ประสบการณ์ครั้งแรกกับ "มอม" เรื่องสั้นที่เปลี่ยนชีวิต


   มอม เรื่องสั้นของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช

   ได้อ่านครั้งแรกเมื่อ30กว่าปีก่อน เป็นเรื่องสั้นที่อยู่ในหนังสือเรียนวรรณวิจักษ์ ถ้าจำไม่ผิดน่าจะระดับ ม.3 อ่านแล้วประทับใจมาก จนต้องหาเรื่องสั้นอื่นๆอ่านอีก และทำให้ผู้เขียนชอบอ่านหนังสือมานับตั้งแต่บัดนั้น

    มอม เป็นสุนัขลูกผสมที่เกิดอยู่ใต้ถุนบ้านธรรมดา ดำรงชีวิตท่ามกลางความอบอุ่นของครอบครัวหนึ่ง มีนายที่มันจำกลิ่นได้เป็นคนแรก รวมทั้งนายผู้หญิงและคุณหนู

   "...มอมมันโตเร็วผิดปกติหมาธรรมดา เพราะมันเป็นพันธุ์พ่อมากกว่าพันธุ์แม่ ยิ่งโตมันก็ยิ่งกินจุทุกวัน แต่นายกลับดีใจ คอยให้ข้าวมันกินอิ่มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งกว่านั้นเวลานายผู้หญิงทำครัว มอมมันก็แอบเข้าไปอยู่ด้วย บางทีมันก็เกะกะกีดขวาง นายผู้หญิงก็ตีเอาบ้างไล่ออกมาบ้าง แต่แล้วมันก็กลับเข้าไปอีก เพราะมอมมันรู้ว่าถึงแม้นายผู้หญิงจะดุจะตีอย่างไร ในที่สุดมันก็ต้องได้อะไรกินเสมอ มอมมันโตวันโตคืนจนกลายเป็นหนุ่มใหญ่ แม่หายไปจากโลกของมัน ซึ่งเดี่ยวนี้เหลือแต่นาย มอมไม่ได้รักนายเท่าชีวิต แต่นายเป็นชีวิตของมอม เช้าขึ้นนายหายไปจากบ้าน มันก็รู้สึกว่าชีวิตมันว่างเปล่า แต่มอมรู้ว่าตกบ่ายก็ต้องกลับ ฉะนั้นตามปกติ มันก็ไม่เดือดร้อนเท่าไรนัก มอมใช้เวลาที่นายไม่อยู่หาอะไรกินบ้าง เล่นกับหนูบ้าง บางทีหนูก็ดึงหูดึงหางมัน เล่นกับมันเจ็บๆ..."

   ผู้เขียนได้ให้การเฝ้าสังเกตุของ มอม เล่าเหตุการณ์บ้านเมืองสมัยสงคราม ได้อย่างน่าสนใจและน่าติดตาม  ดังตัวอย่างบางตอนของเรื่อง...

   "...มีอะไรผิดปกติไปเสียแล้ว เพราะบนถนนสายใหญ่นั้น มีรถยนต์บรรทุกขนาดโตกว่าที่มันเคยเห็น วิ่งตามกันมาเป็นแถวยาวเหยียด แผ่นดินสะเทือนมาตั้งแต่ไกล บนรถนั้นมีคนอยู่เต็ม แต่งตัวอย่างที่มอมมันไม่เคยเห็นมาก่อน พูดจากันด้วยสุ้มเสียงที่มอมไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย คนเหล่านั้นรูปร่างเตี้ยล่ำผิดกับคนไทยที่มอมรู้จัก มอมมันยืนนิ่งตัวแข็งอยู่ข้างถนน ขนคอชัน หูตั้ง ความรู้สึกเหมือนขโมยเข้าบ้าน มันสูดกลิ่นแรงๆ คนที่อยู่บนรถนั้นผิดกลิ่นเป็นแน่แล้ว เพราะมีกลิ่นสาบกลิ่นสางอย่างที่มอมไม่เคยรู้จักแต่ก่อนเลย พอมอมมันรู้ว่าอะไรผิดปกติ ใจมันก็คิดถึงนายวาบขึ้นมาขึ้นมาทันที ป่านนี้นายจะอยู่ที่ไหน จะเป็นอย่างไร นายผู้หญิงจะเรียกเที่ยวตามหามันหรือเปล่า ใครจะทำอะไรหนู ซึ่งนายเคยสั่งให้มันเฝ้าหรือไม่ก็ไม่รู้ และป่านนี้คนแปลกหน้าผิดกลิ่นจะเข้าไปในบ้านของมันบ้างแล้วกระมัง พอหัวใจมอมมันหวนกลับไปบ้าน ตัวมันก็หันกลับและขาทั้ง ๔ ของมันก็พาตัวมันกลับบ้านทันที ..."

