วันนี้ไปพบครูใหญ่โรงเรียนสิ่นหมิน ชื่อ กิตติศักดิ์ แท่งทอง (นามสกุลเหมือนดารา ศักดิ์สิทธิ์ แท่งทอง แต่ไม่ได้เป็นญาติกัน) เพื่อจะไปสนทนาพูดคุยรายละเอียดที่จะนำ KM ไปใช้ในโรงเรียน เพื่อจูนความเข้าใจกันก่อน แต่บังเอิญไปพบ ศิษย์เก่าของสิ่นหมินกำลังสนทนากับครูใหญ่และครูภาษาจีนชือเหล่าซื้อเกาอยู่ ดังภาพที่นำมาลง
|
บรรยายภาพ จากซ้ายไปขวา เหล่าซือเกา, คุณสฤษฎ์ จีนคง และนายกิตติศักดิ์ แท่งทอง อาจารย์ใหญ่โรงเรียนสิ่นหมิน |
คนที่เป็นศิษย์เก่า ชื่อ สฤษฎ์ จีนคง พูดภาษาจีนกลางคล่องปรื๋อเลย สำเนียงผมว่าใช้ได้เลยทีเดียว เห็นครั้งแรกคิดว่าเป็นผู้ปกครองนักเรียนแต่ทำไมพูดภาษาจีนเก่งจังเลย จึงอยากนำเรื่องราวความสำเร็จเกี่ยวกับการเรียนภาษาจีนมาถ่ายทอดให้ฟังครับ
คุณสฤษฏ์นี้เรียนจบจากที่โรงเรียนสิ่นหมิน ปี 2532 จบไป 17 ปี ตอนนี้ก็อายุประมาณ 29-30 ปี กลับมาที่โรงเรียนสิ่นหมิน เพื่อมาจัด "ค่ายเยาวชนภาษาจีน" ซึ่งผู้ที่มาเข้าค่ายมีอายุ 10-20 ปี มีภูมิลำเนาอยู่ในภาคเหนือ โครงการนี้ มีคุณอาทิตย์ ภู่สว่าง สาขาลำพูนของ "สมาคมไหหลำแห่งประเทศไทย" เป็นผู้ดำเนินโครงการ...นี่คือที่มาของแกที่กลับมาโรงเรียน แต่เรื่องราวความสำเร็จเกี่ยวกับภาษาจีนจะเล่าต่อไปครับ
คุณสฤษฎ์ ได้เรียนภาษาจีนที่โรงเรียนสิ่นหมินเพียง 4 ปีเท่านั้น พอจบออกไปแล้วแทบไม่มีโอกาสได้ใช้อีกเลย ...แกเป็นนักเรียนที่สร้างชื่อให้กับโรงเรียนเพราะสอบเข้าติดอันดับ Top ten ของโรงเรียนมัธยม แม้ว่าจะเป็นโรงเรียนจ่านกร้อง (ตอนนั้นยังไม่ดังเหมือนสมัยนี้)
ไปเรียนโรงเรียนจ่านกร้องอยู่ 2 ปี และไปเรียนที่แพร่ อีก 4-5 ปี ซึ่งในช่วง 5-7 ปีนี้ไม่ได้ใช้ภาษาจีนเลย คือมีโอกาสได้ฟังแต่ไม่ได้พูด
ช่วงปริญญาตรีได้ไปเรียนที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (เข้าใจว่าเรียนทางศึกษาศาสตร์) ชอบทางด้านกีฬาบาส และอื่นๆ ด้วย
ตอนเรียนก็ทำงานไปด้วย เนื่องจากฐานะทางบ้านไม่ดี อากงกับอาม้าเป็นคนเลี้ยงมา ส่วนพ่อกับแม่ นั้นไม่ได้เลี้ยงดูมาตั้งแต่เล็ก อากงมักสอนว่า "การศึกษาทำให้ชีวิตดีขึ้น" และเคยพูดว่า "ลื้อดูนะ อีก 10 ปีข้างหน้า ถ้าประเทศที่มีประชากร 1,000 ล้านคน เปิดประเทศเมื่อไร ภาษาจีนจะมีความสำคัญ"
ช่วงที่อยู่เชียงใหม่ ทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย ไปทำงานเช็ค Stock ของ ได้มีโอกาสไปช่วยงานที่สถานธรรม ได้ไปช่วยงานคนไต้หวัน ทำให้มีโอกาสได้ใช้ภาษาจีนในการพูดคุย จึงต้องมีการรื้อฟื้นความรู้เดิม และอ่านตำราเพิ่ม ที่ห้องสมุด
คุณสฤษฎ์ ให้ความเห็นว่า สิ่งที่มีค่ามากคือ "การที่ได้เคยเรียนภาษาจีนเป็นพื้นฐาน" เพราะทำให้รื้อฟื้นได้เร็ว เคยเขียนได้แล้ว แต่ที่เป็นปัญหาคือยังพูดไม่ได้
สิ่งที่เป็นส่วนประกอบสำคัญของการเรียนภาษาคือ
ทีนี้คุณสฤษฎ์ ได้ไปทำงานที่สถานธรรม และรู้จักคนมากขึ้น ไปช่วยคนไต้หวันที่ผลิตลำไยอบแห้งคุณภาพ หาตลาดประเทศจีนเพื่อส่งสินค่าไปขาย
หลายครั้ง ได้มีโอกาสสนทนากับคนจีน เขาแนะนำว่า
เนื่องจากเขาไม่มีทุนไปเรียนภาษาจีนที่เมืองจีน จึงเรียนต่อปริญญาโท ที่เมืองไทย และใช้การฝึกฝนภาษา จากงานที่ได้ทำ
มีคนจากปักกิ่ง ติว่า "สำเนียงยังไม่ดี" แต่ก็มีบางคนให้กำลังใจ
เขาได้แรงใจมาจากครู "เคท" ที่เก่งภาษาอังกฤษ ด้วย พูดถึงการจุดประกายด้านภาษาว่า คนจะเก่ง ต้อง
ต่อมาเขาได้มีโอกาส ไปอยู่สมาคมยกน้ำหนักแห่งประเทศไทย ได้ไปเป็นล่ามช่วยงานของโค้ช "จาง" ซึ่งเป็นโค้ชที่ทำให้ ทีมนักยกน้ำหนักหญิงไทย ได้เหรียญทองโอลิมปิค
เขามีความเห็นว่า โค้ชจางเก่งมาก หาจุดอ่อนของนักยกน้ำหนักแต่ละคน แล้วให้มาฝึกฝนเพิ่มเติม มีตารางฝึกซ้อมให้ โดย "ล่าม" จะต้องเป็นคนอธิบายภาษาไทย
"ล่าม" ไม่ใช่คนที่แปลภาษาเท่านั้น แต่ต้องมีความชอบกีฬา (ในที่นี้) เข้าใจตัวนักกีฬาด้วย เพื่อจะสื่อสารให้เข้าใจ
(ถึ่งตรงนี้ผมนึกถึงโค้ชฟุตบอลบราซิล คนหนึ่ง ที่เคยทำให้ไทยได้อันดับ 4 ในฟุตบอลเอเชี่ยนเกมส์ แต่พอกลับมาเป็นโค้ชอีกครั้ง ไม่ประสบผลสำเร็จ ผมคิดว่าล่ามมีส่วนด้วยอย่างมากในที่นี้ ในการสื่อสารกับนักกีฬา)
มีอยู่คำหนึ่งที่โค้ชจีนบอกคุณสฤษฎ์ คือ "ต้องเรียนต่อนะ"
สุดท้ายก่อนจากกัน คุณสฤษฎ์ มีคำพูดฝากบอกท่านผู้อ่านว่า คนเราต้อง
คำติ และ คำชม เหมือนกระจกสะท้อนให้เราได้ปรับปรุงตัวเองให้ดียิ่งขึ้นค่ะ
ขออนุญาตนำไปใช้เหมือนคุณอ้อนะคะ(ตามคุณ อ้อ - สุชานาถ มาค่ะ)
โอ้ว ไม่ได้เจอน้องหนุ่ยนานแล้วครับตั้งแต่เรียนโทด้วยกัน ต้องนี้หนุ่ยเป็นอาจารย์ภาษาจีนแล้ว ยินดีด้วยนะ
ขอให้เจริญๆนะครับสาธุ
ตอนนี้เขาอยู่ท่ีไหน
เพื่อนๆ ที่เรียนโรงเรียนสิ่นหมิน ถ้าเป็นศิษย์เก่า ขอมาคุยกันหน่อย คิดถึงเพื่อนเก่า หายจากกันไปนานมาก