลัย โดยมีความสุขอยู่ที่ความเป็นอิสระทางวิชาการ   แลกกับรายได้ที่ควรจะสูงมาก   ซึ่งก็ตรงกับอุดมการณ์ในชีวิตของผม   ที่ต้องการใช้ชีวิตเพื่อการสร้างสรรค์สังคมที่ตนมาเกิด และเข้าไปอยู่   เป็นชีวิตที่ให้ มากกว่าเอา

          ผมคิดว่าจุดแตกต่างทั้งสองมันเป็นเหตุเป็นผลกันด้วย   คือความเป็นอิสระทางวิชาการ และความคิดว่าตนอยู่กับอุดมการณ์สูงส่ง    มันเป็นความเสี่ยงที่จะเข้าไปอยู่ใน ดินแดนแห่งความสุขสบายไร้กังวล” (comfort zone)   ขาดแรงบันดาลใจที่จะแสวงหาเป้าหมายใหม่ๆ ยุทธศาสตร์ใหม่ และวิธีทำงานใหม่ๆ

          ทุกเช้า ผมจะโปรยอาหารเลี้ยงนกเขาของผม (จริงแล้วเป็นนกป่า)    ในวันหยุดผมจะมีโอกาสนั่งสังเกตพฤติกรรมการจิกอาหารของเขา    และเห็นว่า ด้วยสัญชาตญาณป่า ที่ต้องระวังภัยทุกฝีก้าว (หรือทุกครั้งที่จิกอาหาร) เขาจะผงกหัวดูเหตุการณ์โดยรอบ   ข้อสังเกตนี้ นำไปสู่ความแตกต่างข้อที่ ๓ ระหว่างคนธนาคารกับคนมหาวิทยาลัย    คือคนธนาคารจะระแวดระวังสภาพแวดล้อมของธุรกิจอยู่ตลอดเวลา    ผมเดาว่าส่วนหนึ่งเพราะเคยเจ็บมาแล้ว (เช่นตอนวิกฤติต้มย้ำกุ้ง ปี ๒๕๔๐)    ดังที่ตอนนี้ บอร์ด ก็เตือนว่า ให้เพิ่มเงินกองทุนสำรอง เพราะปัจจัยที่ไม่แน่นอนหลายด้าน โดยเฉพาะด้านการเมือง    ส่วนคนมหาวิทยาลัยจะมีแนวโน้มที่จะคิดแบบมองเรื่องต่างๆ ภายในมหาวิทยาลัย (inward-looking) เป็นที่ตั้ง    ไม่ค่อยระแวดระวังปัจจัยภายนอก    

 

 

วิจารณ์ พานิช

๒๒.๕๖  ปรับปรุง ๒๖ พ.ย. ๕๖

 

 

บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย Prof. Vicharn Panich

หมายเลขบันทึก: 558274เขียนเมื่อ 5 มกราคม 2014 13:03 น. ()แก้ไขเมื่อ 5 มกราคม 2014 13:04 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (11)

ขอบคุณมากค่ะ อ่านแล้ว ทำให้ ได้ข้อคิด มุมมองดีมากๆ เลยค่ะ ==> ธุระกิจ ยังๆ ก็คือ ธุรกิจนะคะ ไม่ได้กำไร เขาจะไม่ทำ แล้วค่อยมาทำ CSR ให้ลูกค้า ภายหลัง นะคะ สวัสดีปีใหม่ นะคะท่านอาจารย์

ม.ล.ชาญโชติ ชมพูนุท

การทำธุรกิจต้องมีการเสียงแต่ธนาคารเขาให้กู้โดยไม่ยอมเสียง และเป็นการเรียกร้องหลักประกันที่เกินเหตุ สร้างกฎเกณฑ์ที่เอื้อต่อการเพิ่มยอดกำไรมากขึ้นโดยไม่คำนึงถึงความเหมาะสมและยุติธรรม ทำการค้าต้องเสมอภาค บริการที่ไม่เอาเปรียบลูกค้า จนเกินไป ส่วนที่ว่าเมื่อมีกำไรแล้วจึงนำผลกำไรไปทำ CSR นั้น ขอให้ดูโครงการ CSR แต่ละโครงการส่วนมากจะเป็นโครงการผักชีโรยหน้าไม่ได้ช่วยเหลือสังคมจริง ทำเพื่อการสร้างภาพพจน์และประชาสัมพันธ์องค์กรของตัวเอง ทำ CSR เพื่อไปลดภาษี เป็นต้น ไม่ได้ทำด้วยความบริสุทธิ์ใจและช่วยเหลือสังคมอย่างแท้จริง