    "...ตั้งแต่นั้นมานายก็เริ่มหายไปจากบ้าน หลายวันจึงกลับมาครั้งหนึ่ง มอมสังเกตเห็นนายแต่งตัว ผิดไปกว่าแต่ก่อน คือนายแต่งตัวสีกากีแกมเขียว ใส่หมวกสีเดียวกัน มีอะไรสีทองติดที่หน้าอก กางขายาวที่เคยนุ่งก็กลับเป็นพันแข็ง และเกือกหนังบางที่เคยใส่ และที่มอมมันเคยเสีย บางครั้งก็แอบเอาไปกัดเล่น เดี๋ยวนี้ก็ไม่ใส่ กลายเป็นใส่เกือกหนาๆ สากๆ ครั้งแรกที่มอมเห็นนายแต่งตัวอย่างนี้กลับบ้าน มันเกือบจำไม่ได้ แต่พอนายเดินเข้ามาใกล้ได้กลิ่นมันจึงรู้ระวังหายหน้าไปครั้งละหลายวัน มอมเห็นนายผู้หญิงเศร้ากว่าทุกครั้งที่เคยเห็นมา งานการทางบ้านที่เอาใจใส่ก็ดูเนือยๆ ลงไป ..."

   "...พอนายไปได้สักปีกว่าๆ มอมมันก็เริ่มเห็นความร่วงโรยภายในบ้านมากขึ้นทุกๆ วัน นายผู้หญิงซูบผอมผิดปกติการแต่งกายก็ปอนกว่าแต่ก่อน ทั้งมิได้ระมัดระวัย หนูนั้นเติบโตใหญ่ขึ้นจนวิ่งได้แล้ว แต่ก็ผ่ายผอมมิใช้อ้วนน่าเอ็นดูอย่างแต่ก่อน บ้านที่เรียบร้อยสะอาดสะอ้านนั้น บัดนี้รกรุงรัง เต็มไปด้วยหยากไย่ระวังผู้หญิงมิได้เอาใจใส่เช็ดถูอย่างเคย มอมต้องเรียนบทเรียนใหม่ในชีวิต เจ๊กขายขวดซึ่งนายเคยยุให้มอมเห่าและกัดทุกครั้งที่แวะกรายเข้ามาในบ้านนั้น..."

   และเหตุการณ์ที่สะเทือนใจอย่างไม่ลืมเลือน

   "...มอมนอนเลียแผลอยู่นานจนขาที่เจ็บค่อยหายชา มีความรู้สึกขึ้น มันก็ครึ่งเดินครึ่งคลานไปที่หลุมที่นายผู้หญิงอยู่ ที่หลุมนั้นเงียบสนิทไม่มีเสียงใดๆ ลูกระเบิดที่ตกกลางลานบ้านทำให้ดินกระเด็นมากลบหลุมเสียกว่าครึ่ง มอมเห็นเท้านายผู้หญิงโผล่ออกมาจากกองดินมันก้มลงเลีย เท้านั้นเย็นชืดไม่มีชีวิต มอมมันรู้สึกร้อนผ่าวไปทั้งตัว นายฝากนายผู้หญิงและหนูไว้กับมัน ..."

