เมืองเชนไน, ประเทศอินเดีย
23 มกราคม 2551
กราบเท้ามายังคุณแม่ที่เคารพอย่างสูง
คุณแม่เป็นอย่างไรบ้างครับ สบายดีหรือเปล่า ส่วนผมอยู่ทางนี้ก็สบายดีเช่นเดิม คุณแม่ไม่ต้องเป็นห่วง พี่ ๆ และหลานทุกคนคงสบายดีกันนะครับ ผมขอฝากความคิดถึงไปยังทุก ๆ คนด้วย สำหรับเรื่องการเรียนนั้นตอนนี้ผมกำลังเร่งเขียนวิทยานิพนธ์บทที่ 3 อยู่ ซึ่งเป็นเรื่องสัจธรรมในพระพุทธศาสนา คือ เรื่องไตรลักษณ์ ปฏิจจสมุปบาท และเรื่องกฎแห่งกรรม ส่วนบทที่ 2 ที่ผมเขียนจบไปนั้นเป็นเรื่องขันธ์ 5 และอาจารย์ที่ปรึกษาก็ตรวจให้ผมเรียบร้อยแล้ว และท่านยังถามผมอีกว่า เมื่อไหร่จะเขียนบทที่ ๓ เสร็จ แล้วเอามาให้ท่านตรวจอีก ผมก็บอกท่านไปว่า ประมาณอีก 3 เดือนก็คงจะเสร็จ เพราะฉนั้นตอนนี้ผมจึงเร่งเขียนวิทยานิพนธ์อย่างหนัก ส่วนเรื่องงานช่วยเหลือสังคมนั้นจะพยายามตัดออกไปให้หมด เพื่อจะได้มีเวลาทำงานของตัวเองให้เต็มที่ อีกอย่างตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ผมคิดว่าผมได้ทำงานช่วยเหลือสังคมที่นี้มากพอสมควร ทั้งงานของสถานกงศุลไทยประจำเมืองเชนไน ทั้งงานของชมรมนักศึกษาไทยศิษย์เก่ามหาจุฬาฯ เมืองมัทราส โดยผมได้ช่วยเหลือรุ่นน้องให้ได้เข้าศึกษาปริญญาเอก 3 คน ปริญญาโท 1 คน และช่วยนักศึกษาปริญญาเอกให้ได้สอบป้องกันวิทยานิพนธ์จบปริญญาเอกอีก 3 คน สิ่งเหล่านี้ผมถือว่าเป็นการตอบแทนบุญคุณของสังคม ที่สังคมได้หยิบยื่นโอกาสให้ผมมายืนตรงจุดนี้ ตลอดทั้งพระพุทธศาสนาและมหาจุฬาฯ ที่มีส่วนให้ผมมาถึงจุดนี้ด้วย และการทำงานช่วยเหลือสังคมตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ผมทำโดยไม่คาดหวังผลตอบแทนใด ๆ ทั้งสิ้น เป็นการช่วยเหลือโดยความบริสุทธิ์ใจอย่างเต็มที่ เพราะฉนั้นหนึ่งปีต่อจากนี้ไปผมจะทุ่มเทสติปัญญากำลังความสามารถและเวลาให้กับการเขียนวิทยานิพนธ์ของตัวเองให้เสร็จโดยสมบูรณ์ เพื่อที่จะได้ยื่นงานวิทยานิพนธ์ต่อมหาวิทยาลัย และจะได้สอบป้องกันวิทยานิพนธ์จบการศึกษาตามกำหนดเวลาในหลักสูตร 3 ปี ที่มหาวิทยาลัยได้กำหนดไว้ ผมจึงอยากให้คุณแม่สวดมนต์ไหว้พระอธิษฐานให้ผมประสบความสำเร็จดังที่ตั้งความหวังเอาไว้ และที่สำคัญที่สุคือกำลังใจจากทุกคนที่บ้าน เพราะผมถือว่ากำลังใจจากคุณแม่และทุกคนที่บ้านนั้นเป็นสิ่งที่วิเศษที่สุดที่จะช่วยให้ผมทำงานใหญ่ชิ้นนี้ให้สำเร็จได้
นอกจากนี้แล้ว ผมมีเรื่องอีกสองเรื่องที่จะเล่าให้คุณแม่ฟัง เรื่องแรกคือ เมื่อวันที่ 21 มกราคมที่ผ่านมาท่านดะไลลามะ ผู้นำสูงสุดทางจิตวิญญาณของชาวธิเบตได้รับเชิญมาแสดงธรรมที่มหาวิทยาลัยมัทราส ท่านดะไลลามะเป็นผู้มีชื่อเสียงระดับโลก เพราะท่านเคยได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ และมีลูกศิษย์อยู่ทั่วโลก เป็นผู้ที่ชาวธิเบตเชื่อกันว่าเป็นองค์อวตารของพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ พูดง่าย ๆ คือพระโพธิสัตว์มาเกิดเป็นท่าน ท่านจึงเป็นทั้งประมุขของประเทศและผู้นำสูงสุดทางจิตวิญญาณด้วย สรุปคือท่านเป็นทั้งพระมหากษัตริย์และสมเด็จพระสังราชของธิเบต ซึ่งวันนั้นพวกเรานักศึกษาไทยรวมทั้งนักศึกษาอินเดียทั้งหมดได้เข้าร่วมฟังการบรรยายของท่านด้วย มีตอนหนึ่งที่ผมประทับใจมากคือตอนที่ท่านกล่าวว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดของชีวิตมนุษย์เราคือความรักความเมตตาของแม่ที่มีต่อลูก ท่านเล่าว่าตอนที่ทหารจีนบุกยึดธิเบต ทิ้งระเบิดใส่ประชาชน ทุกคนวิ่งหนีเอาตัวรอดกัน ส่วนเด็กเล็ก ๆ ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ก็มีเพียงแม่เท่านั้นที่ปกป้องดูแลรักษาชีวิตลูกของตัวเอง ท่านบอกว่าท่านจำภาพที่แม่อุ้มลูกของตัวเองหนีลูกระเบิดได้ติดตา ท่านสอนว่าความรักความอบอุ่นของแม่ที่มีต่อลูกเป็นสิ่งประเสริฐที่สุดของมนุษย์
อีกเรื่องหนึ่งก็คือมีพระนักศึกษาเมืองไมซอร์จะเดินทางไปกราบสักการะสังเวชนียสถาน สถานที่พระพุทธเจ้าประสูติ ตรัสรู้และปรินิพพานที่ภาคเหนือของอินเดีย โดยจะเดินทางด้วยรถไฟไปที่เมืองเดลีก่อน บังเอิญว่าตั๋วรถไฟที่ท่านซื้อได้เป็นตั๋วสำรอง ไม่มีที่นั่ง ซึ่งเป็นเรื่องลำบากมากเพราะการเดินทางโดยรถไฟไปเดลีต้องใช้เวลา 2 วัน 2 คืน ท่านจึงโทรมาให้ผมช่วยจองตั่วที่เมืองเชนไนให้ เพราะที่เชนไนจะมีแผนกบริการนักท่องเที่ยวต่างประเทศ ซึ่งผมก็ไปจองให้ท่านได้ตั๋วปกติมีที่นั่นและนอนได้ ท่านจึงจะแวะมาพักกับผมก่อนหนึ่งวันแล้วจึงค่อยเดินทางไปกราบสังเวชนียสถาน ผมคิดว่าจะฝากปัจจัยไปทำบุญและให้ท่านซื้อดอกไม้ธูปเทียนไปสักการะบูชาสถานที่ประสูติ ตรัสรู้และปรินิพพานของพระพุทธเจ้า (ผมเคยไปสักการะแล้วตอนสมัยเรียนปริญญาโท) ซึ่งผมเล่าเรื่องนี้ให้คุณแม่ฟังเพื่อคุณแม่จะได้ร่วมอนุโมทนาบุญด้วย
สุดท้ายนี้ผมขออ้างอิงเอาคุณพระศรีรัตนตรัย คือ คือ คุณพระพุทธ พระธรรมและพระสงฆ์ ขอจงช่วยอภิบาลรักษาให้คุณแม่มีแต่ความสุขกาย สุขใจ มีสุขภาพพลานามัยที่สมบูรณ์แข็งแรง และขออวยพรให้พี่และหลานทุกคน จงมีแต่ความสุข ประสบความสำเร็จในสิ่งที่ปราถนาทุกประการ
ด้วยความรักและความเคารพอย่างสูง
บรรพต แคไธสง
ขอบคุณค่ะ อ่นบันทึกนี้แล้วทำให้คิดถึงคุณพ่อคุณแม่ เมื่อครั้้งเป็นเด็กๆดิฉันก็เคยเขียนจดหมายถึงคุณพ่อคุณแม่
เวลากลับขึ้นมาอยู่กับคุณพ่อ ก็เขียนจดหมายถึงคุณแม่และน้องๆ
เวลาอยู่กับคุณแม่ก็เขียนจดหมายถึงคุณพ่อ
จนงานราชการนำพาให้คุณพ่อและคุณแม่ได้มาอยู่ร่วมกันไม่ต้องวิ่งลงวิ่งขึ้นระหว่างภาคกลางและนครศรีฯ
จนคุณแม่กลับบ้านเกิดที่กรุงเทพฯ ดิฉันก็ไม่ได่เขียนจดหมายถึงใคร นอกจากน้องสาวที่ประเทศสวิสฯ
ตอนนี้ก็ไม่ได้เขียนแล้วด้วยวิทยาการโลก IT นั้นทันสมัยจนตามไม่ทัน
ขอบคุณสาระความรูปในบันทึกนี้นะคะ
ขอบคุณค่ะ
ขอบคุณมาครับ จดหมายเหล่านี้ผมเขียนตอนเรียนปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยมัทราสถึงคุณแม่ของผมที่บุรีรัมย์ ผมเขียนเพราะอยากเล่าเรื่องราวที่ผมพบเห็นให้ท่านฟังโดยลืมนึกไปว่าท่านไม่ค่อยเข้าใจเรื่องที่ผมเขียนหรอกเพราะเป็นเรื่องห่างไกลตัวท่าน แต่ท่านก็ดีใจที่ทราบความเป็นอยู่ของผมและเก็บจดหมายเหล่านี้เอาไว้ทั้งหมด พอกลับมาทำงานที่เมืองไทยผมได้อ่านจดหมายที่ตนเองเขียนอีกครั้งจึงเข้าใจ และทุกครั้งที่ประสบปัญหาไม่สบายใจผมก็จะเอาจดหมายเหล่านี้มาอ่าน มันทำให้ผมมีความสุขและนึกถึงภาพที่ตัวเองเคยโลดแล่นอยู่ที่อินเดีย มันเป็นประสบการณ์ชีวิตที่ผมคงหาไม่ได้อีกแล้ว เป็นชีวิตที่มีรสชาติและสีสันมาก แม้ว่ามันจะเป็นช่วงชีวิตที่ผมต้องต่อสู้กับปัญหาและอุปสรรคมากที่สุด แต่มันมีความสุขเมื่อคิดย้อนกลับไป ใช่ครับเป็นอะไรที่ลืมไม่ลง และผมก็คิดว่าเรื่องราวเหล่านี้น่าจะเป็นประโยชน์ต่อคนอื่นบ้าง จึงตัดสินใจเขียนบันทึกลงในgotoknow ผมจึงขอขอบคุณที่มองเห็นสาระและคุณค่าของมัน
...สวัสดีค่ะ.ดร. บรรพต ... อ่านแล้วเข้าใจว่าในอนาคตอาจารย์อยากจะกลับไปอินเดียอีกนะคะ...เป็นกำลังใจให้...เส้นทางชีวิตเราเลือกและกำหนดเองได้นะคะ
ขอบคุณมากครับ สำหรับกำลังใจ แน่นอนครับผมอยากกลับไปสัมผัสอินเดียอีก และผมก็เสียดายแทนคนไทยส่วนใหญ่ที่เดินทางไปอินเดียแล้วได้รับความรู้สึกแย่ ๆ กลับมา เกิดความรังเกียจหรือดูถูกไม่ว่าจะเป็นเรื่องความสกปรก ขอทานหรือความเห็นแก่ตัวของแขก ตอนผมไปอินเดียใหม่ ๆ เพื่อเรียนปริญญาโทก็เป็นเหมือนกัน ปีแรกรู้สึกไม่ดีมากแทบอยากจะกลับเมืองไทย พอปีที่สองเริ่มเข้าใจ หลังจากนั้นตอนไปทำปริญญาเอก นอกจากจะเข้าใจอินเดียแล้วยังเกิดความชื่นชมในความเป็นอินเดียหรือความเป็นอารยัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องภูมิปัญญา ภูมิธรรม ความยิ่งใหญ่ของอารยธรรมทั้งในอดีตและปัจจุบัน สรุปก็คือถ้าเรามองด้วยสายตาแบบไทย ๆ ที่ยึดตะวันตกเป็นมาตรฐานความเจริญ เราก็จะเกิดความรู้สึกไม่ดี แต่ถ้าเรามองให้ข้ามพ้นเปลือกนอกและมองด้วยสายตาด้วยความคิดความรู้สึกแบบอินเดียจริง ๆ เราก็จะเห็นถึงความงดงามและความยิ่งใหญ่ของอินเดียครับ
เจริญพร เมื่ออ่านแล้ว คิดถึง ผู้มีพระคุณจัง อยากมีโกาสจังเลย ปัจจัยน้อยแท้
นมัสการครับ พระอาจารย์
รู้สึกดีใจมากครับที่จดหมายของกระผมช่วยให้หลายคนหวนระลึกถึงผู้มีพระคุณ ความรู้สึกนี้เป็นสิ่งสากล ทุกศาสนาทุกอารยธรรมต่างเทิดทูนคุณธรรมนี้ อย่างที่องค์ดะไลลามะกล่าวไว้ว่า ความรักของแม่ที่มีต่อลูกนั้น เป็นสิ่งประเสริฐที่สุดของมนุษย์ ในขณะเดียวกันความกตัญญูที่ลูกมีต่อพ่อแม่นั้นก็เป็นสิ่งยิ่งใหญ่ครับ