ม.ล.ชาญโชติ ชมพูนุท

ความคิดเห็นของคุณ Wathaka Akkara ที่ร่วมแสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้ใน Fb ของผม

ประชาชนก็คิดค่ะค่าบริการรายปีบัตรเอทีเอ็มต่อปีก็สูงขึ้นมากถ้าเทียบกับจำนวนคนใช้กำไรมหาศาล ถอน โอน ก็มีค่าบริการเปิดบัญชีเดี๋ยวนี้ขั้นต่ำต้องใช้เงิน500 บังคับทำบัตรเอทีเอ็ม เวน่ะเอทีเอ็ม 5ใบแล้วขออนุญาติไม่ทำได้ไหม..เมื่อก่อนมีเงินเก็บสองแสนจะกู้แบ็งสองแสนมาทำบ้านเช่าที่ดินตัวเองไม่มีหนี้สินแบ็งบอกเช็คเครดิตไม่ได้เพราะไม่เคยมีบัตรสินเชื่อ,ไม่กู้,ไม่ยืม!!!นี่เค้าสนับสนุนให้คนเป็นหนี้เหรอ แถมโสดไม่มีแฟนอีกไม่มีคนช่วยใช้หนี้ โถ..ไม่คิดเหรอคะว่ามันจะมาช่วยใช้เงินน่ะ มีประกันส่วนตัวสองล้านประกันอุบัติเหตุ5ล้านซื้อคอนโดกู้แบ็งแบ็งก็ให้ทำประกันอีกไม่ทำก็ไม่ได้ ทำก็ได้แค่15ปีแต่คอนโดผ่อน30ปีเค้าบอกก็พอครบ15ปีก็ทำต่ออีก15ปีซึ่งตอนนั้นเราก็มีอายุเพิ่มอีก15ปีเบี้ยประกันก็สูงขึ้นอีก15ปี จ่ายหัวฟูเลย และอีกตั้งหลายๆเรื่องที่เจอค่ะ

ฝากเงิน1แสนครบปีได้ดอก500บาทดีใจน้ำตาซึมเลย โถ เงินตั้งแสนเวลาแบ็งไปปล่อยแม่ค้ากู้ดอกปีนึงเท่าไหร่ เดี๋ยวนี้ใช้เฉพาะโอนเงินเดือนเข้าเท่านั้นล่ะค่ะ ไปถอนก็ยากหน่วงเหนี่ยวตาหลอดเข้าไปใช้บริการก็แทบจะบีบคอให้ซื้อประกันต้องแขวนบัตรตัวแทนเวลาจะเข้าแบ็งอ่ะกลัวเชิญไปฟังประกัน

มีลูกค้าเวค่ะหอบที่ดินบนถนนธนะรัชน์เส้นทางขึ้นเขาใหญ่จำนวน3ไร่ราคาประเมินไร่ละ3ล้านไปขอกู้เงิน2แสนเพื่อเปิดร้านก๋วยเตี๋ยวรองรับนักท่องเที่ยวเขาใหญ่ธนาคารไม่ให้กู้และก็แจ้งว่าไม่สามารถตรวจสอบเครดิตได้เพราะไม่เคยมีหนี้บัตรเครดิตแต่เพื่อนอีกคนทำธุรกิจกู้ไม่ผ่านติดแบล็คลิสไม่รู้ตัวเพราะค้างค่าปรับ600บาทคือส่งทุกเดือนแต่บางเดือนช้ามีค่าปรับเกิดขึ้นไม่รู้ก็ส่งตามยอดปกติเลยกลายเป็นประวัติไม่ดีส่งผลกระทบกับการทำงานมันเหมือนดาบสองคมค่ะและเจ้าบัตรสินเชื่อนี้คิดดูดีๆอัตราดอกเบี้ยเกือบ30%เวคนนึงค่ะที่ไม่กล้าใช้