   "..ในที่สุดมอมก็ได้เห็นนายผู้หญิงนอนเหยียดยาวดังหลับอยู่ใต้กองดินในหลุม หนูนอนนิ่งอยู่ในอ้อมกอดของแม่ มอมมันโจนลงไปในหลุมคร่อมนายผู้หญิงไว้ ใครเข้ามาใกล้ก็ไม่ยอม มันเฝ้าแต่ขู่คำรามและแยกเขี้ยวขาว ตามันมีแววเขียวปัดอยู่ข้างใน คนทั้งโลกเป็นศัตรูคนเหล่านี้ที่ทำให้นายต้องจากไป คนเหล่านี้ที่ทำให้บ้านที่มันเคยอยู่เคยกิน ต้องไฟไหม้จนหมดสิ้นไป คนเหล่านี้กำลังจะมาแตะต้องตัวนายผู้หญิงและหนู..."

  "..ในที่สุดเขาก็กลุ้มรุมกันเข้าหามร่างอันไร้ชีวิตของนายผู้หญิงและหนูขึ้นรถบรรทุกแล่นไป มอมมันวิ่งตามขาโขยกเขยกไปเพราะขามันเจ็บ แต่แล้วมันก็ค่อยๆหมดแรงตะกายกลับบ้าน บ้านที่ไม่มีเรือน บ้านที่รั้วพังจนหมดเหลือแต่ซากของประตู บ้านที่ไม่มีนาย ไม่มีนายผู้หญิง ไม่มีหนู.."

   หลังสงครามสิ้นสุด มอมได้อยู่บ้านหลังใหม่ พร้อมชื่อใหม่...ดิ๊ก...จากคนที่นำไปเลี้ยงตั้งชื่อให้  อยู่บ้านหลังใหญ่อาหารสมบูรณ์ แต่

   "... แต่มอมมันไม่กระปรี้กระเปร่ารื่นเริงเหมือนแต่ก่อนเพราะถึงมอมมันจะสบายก็สบายแต่กาย ใจของมันยังคอยนายอยู่ไม่มีวันลืมถึงแม้ว่ามอมมันจะรักคุณแต๋วมันก็รักเพราะมือที่ให้ข้าวมันกิน คุณแต๋วไม่ใช่ชีวิตของมอม..."

   จนคืนหนึ่ง มอม ก็ได้พบกับ นาย เก่า ในตอนที่สุดประทับใจ

   "...คืนนั้นมอมมันจะจับขโมยให้คุณแต๋วและให้คนทั้งบ้านใหญ่นี้เห็นฝีมือมัน มอมมันเดินอย่างเงียบที่สุด สะกดใจไว้มิให้เห่าออกมา พอมันเดินอ้อมมุมตึกแลเห็นคนๆ หนึ่ง กำลังปีนม้าเล็กๆ งัดหน้าต่างอยู่จริงๆ มอมมันย่องใกล้เข้าไปทุกที อีกประเดี๋ยวเป็นได้เห็นดีกัน ทันใดนั้นลมพัดมาวูบหนึ่ง พาเอากลิ่นตัวคนๆ นั้นมาต้องจมูกมัน ใจของมอมเพียงจะหยุดเต้นด้วยความดีใจ มันโถมเข้าใสคนๆ นั้นด้วยกำลังทั้งหมดที่มันมีอยู่ ทำเอาคนๆ นั้นหงายหลัง ศีรษะฟาดกับพื้นนอนงงอยู่ครู่ใหญ่ มอมตัวสั่นเทากระดิกหางเร็วไม่เป็นจังหวะ มันเลียชายผู้นั้นตั้งแต่หน้าไปทั้งตัว เพราะกลิ่นที่ลมพัดมาเข้าจมูกหาใช่กลิ่นแปลกของใครที่ไหนไม่ แต่เป็นกลิ่นที่มันรู้จักดี เป็นกลิ่นของนายที่มันตั้งใจคอยมาตลอดเวลาหลายปีนับตั้งแต่วันที่นายจากไป ..."

   ".."กลับเข้าบ้านเถิดมอม" นายพูดพลางลุกขึ้นยืน "ข้าไม่มีปัญญาจะเลี้ยงเอ็งได้เสียแล้ว" นายชี้มือไปที่รั้วพลางไล่มัน "ไป ไอ้มอม เข้าบ้าน" แทนคำตอบมอมมันกระดิกหางแรงกว่าเก่าและวิ่งรอบๆ ตัวนาย นายไล่มันอยู่หลายครั้ง แต่มอมมันก็ไม่ฟัง"

   ม.ร.ว.คึกฤทธิ็์ ปราโมช ได้จบเรื่องสั้นด้วย วรรคทองที่เห็นภาพในค่ำคืนนั้น ว่า

   "....คืนหน้าร้อนวันนั้น ถ้าหากมีใครเดินมาตามถนนราชวิถีตอนดึกประมาณสักตีสองครึ่ง จะได้เห็นชายคนหนึ่งรูปร่างสูงผอม เสื้อผ้าขาดวิ่น เดินช้าๆ อยู่ข้างถนนอย่างอ่อนระโหยโรยแรงข้างๆตังมีหมาตังผู้รูปงามตังหนึ่ง ปากคาบกิ่งไม้ คอตั้งหางเชิดวิ่งตามเขาไปด้วยความเบิกบานสุดขีด... "  

................

   มอม เป็นเรื่องสั้นเรื่องแรกที่ผู้เขียนได้อ่านตั้งแต่สมัยมัธยมต้น อ่านแล้วทำให้ชีวิตผู้เขียนเปลี่ยนไป ทำให้คลุกอยู่ในห้องสมุดอยู่ได้นานๆ

   ชอบบรรยากาศของห้องสมุด ที่สงบเงียบ ชอบหนังสือมากมายที่เรียงรายให้เลือกหาอ่าน ทั้งใหม่เก่า โดยเฉพาะหนังสือเก่า ช่างมีเสน่ห์ให้เราค้นหายั่วยวนด้วยกลิ่นสาบของความเก่าเก็บ กลื่นนั้นยังคงคลุ้งอยู่เท่าทุกวันนี้

   กลิ่นนั้นหอมเหลือเกิน...

   ...หอมกลิ่นหนังสือ...

................

ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาติดตามอ่าน

18 พฤศจิกายน 2556

พ.แจ่มจำรัส

เจ้าทอฟฟี่ หมาขี้อ้อนของผู้เขียน...

ขอบคุณเนื้อเรื่องจาก โครงการจัดทำแหล่งเรียนรู้โดยนักเรียนชั้น ม.1 ม.2 โรงเรียนสุราษฎร์ธานี
ห้องเรียนสีชมพ
ูhttp://www.st.ac.th/bhatips/tip48/student48/dog_mom_student48.html

หมายเลขบันทึก: 553924เขียนเมื่อ 18 พฤศจิกายน 2013 22:15 น. ()แก้ไขเมื่อ 4 มกราคม 2019 16:40 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (17)

ชอบจังเลยค่ะคุณพ. ขอบคุณมากนะคะที่นำมาให้อ่าน

มีความสุขมากๆนะคะ

เป็นเรื่องที่ให้คุณค่าแก่ผู้อ่านเป็นอย่างยิ่งจ้ะ

จับประเด็นเรื่องมาเล่า

เรื่องนี้มีประเด็นที่สำคัญมาก ประเด็นนั้นสามารถกำกับจิตใจมนุษย์ ที่จะนำพาความมั่นคงของมนุษย์มาสู่มนุษย์ด้วยกันเอง

สิ่งนั้นคือ "ความกตัญญู"

ความกตัญญู สามารถ ควบคุม และ กำกับ ทุกสิ่งทุกธรรม(แม้แต่ศีลธรรม คือ ศีล5ด้วย) เนื่องจากชาวไทย ถูกฝึกจิตให้สามารถ กำหนดสิ่งหนึ่งให้ จิตยอมเนรคุณได้ สิ่งนั้นคือสิ่งที่อ้างสิทธิ์ในการให้ออกซิเจนมนุษยชาติเสพมาช้านานแล้ว มีเอกสารสิทธิ์สมบูรณ์ โดยไม่มีใครมาอ้างสิทธิ์ทับด้วย. เด็กไทยแต่กาลนาน ถูกกล่อมเกลาด้วยการ อนุญาตให้ปิดกั้น ปฎิเสธ ถึงการกล่าวลบหลู่ ยกเลิกการมีพระคุณ ทั้งๆที่เสพของผู้นั้นได้. เด็กไทยวันนั้น เติบโตขึ้น มาเป็นครูบาอาจารย์ เป็นด็อกเตอร์ ก็ยังมาโหมโรง สอดใส่มายาคติที่อกุศลนั้นต่อ

แผ่นดิน จะต้องไร้กุศล ด้วยการขาด กตัญญูกตเวทิตาธรรมนี้ ไปนานเท่าไร แล้วเช่นนี้ บ้านเมืองจะมีสันติธรรมได้เมื่อไรล่ะ มิได้เร่งเร้าเป็นกิเลสหรอกนะ ปต่เราทำได้ทุกคน ใยปล่อยวาง ใยวางเฉย เฉยนิ่ง เฉยโง่ ถูกแนะนำมานาน แต่เราเห็นผลแล้วว่า ขนาดผู้นำประเทศเอาไปใช้ ยังเข้าทางเสื่อม แล้วเฉยจะถูกหรือ ทำได้ และทันใช้ จงใส่ความกตัญญู ลงในทุกสาร เพื่อซึมซับไปยังลูกหลานไทย และตนเองให้มากและบ่อนเท่าที่จะทำได้

อย่ายกสะพานออกจากผู้มีพระคุณใดใด ปม้แต่พระเจ้า แล้วจิตจะสะอาด เป็นพลเมืองแห่งเมืองสะอาด มีกุศลได้

หนังสือทุกเล่ม ข้อเขียนทุกเรื่องของท่านอาจารย์คึกฤทธิ์เป็นวรรณกรรมอมตะจริงๆค่ะ ท่านเป็นนักเขียนที่คิดและถ่ายทอดออกมาได้กินใจลึกๆไปเสียทุกเรื่องจริงๆค่ะ

ขอบคุณครับที่ได้มีโอกาศรื้อฟื้นความทรงจำอีกครั้งหนึ่ง

ชอบมากครับถึงแม้จะผ่านสายตามาแล้ว ก็ยังชอบอ่าน

และอ่านอย่างละเอียดไม่ตกหล่น ตระหนักถึงคุณค่าของ

วรรณกรรมเรื่องนี้ เป็นเพชรนํ้าหนึ่งและยังทันสมัยอยู่เสมอครับ

เล่มนี้ ได้อ่านแล้วค่ะ -- ลูกสาว ซื้อมา เมื่อปีก่อน

"มอม" ความกตัญญู ที่เป็น อมตะ......

มอม แต่ ไม่มอมเมา ประชาชน นะ ครับ 555

เคยอ่านเรื่อง มอม ตอนสมัยเด็กๆเหมือนกันค่ะ แต่ย้อนไปไม่ถึง 30 ปีนะคะ :)

สงครามนำมาซึ่งความสูญเสีย ส่งผลกระทบกับทุกสิ่ง ไม่เพียงแต่คน สิ่งของ แต่รวมถึงสัตว์ด้วยค่ะ

ตัวนี้มันชื่อ เมิน ค่ะ ไม่ได้ชื่อ มอม

นุชระพี

ขอบคุณครับ

เมิน อะไรรึ เจ้า เมิน 55

..อ่านแล้ว ..ได้ข้อคิดมากค่ะ .. อ่านแล้ว อ่านอีก .... สอนดีมากๆ ค่ะ

ขอบคุณครับ

Dr. Ple

สุขสันต์วันลอยกระทงย้อนหลังนะครับ

ฝากบอกเจ้าทิฟฟี่ นำแน่ มีคนคิดฮอด ยังซำบายดีบอ่

-สวัสดีครับ..

-สำหรับผมแล้วอ่านเรื่อง"ลูกอีสาน"แล้วประทับใจมาก ๆครับ..

-เรื่องมอม..ก็สนุกเช่นกันครับ...

-ขอบคุณครับ...

ชอบมากครับ พี่ พ.แจ่มจำรัส...เขียนเรื่อยนะครับ ตามอ่านผลงานพี่อย่างสม่ำเสมอครับ..ขอบคุณนะครับที่ ร่วมกิจกรรมกับชุมชน 100 เล่มเกวียน (หรือเปล่า) ดูจากชื่อเรื่องนะครับ..(น่าจะ..นะ :) .....ติดตามด้วยความชื่นชมในความสม่ำเสมอครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท