วันนี้ไปไม่ทันประธานเปิดแต่ไปถึงก่อนเวลาที่ตัวเองรับผิดชอบ 10 นาที
ไปถึงก็สวนกับประธาน นพ.บุญรักษ์ พึ่งเจษฎา ตรงบันไดขึ้นห้องรับรองของโรงแรม ทักทายกันแล้วต่างคนต่างรีบไปทำหน้าที่ที่รออยู่
น้องแจ๋มกำลังกล่าวนำและพูดคุยเพื่อทำความเข้าใจและชี้แจงวัตถุประสวค์ก่อนเริ่มกิจกรรม
ตามมาด้วยกิจกรรมทักทาย น้องพัชรให้ผู้เข้ารับการอบรมจับมือเป็นวงกลม ร้องเพลง และและจับคู่ ให้ถามชื่อ แต่ผู้เข้ารับการอบรม
ที่มาจากหน่วยงานเดียวกันหันไปจับคู่ถามกันแบบขำๆ น้องพัชรไวมากรีบบอกว่าครั้งต่อไปให้จับกับเพื่อนหน่วยงานอื่นจะได้รู้จักกัน
แล้วเริ่มร้องเพลงให้เดินเป็นวงกลม จับคู่ 3 คน
ฉันใช้เวลาช่วงนี้ปรับบรรยากาศห้องเพื่อให้เหมาะสมกับการจัดกิจกรรม สุนทรียสนทนาโรคเรื้อรัง โดยเลื่อนเก้าอี้ที่ว่างให้ชิดข้างฝาห้อง
เพราะเป็นช่วงที่ผู้เข้ารับการอบรมลุกยืนเป็นวงกลมในกิจกรรมของน้องพัชร (น่าจะให้ชื่อกิจกรรมนี้ว่า ขยับกาย สบายชีวี เพื่อนใหม่ๆ
สดใส ซาบซ่า) บางช่วงผู้เข้ารับการอบรมอยู่นอกเก้าอี้ก็ขอโทษและเชิญให้เข้าสู่วงใน ไม่ถึงเพลงเราก็ช่วยกันจัดห้องใหม่
โดยให้บริเวณกลางห้องมีเนื้อที่ว่างให้ได้จับวงกลมใหญ่และเคลื่อนไหวร่างกายได้คล่องตัว
นำกิจกรรมปมมนุษย์มาใช้ โดยแจ้งกติกา และขอบเขตที่ทำได้ ก่อนฟังภาษากายและดำเนินไปตามลิขิตของกระบวนกร
ไขว้ไปลอดมาจนวงเริ่มพันกันจึงปล่อยให้สมาชิกจับต่อกันเอง เสียงเอะอะ ความวุ่นวายใจเกิดขึ้น บ้างก็ยืนเฉยเมื่อหลุดความวุ่นวาย
บ้างก็บ่น บ้างก็ขำ บ้างก็ร้องตะโกนช่วยเพื่อน บ้างก็สั่งอย่างเดียว บ้างก็เหลียวหน้าไปมาไม่รู้จะไปทางไหนดี ซ้ายก็ดึง ขวาก็ดึง และท้ายที่สุดก็สามารถคลายปมได้ ตลอดระยะเวลาที่กิจกรรมดำเนินไปมีทั้งเสียงสมหวัง แสดงความยินดี เสียงบอกโล่งไปทีแสดงว่าอีกหลายหนึบยังต้องแก้กันต่อไป เสียงร้องที่แสดงว่าเสียดาย ทำไมแก้ไม่ออกในขณะที่สมาชิกหลายคนไม่ได้สนใจเพื่อนที่กำลังใช้ความพยายามแก้ปมไปซ้ายทีขวาที หมุนตัวไขว้แขน สลับยืนนั่ง
สมาชิกคนๆคนช่วยกันให้ข้อคิดหลังกิจกรรมแก้ปมมนุษย์สิ้นสุดลงว่าเขาเห็นอะไร ได้อะไร เขารู้สึกอย่างไร เขาเครียดมากน้อยแค่ไหน เพราะอะไร สะท้อน ถึงวิถีการทำงานในปัจจุบันไม่ต่างกับการทำงานในองค์กรแต่ละคนมุ่งให้งานของตนเองสำเร็จ เสร็จแล้วเตรียมตัวกลับบ้าน ชีวิตที่มีทั้งสุขและปัญหาคละเคล้าไปจนกลายเป็นความเคยชิน ปัญหาไม่ใช่ปัญหา แต่คือปัญหา สุขที่ไม่ใช่สุขแต่คือสุข กลายเป็นความเครียดที่ฟ้องให้รู้โดยกระแทกออกมาทางสีหน้า ใบหน้าที่เคร่งเครียดแม้ยิ้มก็หาสดใสไม่ กล้ามเนื้อจำนวนมากขดเกร็ง มัดกล้ามเนื้อใบหน้าทำงานหนักกว่า 40 มัด มันทำงานหนัก เส้นโลหิต เส้นเอ็น ผังผืดใต้ผิวหนังพากันขยับหนีมัดกล้ามเนื้อที่เกร็งแน่น เครียดโดยไม่รู้ตัว ความจำเจในจหน้าที่การงานทำให้เกิดอาการต่างๆที่เริ่มปรากฏให้รู้สึกแปลกๆขึ้นที่ฐานกาย หากฐานใจยังไม่ทำงาน แต่ฐานความรู้สึกเดินหน้าปะทะแหลก สัมผัสนั้นเร่าร้อน ร้อนรน กระวนกระวายใจ กล้ามเนื้อเปลี้ย อ่อนเพลีย ง่วงนอนง่าย กินเก่ง กินจุุ เริ่มเอาลูกบอลซุกท้องไว้ รวมทั้งโรคที่เรียกว่า ออฟฟิตซิลโดม
การรับประทานอาหารเริ่มไม่เป็นเวลาเมื่อนายสั่ง ผู้ใต้บังคับบัญชาร้อง คนอยู่ตรงกลางโดนทั้งขึ้นทั้งล่อง การออกกำลังใจไม่ต้องพูดถึง ใครจะไปมีเวลาการออกกำลังกายจึงเป็นเรื่องของคนว่างงาน กิจกรรมผ่อนคลาย ร้องรำทำเพลงกลายเป็นเฉพาะของคนเอ้อ ระเหยลอยชาย คนทำงานไม่มีเวลา ครั้นจะร้องเพลงบ้างก็เกรงจะเสียบุคคลิก อยากทำอะไรที่เป็นธรรมชาติของมนุษย์ก็เกร็งไปหมด สังคมบีบให้เป็นไปตามที่สังคมต้องการ ขาดธรรมชาติ ยิ่งสูงยิ่งหนาว ร้าวรานอุรา ครั้นจะก้มหน้าลงก็ถูกดึงด้วยอัตตา ครั้งจะแหงนหน้าขึ้น ข้างบนก็คิดเช่นเดียวกับที่เราคิด ครั้นจะไปทางซ้ายก็อ้างว้างเพราะเขาด้อยคุณวุฒิ ไปทางขวาก็ดีแต่ไปไมได้ เดี๋ยวจะเข้าใจผิดว่าไร้น้ำยา ชีวิตข้าราชการ นั้นมันช่างหาจังหวะอยู้กับตัวเอง ให้เวลากับตัวเองยากมากขึ้นทุกวันๆ ยิ่งเป็นอาชีพครูด้วยแล้ว สายผู้สอนน่าเห็นใจมากที่สุด และต้องสวมหมวกหลายใบยิ่งเป็นครูสายผู้สอนที่โรงเรียนเป็นโรงเรียนขนาดเล็กด้วยแล้วยิ่งหนักหนาสาหัสมากๆเลยเพราะปริมาณนักเรียนน้อย แต่การเตรียมการสอน วัสดุอุปกรณ์นั้นก็ต้องทำเสียเวลาทำเช่นเดียวกับการสอนในโรงเรียนขนาดใหญ่ นักเรียนเยอะเหมือนกัน เพียงแต่ผลิตให้น้อยลง และต้องใช้เวลาทุกขณะจิตที่มี
นี่เป็นเพียงที่คุณลิขิตแต่ละกลุ่มได้แถลงการณ์ความเครียด จนนำไปสู่โรคความดัน และโรคเรื้อรังอื่นๆจะค่อยๆปรากฏกายเผยโฉมออกมาให้ได้สัมผัส มาทีเป็นกองทัพรับไม่ไหว เกิดความท้อแท้เพราะต้องอยู่กับมันจนกว่าจะตายไปข้าง แต่สิ่งที่ผู้เข้ารับการอบรมกลุ่มนี้แสดงให้เห็นคือกายไปใจยังอยู่ 555 เพราะบางคนต้องทิ้งการอบรมหลังเซ็นชื่อแล้วกลับมาเรียนรรู้ในนาทีสุดท้ายด้วยภาระหน้าที่ต้องขอตัวไปประชุม นี่แหละชีวิตของข้าราชการไทยที่ควรได้รับการดูแลเอาใจใส่ ให้บริการทางการแพทย์ทั้งแผนไทยแผนปัจจุบัน เพื่อรักษาคนดีมีฝีมือไว้ทำงานรับใช้ชาติต่อไปนานๆ รวมทั้งประชาชน เพราะถ้าไม่มีประชาชน และความต้องการ บริการทางการแพทย์ไหนเลยจะได้รับการเปลี่ยนแปลง ..
พรุ่งนี้เป็นกลุ่มประชาชนที่ครอบครัวได้รับการคัดกรองจากอสม.ในชุมชนแล้วขั้นตอนหนึ่ง และได้รับการตรวจสุขภาพแล้วบางคนให้ได้รับการฝึกปฏิบัติ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
แล้วจะเอารูปและเรื่องเล่าจากรูปมาฝากให้ชมนะคะ ขอตัวไปนอนก่อน พรุ่งนี้มีอะไรอีกหลายอย่างทีกายนี้พร้อมจะพุ่งไปหาแต่เช้ามืดเสียด้วยซ้ำหากทำได้
ขอบคุณที่แวะมาอ่านนะคะ ดึกมากแล้วขอให้ทุกท่านนอนหลับฝันดี ตื่นขึ้นมาสดชื่นแจ่มใสทุกๆคนค่ะ กิจกรรมที่เหลือขอไปบันทึกในวันพรุ่งนี้
ท้ายบันทึกนี้ขอนำภาพในอดีตเมื่อครั้นเข้าร่วมงานมิตรภาพบำบัด ได้เจอผู้คนมากมาย รวมทั้งอาร์ติสสมัครเล่นแต่ฝีมือขั้นเทพวาดรูปการ์ตูนล้อเลียเจ้าของบันทึกนี้ รวมทั้งจิตอาสาผู้สนใจโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยในงาน มิตรภาพบำบัด หลายปีก่อนค่ะ
ภาพนี้นอกจากจะเป็นนางแบบเองแล้ว ยังทะแล็บแกร็บเก็บภาพเองด้วยค่ะ
สนุกเมื่อได้ทำงาน...ชื่นชมความสำเร็จของงาน...เป็นความสุข และความภูมิใจของคนทำงานนะคะ...
เป็นกำลังใจให้ครับ
สวัสดีค่ะ ครูต้อยติ่ง
- กิจกรรม "สุนทรีย สนทนาโรคเรื้อรัง" น่าสนใจ มากมาก ค่ะ
- ขอให้มีความสุข กับการทำงานนะคะ
ขอบคุณค่ะน้อง อ.นุ ที่คอยเป็นกำลังใจให้พี่ตลอดมา | ||||||||
ขอบคุณค่ะ โอ๋-อโณ พี่สนุกกับงานได้เรียนรู้จิตใจตัวเอง เรียนรู้ที่จะอยู่กับจิตวิญญาณของเพื่อนผู้มีจิตอาสา มันคงเป็นกิเลสตัวหนึ่งที่อยากเรียนรู้ เรียนรู้เพื่อก้าวเดินสู่เส้นทางสงบสุขสบายร่วมกันค่ะ |
||||||||
ชยพร แอคะรัจน์ ขอบคุณค่ะ | ||||||||
ขอบคุณค่ะ ดร. พจนา แย้มนัยนา สนุกกับงานใช่ไหมคะ
ขอบคุณค่ะ ไอดิน-กลิ่นไม้ น้องเอ๋สร้างบุญตั้งแต่เล็กจนโต
ผลบุญหนุนนำให้มีความสุข คุณแม่ของน้องเอ๋ยิ่งมีความสุขยิ่งๆขึ้นนะคะ
ก็เรียนรู้ข้างขอบเวทีต่างๆแล้วไปทดลองทำตาม อาจไม่ได้ถึง100%
และอาจไม่ตรงกับหลักทฤษฎีมากนัก หรือไม่ก็ไม่ถูกต้องตามหลักวิธีการของทฤษฎีนักปฏิบัติ
คงไม่ต่างอะไรกับคนแคะขนมครกขายมือใหม่หัดขับมากนะคะ
หากการเรียนรู้เพื่อชีวิตเรียนรู้เรื่องจิตใจตัวเองก็ไม่ง่ายสำหรับครูต้อยเลยค่ะ
อาศัยมุมคิดมุมมองที่เห็นที่เข้าใจแล้วนำมาปรับให้เหมาะกับบริบทของงานที่ทำ
ขอบคุณกำลังใจที่อบให้ และถ้อยคำร้อยเรียงเป็นกำลังใจนี้สะท้อนให้ได้สติเสมอค่ะ ขอบคุณค่ะ
ขอบคุณค่ะ พ.แจ่มจำรัส งานยามว่างกาย และแก้โรคซึมเศร้าได้มั่งคะ
ได้ใช้ความคิด ฝึกสังเกตความคิดตัวเอง
ซึ่งก็ยังไม่เห็นอะไรมากไปกว่าลมหายใจ
พยายามใช้เวลาที่เหลือของชีวิต ฝึกให้กาย ความคิด
และลมหายใจมีระยะห่างที่เหมาะสมเอื้อคุณซึ่งกันและกันค่ะ