แล้วบัตรสินเชื่อส่วนบุคคลก็น่าจะส่วนบุคคลนะคะสามีเครดิตไม่ดีภรรยาก็เครดิตไม่ดีตามไปด้วยทั้งที่ภรรยาไม่ได้กู้ร่วมและไม่ได้ใช้เงินด้วยแต่จะกู้ซื้อบ้านอะไรก็ไม่ได้เพราะสามีเครดิตไม่ดี

ความเห็นของผมที่แลกเปลี่ยนกับเพื่อใน fb ของผม

ขอบคุณครับ ที่ให้ข้อมูลและแสดงความคิดเห็น ผมก็เจอมามากครับ เคยชวนคนฟ้องธนาคาร ที่เอาเปรียบผู้กู้ (ลูกค้า) แต่ไม่อยากใช้คำว่าลูกค้าเพราะธนาคารไม่ได้ถือว่าผู้กู้เป็นลูกค้า เขาถือว่าผู้กู้เป็นเศษคน หรือขี้ข้าของเขาหรือขอทานที่ไปแบบมือขอเงินกับเขา ผมเคยคิดที่จะให้เรารณรงค์เลิกใช้บริการของธนาคาร แต่ก็กลัวจะหาว่าเป็นผู้ไม่หวังดีคิดจะทำลายเศรษฐกิจของประเทศชาติ พอเราโจมตีธนาคารมากๆเขาก็ปัดไปที่ธนาคารชาติ และกระทรวงการคลัง ที่กำหนดกฎเกณฑ์ให้เขาต้องทำอย่างนั้นโดยอ้างเรื่องนโยบาลและเศรษฐกิจของชาติ ต้องคุ้มครองเงินของประชาชน เพราะเงินที่ธนาคารนำมาปล่อยกู้เป็นเงินฝากของประชาชน เรื่องยาวครับ ต้องคุยกันอีกยาวเพื่อให้คนเข้าใจ น่าจะมีเวทีให้ผู้ที่ล่มจมหรือมีประสบการณ์ที่ได้รับจากธนาคารมาเล่าความเลวร้ายของปีศาจในร่างของผู้ให้ความช่วยเหลือ หรือผู้สร้างความมั่นคงให้กับเศรษฐกิจของประเทศ

ขอเชิญทุกท่านร่วมแสดงความคิดเห็นครับ ยินดีรับทราบจากทุกฝ่าย จากผู้ที่ใช้บริการของธนาคารและรู้สึกดี ได้รับความช่วยเหลือที่เหมาะสม และมองธนาคารในด้านดี ผู้ที่ใช้บริการธนาคารแล้วมีความรู้สึกที่ไม่ดี ผู้บริหารของธนาคาร ผู้บริหารหรือเจ้าหน้าที่ของธนาคารชาติที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมธนาคารเอกชน ผู้บริหารหรือเจ้าหน้าที่จากกระทรวงการคลังที่เกี่ยวข้องกับนโยบายและการติดตามควบคุมธนาคาร นักวิชาการ หรือใครก็ได้ โปรดช่วยกันแสดงความคิดเห็น เพื่อความสร้างสรรค์ ผมมองในส่วนที่มีประสบการณ์และคิดในส่วนที่เกี่ยวข้องกับผม แต่ก็พร้อมรับฟังเหตุผล เพื่อให้คนที่เกี่ยวข้องได้รับทราบข้อมูลของทุกฝ่าย ขอให้แสดงข้อมูลจริงและมีเหตุผล เราไม่ต้องการความขัดแย้ง แต่ต้องการให้เรามีการแลกเปลี่ยนมุมมองและความคิดรวมถึงเหตุผลและข้อจำกัดที่ผู้เกี่ยวข้องต้องทำ

