ความมั่นคงระหว่างประเทศ
พระบุญฤทธิ์ ชูเลื่อน ,พระวุฒิพร จันทร์เจริญ ,พระสันติ ณ ระนอง
นายวชิระ นกอักษร , นางสาวสุชาวดี คงจันทร์
บทนำ
ในการดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างประเทศนั้น อำนาจของชาติมีบทบาทและความสำคัญอย่างยิ่ง ทั้งนี้เพราะประเทศที่มีอำนาจมากกว่าย่อมสามารถทำให้ประเทศที่มีอำนาจด้อยกว่ากระทำการต่าง ๆ ในสิ่งซึ่งประเทศด้อยอำนาจไม่ปรารถนาจะกระทำการ ในขณะเดียวกันอำนาจของชาติก็เป็นหลักประกันในเรื่องความมั่นคงและความปลอดภัยของประชากรและชาติของตน[๑] ฉะนั้นข่าวความเคลื่อนไหวของประเทศมหาอำนาจและคำแถลงการณ์ของบุคคลสำคัญของชาติมหาอำนาจ ตลอดจนนโยบายของรัฐบาลของชาติมหาอำนาจ จึงได้รับความสนใจจากบรรดาประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก และเป็นสิ่งที่ผู้นำประเทศจะต้องนำมาใคร่ครวญพิจารณาศึกษาอยู่ตลอกเวลา
ในทางทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศนั้น ได้ให้คำจำกัดความของความหมายของคำว่า “อำนาจของชาติ” ไว้ดังนี้ “อำนาจของชาติได้แก่ความสามารถของชาติหนึ่ง ที่สามารถกระทำให้ชาติอื่นปฏิบัติตามในสิ่งที่ตนปรารถนา”[๒] ในสมัยก่อนนั้นการขยายอำนาจกระทำโดยวิธีการยึดครองอาณานิคมหรือใช้วิธีการขยายอำนาจทางการเมือง หรืออำนาจทางเศรษฐกิจที่เรียกกันว่าจักรวรรดินิยม แต่สำหรับปัจจุบันการขยายอำนาจแบบอาณานิคมเป็นสิ่งล้าสมัย เพราะประชากรของประเทศต่าง ๆ ได้เรียนรู้และมีความสามารถที่จะป้องกันตัวเองได้ ประกอบกับอุดมการณ์ชาตินิยมได้แพร่ขยายไปทั่วโลก นอกจากนั้นการยึดครองแบบอาณานิคมอย่างสมัยก่อนต้องเสียค่าใช้จ่ายสูง ไม่เป็นการคุ้มค่า[๓] ฉะนั้นในการศึกษาเรื่องอำนาจของชาติและความมั่นคงระหว่างประเทศ จึงควรพิจารณาในเรื่องปัจจัยแห่งความมั่นคงระหว่างประเทศ ซึ่งมีปัจจัยที่น่าศึกษาอยู่ ๕ ประการ
๑. ปัจจัยในการกำหนดนโยบายต่างประเทศ
๒. ข้อตกลงสนธิสัญญาระหว่างประเทศ
๓. การทูต
๔. ทางจิตวิทยา : การโฆษณาชวนเชื่อ
๕. ทางการทหารและเศรษฐกิจ
๑. ปัจจัยในการกำหนดนโยบายต่างประเทศ
๑.๑ ความสำคัญของนโยบายต่างประเทศ
การที่นโยบายต่างประเทศมีส่วนเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างรัฐด้วยกัน และระหว่างตัวแสดงต่าง ๆ นั้นอาจก่อให้เกิดสันติภาพและการขัดแย้งได้ ในการดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของรัฐนั้น โดยหลักการ รัฐจะคำนึงถึง “ผลประโยชน์แห่งชาติ” (national interest) ของรัฐตนเป็นหลักการพื้นฐานที่สำคัญ และในทางปฏิบัติ รัฐมักจะดำเนินนโยบายต่างประเทศให้ฝ่ายตนได้เปรียบหรือได้ประโยชน์มากกว่าอีกฝ่ายหนึ่งอยู่เสมอ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วการดำเนินนโยบายต่างประเทศของรัฐจึงมีความสำคัญอย่างน้อย ๒ ประการคือ
๑. การรักษาเอกราชและความมั่นคงของรัฐ
๒. การแสวงหาและคุ้มครองผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของรัฐ
ในด้านการรักษาเอกราชและความมั่นคงของรัฐนั้น การดำเนินนโยบายต่างประเทศของแต่ละรัฐจะมุ่งต่อต้านการขยายตัวของรัฐอื่น ๆ และการเผยแพร่ลัทธิอุดมการณ์ที่รัฐเห็นว่าเป็นภัยต่อเอกราชและความมั่นคงของตน รัฐจะทุ่มเททรัพยากรต่าง ๆ ในการดำเนินนโยบายต่างประเทศภายใต้สมมุติฐานที่ว่า “หากรัฐเกิดความรู้สึกว่าตนเองอยู่ในฐานะไม่มั่นคงปลอดภัย ก็จะมุ่งขยายอำนาจของรัฐ” ตัวอย่างก็คือ สหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียตในปัจจุบันต่างก็มีฐานะเป็นอภิมหาอำนาจในทางการเมืองระหว่างประเทศ ซึ่งในทางปฏิบัติแล้ว ไม่มีรัฐใดหรือผู้ใดที่จะทำลายความมั่นคงของประเทศอภิมหาอำนาจทั้งสองนี้ได้ แต่ทั้งสองประเทศนี้ต่างแข่งขันกันพัฒนาอาวุธใหม่ ๆ ที่ทันสมัยโดยการระดมทรัพยากรต่าง ๆ อย่างมหาศาลเพื่อประกันความมั่นคงของตน ซึ่งเท่ากับเป็นการชี้ให้เห็นว่า ยิ่งรัฐพยายามขยายอำนาจของตนมากขึ้นเพียงใด ผู้นำ ชนชั้นผู้นำ และประชาชนก็จะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับความมั่นคงของประเทศ และกิจการระหว่างประเทศในด้านต่าง ๆ เพิ่มมากยิ่งขึ้นเท่านั้น ในขณะเดียวกันมหาอำนาจในระดับรอง ๆ เช่น สาธารณรัฐประชาชนจีน อังกฤษ และฝรั่งเศส เป็นต้น แม้ว่าจะไม่ต้องการเป็นผู้นำโลกดังเช่น สหรัฐอเมริกาหรือสหภาพโซเวียต ก็ยังคงดำเนินนโยบายต่างประเทศผูกมิตรกับรัฐต่าง ๆ ด้วยวัตถุประสงค์ เพื่อความมั่นคงของประเทศเช่นกัน
ปรากฏการณ์ในเวทีการเมืองระหว่างประเทศในปัจจุบันได้แสดงให้เห็นถึงการที่รัฐ โดยเฉพาะอภิมหาอำนาจและมหาอำนาจดำเนินนโยบายต่างประเทศ เพื่อการสร้างความมั่นคงของตนอยู่ไม่น้อยทีเดียว เช่น กลุ่มนาโต้ กลุ่มกติกาสัญญาวอร์ซอ หรือการที่สหรัฐอเมริกาต้องส่งทหารของตนเป็นจำนวนนับล้านคน ออกปฏิบัติการนอกประเทศเพื่อการขยายเขตอิทธิพลเพื่อความมั่นคงของตนในภาคพื้นทวีปต่าง ๆ เป็นต้น
ในด้านการแสวงหาและคุ้มครองผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของรัฐ ในการดำเนินนโยบายต่างประเทศของรัฐนอกจากจะให้ความสำคัญต่อความมั่นคงของรัฐแล้ว รัฐยังต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจเพื่อเป็นการสนับสนุนความมั่นคงของรัฐอีกด้วย ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจจึงเป็นผลประโยชน์ที่มีความสำคัญควบคู่ไปกับผลประโยชน์ทางด้านการเมือง ในทางปฏิบัติ สงครามและการต่อสู้ทางเศรษฐกิจระหว่างชาติมหาอำนาจจะปรากฏให้เห็นในรูปของการค้าขายและการให้ความช่วยทางเศรษฐกิจ การให้ความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจนั้น ในแง่หนึ่งก็เพื่อสนับสนุนการแผ่ขยายลัทธิอุดมการณ์และการเผยแพร่ทางวัฒนธรรมโดยวัตถุประสงค์เพื่อการเพิ่มอิทธิพลของตนในประเทศอื่น ๆ กล่าวคือ ในรูปการค้ากับต่างประเทศนั้น รัฐจะใช้การค้าเพื่อการเสริมสร้างฐานะทางเศรษฐกิจและการทำให้รัฐอื่น ๆ ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลทางการค้าของตน ซึ่งเท่ากับเป็นการแสวงหาผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของรัฐ เช่น สหรัฐอเมริกาจะดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจโดยสนับสนุนให้เอกชนของตนเข้าไปลงทุนกิจการอุตสาหกรรมในประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งมีความสำคัญต่อยุทธศาสตร์ทางการเมืองของสหรัฐอเมริกา เช่น ลงทุนด้านกิจการน้ำมันในเวเนซุเอลา ลิเบีย และซาอุดิอาระเบีย ลงทุนด้านกิจการเหมืองแร่ เกษตรกรรม และโทรศัพท์ในประเทศลาตินอเมริกา รวมทั้งการเป็นประเทศคู่ค้าที่ได้เปรียบต่อประเทศในแถบลาตินอเมริกา เป็นต้น นอกจากนี้ ประเทศที่เป็นฝ่ายได้เปรียบมักจะใช้วิธีการต่าง ๆ เพื่อสร้างผลประโยชน์ในทางเศรษฐกิจและในทางการเมือง ได้แก่ การยกเว้นอัตราภาษีขาเข้า การตั้งกำแพงภาษี หรือการจำกัดประเภทสินค้าขาเข้าอีกด้วย เป็นต้น การค้าจึงเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งของนโยบายต่างประเทศ
ดังนั้นจะเห็นได้ว่า การดำเนินนโยบายต่างประเทศนั้นมีความสำคัญมากยิ่งขึ้น โดยรัฐจะต้องคำนึงถึงวัตถุประสงค์ทางเศรษฐกิจและการเผยแพร่วัฒนธรรม ข่าวสารต่อรัฐอื่น ๆ ด้วย จึงกล่าวได้ว่า ความสำคัญของนโยบายต่างประเทศนั้นนับวันจะเพิ่มขึ้นทุกขณะ ทั้งในด้านการรักษาเอกราชและความมั่นคงของรัฐ และในด้านการแสวงหาและคุ้มครองผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ รวมทั้งผลประโยชน์อื่น ๆ ควบคู่กันไปด้วย[๔]
๑.๒ ปัจจัยในการกำหนดนโยบายต่างประเทศ
ในการกำหนดนโยบายต่างประเทศของรัฐต่าง ๆ นั้น ในทางปฏิบัติผู้กำหนดหรือตัดสินนโยบายต่างประเทศจะต้องพิจารณาและคำนึงถึงปัจจัยหรือองค์ประกอบต่าง ๆ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับเป้าหมาย กระบวนการกำหนดนโยบาย และการนำนโยบายไปปฏิบัติ ปัจจัยหรือองค์ประกอบที่สำคัญ ๆ มีหลายประการ โดยที่นักวิชาการแต่ละคนต่างก็มีทรรศนะแตกต่างไปในที่นี้ขอยกทรรศของ เจมส์ โรสเนา (James N. Rosenau) ที่สรุปปัจจัยต่าง ๆ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการกำหนดนโยบายต่างประเทศไว้ดังนี้ คือ
๑. ปัจจัยที่เกี่ยวกับลักษณะของผู้กำหนดนโยบาย
๒. ปัจจัยที่เกี่ยวกับบทบาทของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการกำหนดนโยบาย
๓. ปัจจัยที่เกี่ยวกับระบบราชการ
๔. ปัจจัยที่เกี่ยวกับรัฐ
๕. ปัจจัยที่เกี่ยวกับระบบการเมืองระหว่างประเทศ
๑) ปัจจัยที่เกี่ยวกับลักษณะของผู้กำหนดนโยบาย ปัจจัยข้อนี้เกี่ยวกับการรับรู้ ภาพพจน์และบุคลิกลักษณะส่วนตัวของผู้กำหนดนโยบาย เช่น ผู้นำที่มีลักษณะอารมณ์ร้อนวู่วามย่อมมีการตัดสินใจแตกต่างจากผู้นำที่มีความสุขุมรอบคอบเยือกเย็น เป็นต้น
๒) ปัจจัยที่เกี่ยวกับบทบาทของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการกำหนดนโยบาย โดยทั่วไปไม่ว่าผู้ใดก็ตามที่จะเข้ามามีส่วนในการกำหนดนโยบายต่างประเทศนั้น ต่างก็มีบทบาทที่ตนจะต้องยึดถือแสดงอยู่แล้วทั้งในแง่ที่ถูกกำหนดไว้อย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการ อย่างเป็นทางการ เช่น อาจต้องดำเนินบทบาทของตนในฐานะที่เป็นประมุขของรัฐอย่างที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ เป็นต้น ส่วนบทบาทที่ไม่เป็นทางการ เช่น เป็นความคาดหวังของคนอื่น ๆ เป็นต้น
๓) ปัจจัยที่เกี่ยวกับระบบราชการ ปัจจัยข้อนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับโครงสร้างและกระบวนการของรัฐบาลและผลของโครงสร้างและกระบวนการที่มีต่อการกำหนดนโยบายต่างประเทศ
๔) ปัจจัยอันเกี่ยวกับชาติ ปัจจัยข้อนี้ส่วนใหญ่เกี่ยวพันกับปัจจัยที่กำหนดอำนาจของรัฐ เช่น ปัจจัยทางภูมิศาสตร์และทรัพยากรธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นที่ตั้งทางด้านภูมิศาสตร์ ขนาด ดินฟ้าอากาศ ทรัพยากรธรรมชาติที่แต่ละชาติมีอยู่ล้วนแล้วแต่มีผลต่อการกำหนดนโยบายต่างประเทศของตน เช่น รัฐที่มีอาณาเขตติดกับมหาสมุทรสองด้าน อย่างเช่น สหรัฐอเมริกาย่อมได้เปรียบกว่าโปแลนด์ที่มีที่ตั้งอยู่ระหว่างประเทศมหาอำนาจในยุโรปในการกำหนดนโยบายต่างประเทศ
๕) ปัจจัยอันเกิดจากระบบ คำว่า ระบบนี้หมายถึง ระบบระหว่างประเทศ เช่น ระบบดุลแห่งอำนาจ ระบบขั้วอำนาจ หรือระบบหลายขั้วอำนาจ เป็นต้น ระบบเหล่านี้ย่อมมีอิทธิพลต่อการกำหนดนโยบายของรัฐ เช่น กรณีไทยในระหว่างสงครามเย็น ไทยดำเนินนโยบายที่ผูกพันกับสหรัฐอเมริกามาก ครั้นระบบระหว่างประเทศเปลี่ยนแปลงไปเป็นระบบหลายขั้วอำนาจ สภาพสงครามเย็นกลายไปเป็นการผ่อนคลายความตึงเครียด ไทยก็หันไปใช้นโยบายผูกมิตรกับจีนเพื่อรักษาผลประโยชน์ของตน เป็นต้น[๕]
๑.๓ เป้าหมายของนโยบายต่างประเทศ
ได้กล่าวมาแล้วว่า การกำหนดและดำเนินนโยบายต่างประเทศนั้น โดยหลักการพื้นฐานก็เพื่อรักษาไว้ซึ่ง “ผลประโยชน์ของชาติ” ซึ่งเป็นเป้าหมายที่สำคัญของรัฐ อย่างไรก็ตามในทางปฏิบัติ นโยบายต่างประเทศของรัฐต่าง ๆ นั้นมีเป้าหมายดังนี้
๑. เป้าหมายเพื่อการรักษาสันติภาพ (Peace)
๒. เป้าหมายเพื่อการสร้างความมั่นคง (Security)
๓. เป้าหมายเพื่อการรักษาอำนาจ (Power)
๔. เป้าหมายเพื่อการรักษาความอุดมสมบูรณ์และการพัฒนาเศรษฐกิจ (Prosperity and economic development)
๑) เป้าหมายเพื่อการรักษาสันติภาพ ในปัจจุบันสถานการณ์ทางการเมืองระหว่างประเทศที่เป็นอยู่ได้แสดงให้เห็นว่า การเมืองระหว่างประเทศมีความเป็นไปได้ทุกขณะที่จะใช้ความรุนแรง (Violence) อันได้แก่ การใช้กำลังอาวุธและกำลังทหารเป็นเครื่องมือในการระงับความขัดแย้งต่าง ๆ ดังจะเห็นได้จากวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นในภูมิภาคต่าง ๆ เช่น สงครามอิรัก-อิหร่าน ความขัดแย้งบริเวณชายแดนระหว่างสาธารณรัฐประชาชนจีนกับเวียดนาม รวมทั้งปัญหาชายแดนระหว่างสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวกับประเทศไทย เป็นต้น เมื่อสภาพการณ์เป็นเช่นนี้ รัฐต่าง ๆ จึงพยายามดำเนินนโยบายต่างประเทศโดยกำหนดเป้าหมายเพื่อการรักษาสันติภาพ ดังจะเห็นได้จากการตกลงจำกัดอาวุธและลดอาวุธ ตามกฎบัตรสหประชาชน หรือมีการตกลงกันจำกัดการสร้างอาวุธนิวเคลียร์ระหว่างสหภาพโซเวียตกับสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นอภิมหาอำนาจที่สำคัญ ตั้งแต่ปี ค.ศ.๑๙๗๒ เป็นต้น รวมทั้งนโยบายการผ่อนคลายความตึงเครียดระหว่างอภิมหาอำนาจทั้งสอง อย่างไรก็ตาม การเจรจากันระหว่างอภิมหาอำนาจทั้งสองเพื่อจำกัดการสร้างอาวุธที่ร้ายแรงนั้นประสบผลสำเร็จบางอย่างเท่านั้น
๒) เป้าหมายเพื่อการสร้างความมั่นคง นโยบายต่างประเทศของรัฐโดยทั่วไปจะคำนึงถึงความมั่นคงเป็นหลักสำคัญ จะเห็นได้ว่านโยบายการแผ่อิทธิพลและอำนาจของสหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียตในภูมิภาคต่าง ๆ ของโลกนั้นก็เพื่อสร้างความมั่นคงในดุลยภาพของอำนาจระหว่างอภิมหาอำนาจทั้งสอง หรือไทยต้องดำเนินนโยบายต่างประเทศแบบผูกมิตรกับจีน สหรัฐอเมริกา และประเทศในสมาคมอาเซียน ก็เพื่อสร้างความมั่นคงปลอดภัยในกรณีที่เกิดความขัดแย้งอย่างรุนแรงกับเวียดนาม กัมพูชา (เฮงสัมริน) และลาวที่มีสหภาพโซเวียตหนุนหลัง เป้าหมายของนโยบายต่างประเทศในแง่ของการสร้างความมั่นคงนี้ ในทางปฏิบัติดูเหมือนจะมีความสำคัญมากกว่าเป้าหมายเพื่อสันติภาพเสียอีก
๓) เป้าหมายในการรักษาอำนาจ การรักษาสถานภาพแห่งอำนาจเป็นเป้าหมายสำคัญประการหนึ่งของนโยบายต่างประเทศ ในทางปฏิบัติ รัฐต่าง ๆ จะรักษาอำนาจและฐานะของตนในเวทีการเมืองระหว่างประเทศมิให้ตกต่ำลง ดังจะเห็นได้ว่า สหรัฐอเมริกาและสหภาพโวเวียตต่างก็พยายามรักษาอิทธิพลของตนในภูมิภาคต่าง ๆ รวมทั้งแข่งขันกันมีอิทธิพลในประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลาย นโยบายต่างประเทศของสหรัฐอเมริกาในสมัยประธานาธิบดีเรแกนได้หันมาสร้างระบบแกนพันธมิตร ๓ ฝ่าย อันประกอบด้วย สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และยุโรปตะวันตก (กลุ่มสนธิสัญญานาโต้) เพื่อประสานระบบความมั่นคงและรักษาอำนาจของสหรัฐอเมริกา ในส่วนที่เกี่ยวกับประเทศกำลังพัฒนานั้น สหรัฐอเมริกาจะเข้ามามีบทบาทในการพัฒนาเศรษฐกิจตามแนวทางของสหรัฐอเมริกาโดยการลงทุน การให้ความช่วยเหลือในรูปการให้กู้ยืมและการให้เปล่าตลอดจนการให้การสนับสนุนการรวมตัวกัน เช่น สมาคมอาเซียน และตลาดร่วมยุโรป เป็นต้น ส่วนสหภาพโซเวียตนั้นก็จะมุ่งสร้างดุลยภาพทางทหารและทางอาวุธให้ทัดเทียมกับสหรัฐอเมริกา รวมทั้งมีบทบาทสนับสนุนสงครามปลดแอกในประเทศกำลังพัฒนามากยิ่งขึ้น
๔) เป้าหมายเพื่อการรักษาความอุดมสมบูรณ์และการพัฒนาเศรษฐกิจ ในภาวะปัจจุบัน ปัญหาความแตกต่างระหว่างประเทศที่พัฒนาแล้วกับประเทศที่ด้อยพัฒนาปรากฏให้เห็นได้อย่างชัดเจน ในรูปของปัญหาความยากจนและความอดยากในประเทศด้อยพัฒนาทั้งหลาย ลักษณะเช่นนี้ได้ก่อความตึงเครียดในเวทีการเมืองระหว่างประเทศ โดยชาติมหาอำนาจต่างก็แข่งขันเพื่อมีอิทธิพลในการให้ความช่วยเหลือเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศยากจนเหล่านี้ ในทางปฏิบัติ บทบาทของอภิมหาอำนาจนี้ก็คือ การแข่งขันกันสร้างเขตอิทธิพลของตนในประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลาย ประเทศกำลังพัฒนาจึงได้ถูกแบ่งออกเป็นค่ายสังคมนิยมและค่ายเสรีนิยม ซึ่งอันที่จริงแล้วประเทศกำลังพัฒนาที่อยู่ในค่ายเหล่านี้ ก็คือ ตลาดวัตถุดิบ ตลาดแรงงาน และตลาดสินค้าของประเทศอภิมหาอำนาจนั่นเอง ทำให้ประเทศกำลังพัฒนาเหล่านี้ต้องพึ่งพิงกับประเทศมหาอำนาจตลอดไป นอกจานั้นประเทศมหาอำนาจต่าง ๆ ก็สามารถใช้แนวทางเศรษฐกิจต่าง ๆ เพื่อการรักษาความอุดมสมบูรณ์และการพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อผลทางเศรษฐกิจของตนอีกด้วย เช่น การใช้นโยบายทุ่มสินค้า นโยบายปิดล้อม เป็นต้น
กล่าวโดยสรุป นโยบายต่างประเทศของรัฐย่อมมีเป้าหมายอย่างน้อย ๔ ประการดังที่กล่าวมาแล้ว อย่างไรก็ดี เป้าหมายเพื่อการรักษาสันติภาพกลับเป็นเป้าหมายที่ถูกกำจัดในตัวเอง กล่าวคือ เป้าหมายเพ่อการรักษาความมั่นคงและอำนาจของรัฐได้ทำให้การแสวงสันติภาพและความเป็นกลางทางการเมืองถูกบดบังลง ในขณะเดียวกัน เป้าเพื่อการสร้างความอุดมสมบูรณ์และการพัฒนาเศรษฐกิจ ซึ่งในทางปฏิบัติเกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือทางทหารนั้นได้กลับกลายเป็นแนวทางของการแสวงหาประโยชน์ของประเทศผู้ให้มากกว่าที่จะเป็นการช่วยเหลือประเทศด้อยพัฒนาหรือประเทศพัฒนาเพื่อบรรลุเป้าหมายในการพัฒนาเศรษฐกิจดังกล่าว[๖]
๒. ข้อตกลงสนธิสัญญาระหว่างประเทศ
คำนิยามของคำว่าข้อตกลงระหว่างประเทศกับสนธิสัญญาทั้งสองคำนี้มีความหมายคล้ายคลึงกัน แต่ในขณะเดียวกันก็มีข้อแตกต่างกันอยู่ ในประเด็นข้อกฎหมายต่างๆ ดังจะกล่าวต่อไปนี้
คำนิยามข้อตกลงระหว่างประเทศ
บ่อเกิดของกฎหมายระหว่างประเทศที่เกิดจากข้อตกลง ก็คือบ่อเกิดที่เกิดจาก ข้อตกลงระหว่างประเทศ ซึ่งหมายถึง การกระทำทางกฎหมายหลายฝ่ายที่ตกลงทำกันขึ้นระหว่างบุคคลในกฎหมายระหว่างประเทศและอยู่ภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ
ผลในทางกฎหมายที่สำคัญจากคำนิยามนี้มีอยู่ ๕ ประการคือ
ประการแรก ข้อตกลงระหว่างเป็นการกระทำทางกฎหมายหลายฝ่าย อันหมายถึง การกระทำที่ทำขึ้นหลายฝ่ายเพื่อก่อให้เกิดผลในทางกฎหมายระหว่างประเทศ กล่าวคือ เป็นการกระทำตั้งแต่สองฝ่ายขึ้นไปเพื่อก่อให้เกิดความผูกพันตามข้อตกลงระหว่างรัฐ หรือองค์การระหว่างประเทศ หรือระหว่างรัฐและองค์ระหว่างประเทศ
ประการที่สอง ข้อตกลงระหว่างประเทศเป็นข้อตกลงที่ปราศจากแบบ กล่าวคือ ข้อตกลงระหว่างประเทศอาจเป็นได้ทั้งข้อตกลงที่เป็นลายลักษณ์อักษรหรือข้อตกลงด้วยวาจาก็ได้หรืออาจเป็นได้ทั้งข้อตกลงที่ต้องผ่านแบบพิธีหรือข้อตกลงแบบย่อ อาจเป็นได้ทั้งข้อตกลงที่เป็นเอกสารฉบับเดียวหรือเอกสารหลายฉบับ หรืออาจมีมูลฐานมาจากความยินยอมโดยปริยายจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทั้งสองฝ่ายก็ได้
โดยเหตูนี้เราจึงมักเรียกชื่อ ข้อตกลงลายลักษณ์อักษรในรูปแบบต่างๆดังกล่าวข้างต้นได้หลายชื่อ เช่นสนธิสัญญา ( Treaties ) อนุสัญญา ( Convention ) กติกา ( Pact ) กฎบัตร (Charte ) ธรรมนูญ ( Statut ) ปฏิญญา ( Declartion )
ประการที่สาม ข้อตกลงระหว่างประเทศเป็นข้อตกลงระหว่างบุคคลในกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งโดยปกติย่อมได้แก่ ข้อตกลงที่ทำขึ้นระหว่างรัฐกับรัฐ แต่โดยที่สังคมระหว่างประเทศมีการพัฒนาการเจริญก้าวหน้าและมีความสัมพันธ์กันมากขึ้น ไม่เพียงแต่ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับรัฐเท่านั้น แต่ยังได้ขยายไปถึงความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับองค์การระหว่างประเทศ รัฐกับบุคคลธรรมดาหรือปัจเจกชน อีกด้วย รวมทั้งความสัมพันธ์ระหว่างองค์การระหว่างประเทศกับรัฐและกับปัจเจกชน หรือระหว่างองค์การระหว่างประเทศด้วยกันเอง จนในบางครั้งก็ก่อปัญหาทางกฎหมายขึ้นได้ว่าข้อตกลงที่ทำขึ้นนั้นเป็นสนธิสัญญาหรือไม่ เป็นข้อตกลงระหว่างประเทศหรือไม่และจะอยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายใด กล่าวคืออยู่ภายใต้บังคับกฎหมายภายในของรัฐหรืออยู่ภายใต้บังคับกฎหมายระหว่างประเทศ ในเรื่องนี้แต่เดิมคำพิพากษา เช่น ศาลประจำยุติธรรมระหว่างประเทศ ได้ตัดสินวางหลักไว้ในคดีเงินกู้เซอร์เบียน ค.ศ. ๑๙๒๙ ว่าสัญญาทุกสัญญาที่มิใช่สัญญาระหว่างรัฐย่อมตกอยู่ภายใต้กฎหมายภายในของรัฐ
นอกจากนั้น รัฐที่เอกชนถือสัญชาติอยู่ก็อาจเข้ามาให้ค
ไม่มีความเห็น