ม.ล.ชาญโชติ ชมพูนุท

5 มกราคม 2557

หลังจากผมได้รับประสบการณ์ที่เห็นว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมจากธนาคาร และนำเรื่องไปปรึกษาเพื่อรุ่นพี่ที่เขาเคยเป็นผู้บริหารของธนาคารชั้นนำของประเทศไทย ก็ได้รับการอธิบายมากมายซึ่งพูดแต่ในเรื่องการป้องกันความเสี่ยงในการปล่อยกู้ และการมีกฎเกณฑ์มากมายเพื่อให้อยู่ในกรอบที่ผู้บริหารระดับสูงกำหนด ฟังดูแล้วผู้จัดการธนาคารเดี๋ยวนี้ไม่มีอำนาจอะไรเลย ใครก็เป็นผู้จัดการธนาคารได้ แค่จับฉลากเท่านั้น เพื่อนรุ่นพี โกรธและบอกผมพูดไม่รู้เรื่อง ก็เข้าใจว่าผู้จัดการธนาคารเดี๋ยวนี้ก็คือพนักงานขายดีๆนี่เอง มีเป้าหาเงินฝาก และเป้าปล่อยเงิน หรือทำให้ธนาคารสาขาที่ดูแลอยู่มีกำไรหรือได้เป้าฝากและเป้ากู้ตามนโยบายของเจ้านาย ซึ่งส่วนมากจะเป็นเป้าในการหาเงินมาฝากมากกว่า หรือหารายได้อื่นๆ ส่วนการปล่อยกู้ก็เป็นหน้าที่ของฝ่ายปล่อยกู้ซึ่งเป็นแค่ทำเรื่องและตรวจสอบลูกค้าว่ามีคุณสมบัติที่ผู้บริหารกำหนดไว้ไหม ถ้าเป็นไปตามนั้นก็ส่งเรื่องไปให้เขตพิจารณา เป็นค่า Messager (ผู้นำสาร) เท่านั้นเอง

ส่วนเรื่องเครดิกบูโร นั้นก็เป็นเรื่องตลกมาก เขานำหลักเกณท์นี้มาใช้เพื่อเป็นข้ออ้างในการปฎิเสธไม่ให้ลูกค้ากู้เท่านั้นเอง ไม่เคยนำข้อมูลด้านบวกของลูกค้ามาใช้ในการพิจารณา เช่นไม่เคยมีประวัติเสียหาย ไม่เคยผิดนัดชำระ ก็แสดงว่าผู้นั้นเป็นคนมีเครดิกดีน่าเชื่อถือได้ แต่เขาไม่นำมาใช้ครับ เขาจะให้กู้เมื่อเขาพิจารณาว่าคุณมีหลักฐานอะไรที่แสดงว่าคุณมีรายได้พอกับการชำระเงินคืนตามสติปัญญาของผู้อนุมัติเท่านั้น

สติปัญญาของผู้อนุมัติสินเชื่ออยู่ที่การบังคับให้ผู้กู้มีหลักค้ำประกันด้านทรัพย์สินและความสามารถหาเงินมาจ่ายเงินคืนของผู้กู้ได้ครบแต่ถ้าไม่แน่ใจก็ต้องไปหาผู้กู้ร่วม จะได้มีคนรับผิดชอบมากคน นอกจากนั้น จะต้องบังคับให้ซื้อประกัน เพื่อเพื่มหลักประกันอีกชั้นหนึ่ง อย่างนี้จะเรียกว่าเป็นการเอาเปรียบผู้กู้ได้ไหม หลักทรัพย์ที่ค้ำประกันก็มีมูลค่าเกินวงเงินกู้หลายเท่า นอกจากนั้นประวัติหรือเครดิกของผู้กูเอง ก็เกินพอกับความเสี่ยงแล้ว แต่ยังไม่พอเพราะผู้กู้อายุมากเผื่อตายก่อนจ่ายหมด ก็ให้เพิ่มลูกเข้ามาเป็นผู้กู้อีกคน กู้เงินก้อนเดี่ยวแต่กลายเป็นคนสองคนต้องมามีบัญชีว่าเป็นลูกหนี้ธนาคารในวงเงินเดียวกัน เช่นกู้มา 1 ล้านบาท มีผู้กู้สองคน กลายเป็นว่าผู้กู้ทั้งสองคนมีภาระเป็นหนี้ธนาคารอยู่คนละล้านบาท ตลกจนขำไม่ออก

ขณะเดียวกัน ธนาคารต่างชาติ เป็นผู้เริ่มเปิดบัญชีให้กับผู้ที่มีเครดิกดีโดยอนุมัติวงเงินสินเชื่อแบบ โอดี หรือกู้ระยะสั้นและชำระหนี้ทุกเดือนๆละ 10% ของยอดเงินกู้ที่เหลือในแต่ละเดือน โดยไม่ต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน และไม่ต้องยุ่งวุ่นวายอะไร เสียอย่างเดียวคือดอกเบี้ยแพงมาก 28% ต่อปี เมื่อเทียบกับเงินกู้ที่มีหลักทรัพย์ค้ำประกันที่มีดอกเบี้ยประมาณ 6-9% (ขึ้นกับอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก) เดี๋ยวนี้ธนาคารใหญ่ๆของไทยที่มีต่างชาติมาถือหุ้นเริ่มทำแบบเดียวกัน คือพยายามไม่ปล่อยกู้แบบมีหลักทรัพย์เพราะได้ดอกเบี้ยน้อย หันมาปล่อยกู้กับผู้กู้รายย่อยแทน โดยได้ดอกเบี้ยสูง หรือถ้าจะปล่อยกู้แบบมีหลักทรัพย์ค้ำก็ต้องยินยอมทำประกัน ซึ่งก็เป็นบริษัทย่อยหรือบริษัทในเครือของธนาคารนั้นเอง นี่คือเหตุผลหนึ่งที่ธนาคารกำไรอย่างมหาสารโดยหากินกับคนที่ยากไร้ ไม่ไม่แตกต่างจากหนี้นอกระบบเพียงแต่หนี้นอกระบบ ตามหนี้โดยนักเลงและชีวิตของผู้กู้ที่ไม่มีปัญญาชำระ ส่วนธนาคาร มีโอกาสหนี้สูญจากลูกค้าที่ไม่มีกำลังชำระคืน โดยการหนีหนี้ และก็เสียอนาคตไปเลย เพราะเครดิกหมด แต่สำหรับลูกค้ารายใหญ่ๆ ก่อนที่เขาจะหนี้หนี้เขาก็มีการวางแผนไว้อย่างดี ไม่เดือดร้อนอะไร

ม.ล.ชาญโชติ ชมพูนุท

5 มกราคม 2557

สวัสดีปีใหม่ครับ อาจารย์เปิ้ล ขอให้อาจารย์และครอบครัวมีความสุขตลอดปี 2557 และตลอดไปครับ ขออขอบคุณที่เข้ามาแสดงความคิดเห็นครับ

ธนาคารไทยพานิชย์ให้วงเงินบัตรเครดิตน้อยกว่าธนาคารอื่นๆมาก

บางครั้งก็รู้สึกไม่สะดวกทั้งๆที่เรามีเงินเดือนผ่าน

เรื่องการเงิน เลือกแหล่งที่เรารู้จักดีและเชื่อถือ

เรียนผู้ดูแลระบบ

กรุณาเข้าไปดูในบันทึกของผม http://www.gotoknow.org/posts/558274?2927318 ปรากฎว่ามีผู้ใช้นามว่า Mr.Robert MELODY มา post ข้อความในการแสดงความคิดเห็นในบทความของผม เรื่อง “แสดงความคิดเห็นในบทความของ ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช เกี่ยวกับธุรกิจธนาคาร” ผมไม่ทราบว่าเข้ามาได้อย่างไร พยายามลบและหาทางนำออกไปก็ไม่สามารถทำได้ ขอความกรุณาท่านช่วยนำออกไปด่วน เพราะผมเกรงว่าจะเป็นของพวกมิจฉาชีพ กลัวว่าหากมีบางท่านเขามาอ่านแล้วเกิดหลงกลไปกรอกข้อมูลตามที่เขาแจ้งมา จะเกิดการเสียหายได้ ผมเชื่อว่าเป็นพวกมิจฉาชีพต่างชาติ อาจมีคนแกล้งเพราะสำนวนที่เขียนเป็นสำนวนที่แปลโดย IT ต้นฉบับคงภาษาต่างชาติและใช้ระบบ IT แปลเป็นภาษาไทย ซึ่งก็ไม่ถูกต้อง

โปรดรีบจัดการโดยด่วนและแจ้งผลให้ผมทราบด้วยครับ ท่านคงต้องตรวจสอบระบบความปลอดภัยของท่านด้วยครับ

นับถือ

ม.ล.ชาญโชติ ชมพูนุท

7 มกราคม 2557

ผมได้ลบข้อความการแสดงความคิดเห็นของผู้ใช้นามว่า Mr.Robert Melody ออกได้แล้วครับ

ม.ล.ชาญโชติ ชมพูนุท

7 มกราคม 2557

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท