๒๐/๐๙/๒๕๕๖
**********
ลืมกำเมือง ๒
ลืมอู้เมืองกั๋นเล่ากา? ตั้งคำถามนำไว้ก่อน
จากที่บันทึกก่อนหน้านี้ เปิดเพลงลืมกำเมือง พร้อมกับขยายประเด็นของเนื้อเพลงไว้บ้างแล้ว บันทึกนี้ขอร่ายยาวต่อเลยก็แล้วกัน
“ก๋ารอู้เมือง” เท่าที่ผมสังเกตถึงการเปลี่ยนแปลงในหมู่บ้าน แบ่งเป็นกลุ่มหลัก ๆ ได้ดังนี้
๑. กลุ่มพ่อบ้านแม่บ้านที่ได้พาครอบครัวไปประกอบธุรกิจการปะยาง เปลี่ยนยาง ยังต่างจังหวัด
๒. กลุ่มพ่อบ้านหรือแม่บ้านที่ไปมีครอบครัวอยู่ต่างจังหวัด
๓. กลุ่มของเยาวชนวัยรุ่น ที่เรียนจบแล้วแยกย้ายกันไปทำงานยังต่างจังหวัดหรือกรุงเทพฯ
๔. กลุ่มนักเรียน นักศึกษา ที่อยู่ในหมู่บ้าน โดยแยกออกเป็น ๒ ประเภทคือ
๓.๑ กลุ่มนักเรียนที่เติบโตในหมู่บ้าน และ
๓.๒ กลุ่มนักเรียนที่เกิดหรือเติบโตจากต่างหมู่บ้าน แล้วเข้ามาอยู่ในหมู่บ้าน
บันทึกนี้ไม่ได้มุ่งเน้นให้เป็นเรื่องเครียดหรือเชิงวิชาการอะไรมากมายนัก เพียงแต่เขียนจากสิ่งที่ตนเองได้พบเห็นและสัมผัสได้ในชีวิตประจำวันเท่านั้น...
๑. กลุ่มพ่อบ้าน แม่บ้านที่ได้พาครอบครับไปประกอบอาชีพร้านยางอยู่ต่างจังหวัด
เป็นคนในหมู่บ้าน แต่เวลาที่ลูกคลอดออกมาและเติบโตขึ้นมาในต่างจังหวัดที่ตนเองพักอาศัยอยู่ ก็ให้คิดว่า(คิดแทนเขา) กลัวลูกเราจะอายเพื่อนๆ กลัวมีปมด้อยว่า ตนเองไม่ได้พูดภาษาไทย(ท้องถิ่นนั้น) เช่น อยู่สุพรรณลูกที่เกิดมาก็ต้องพูดภาษาสุพรรณเป็นภาษาแรก(ภาษาแม่) พ่อแม่ก็พาลูกพูดเป็นภาษากลาง ในขณะที่ตนเองหรือภรรยานั้น มีรกรากวัฒนธรรมจาก “คนเมือง” แต่ลืมที่จะพูดและสอนให้ลูกที่เกิดมาภายหลังได้พูดเมือง ทั้งกลัวว่าคนอื่น(ลูกค้า)จะฟังตนไม่รู้เรื่อง ทั้งกลัวว่าคนในชุมชนที่อยู่นั้นจะฟังตนไม่รู้เรื่อง ทั้งกลัวว่าถ้าพูดไปก็จะอายเขา ก็เลยถือโอกาสนี้พูดภาษากลาง และสอนลูกๆ ให้ได้พูดภาษากลาง และภาษาท้องถิ่นที่ครอบครัวตนเองตั้งหลักปักฐานอยู่
ทำให้ลูกที่เกิดมาภายหลังเสียโอกาสที่จะได้พูดภาษาพ่อภาษาแม่ไปอย่างน่าเสียดาย พอญาติตนเองทางบ้านเกิด(บ้านแพะ)เสียชีวิตหรือป่วยหนักรอการมาดูใจระยะสุดท้าย หอบลูกหอบหลานมาบ้านเกิด พ่อแม่พูดกับญาติเป็นภาษาเมือง หันไปคุยกับลูกเป็นภาษากลาง ลูกก็มองหน้าพ่อแม่กับตายายแบบตั้งคำถามว่า “คุยอะไรกัน?” ผู้เขียนในฐานะคนกลางก็ให้รู้สึกกระอักกระอ่วนใจยังไงบอกไม่ถูก
๒. กลุ่มพ่อบ้านหรือแม่บ้านที่ไปมีครอบครัวอยู่ต่างจังหวัด
ชายหรือหญิงที่ไปมีสามีหรือภรรยาอยู่ต่างจังหวัด ทั้งภาคกลางและภาคอีสาน เมื่อตนเองแต่งงานกันแล้ว พ่อบ้านและแม่บ้านจะต้องพูดคุยกันเป็นภาษากลาง เมื่อทำงานอยู่ต่างจังหวัด ภายหลังมีลูกออกมา ความเป็นไปได้ที่ลูกจะต้องพูดภาษากลางมีอยู่เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์
ภาษาของพ่อและภาษาของแม่ถ้าหากท่านใดใจกว้างไม่ลืมถิ่นของตนเอง หรือคิดในมุมกลับกันว่า “ลูกของเราต้องได้อีกสองภาษา” ก็จะเป็นโอกาสที่ดีสำหรับเด็กเป็นอย่างมาก เช่น พ่อคนเมือง ไปได้กับแม่ที่เป็นคนอีสาน หรือแม่คนเมือง ไปได้กับพ่อที่เป็นอีสาน พบรักกันที่กรุงเทพและแต่งงานกันที่กรุงเทพ นอกจากว่าลูกจะพูดภาษากลางตามคนกรุงแล้ว ยังมีโอกาสที่จะได้พูดภาษาพ่อและภาษาแม่เพิ่มมาอีก หากมองมุมกลับ เกิดพ่อกับแม่กลัวว่าลูกจะมีปมด้อยหรือกลัวจะอายเพื่อนในกรุงเทพ สอนให้พูดกลางอย่างเดียว ลูกก็เสียโอกาสที่จะได้สองภาษาไปอย่างน่าเสียดายอีกเช่นกัน เพราะฉะนั้นแล้ว พ่อแม่คือตัวแปรสำคัญสำหรับการพูดได้หลาย ๆ ภาษาของลูก
๓. กลุ่มของเยาวชนวัยรุ่น ที่เรียนจบแล้วแยกย้ายกันไปทำงานยังต่างจังหวัดหรือกรุงเทพฯ
ในกลุ่มนี้คือกลุ่มเยาวชนที่เรียนจบมัธยมปลายและปริญญากันไปแล้ว หรือคนวัยเริ่มทำงาน สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ การพูด “เมืองคำ ไทยคำ” แบบที่คนไทยส่วนใหญ่ ชอบพูด “ไทยคำ อังกฤษคำ” นั่นแหละ เป็นการพูดผสมกันแบบกลมกลืนโดยไม่รู้ว่า ที่ถูกต้องของภาษาเมืองนั้นคือ คำไหนแน่ ผู้ที่จะรู้และเข้าใจได้ดี ก็คือ ตัวของผู้พูดเอง และผู้ที่ฟังอยู่ใกล้ ๆ ซึ่งเป็นคนเมืองแท้ที่เข้าใจภาษาได้เป็นอย่างดีและได้รับการศึกษาและผ่านโลกมามากพอสมควรการพูดในลักษณะนี้เป็นการพูดแบบ “ดัดจริต” เสแสร้งแกล้งทำ ส่วนใหญ่ที่พูดคือการพูดกันในกลุ่มเพื่อนคนบ้านเดียวกัน เวลาที่กลับมาที่บ้านเกิดของตนเอง พร้อมกับการนำค่านิยม และวัฒนธรรมใหม่(ที่ไม่ดี)มาด้วยคือ การชวนกันไปสังสรรค์กินเลี้ยง กินเหล้าแดงน้ำแข็งกลวงกันทั้งชายและหญิง ส่วนใหญ่ที่สังเกตเห็นคือ กลุ่มผู้หญิงนอกจากการพูดคุยแล้วการแต่งตัวยังล่อแหลม ออกไปทางยั่วยวนอีกด้วย
๔. กลุ่มนักเรียน นักศึกษา ที่อยู่ในหมู่บ้าน ในกลุ่มนี้ก็ขอกล่าวรวมไปเลยก็แล้วกัน
นักเรียนตัวเล็ก ๆ ที่พบเห็นในปัจจุบันหลายคนพูดไทยผสมเมือง บางคนพูดภาษากลางได้ และไม่สามารถ “อู้เมือง” ได้เลย แม้จะคุยกับเพื่อนก็ตาม นั่นเพราะพื้นฐานมาจาก
๔.๑ การศึกษาในสถานศึกษาที่บ่มเพาะนักเรียนทุก ๆ วันทั้งจากการอ่าน การพูด การเขียน การฟังครูพูดและบรรยาย และที่สำคัญจากสื่อทีวี โทรศัพท์ และคอมพิวเตอร์ ฯลฯ เป็นการพูดตามธรรมชาติที่หลงไปว่านั่นคือ “กำเมือง” แต่ความจริงหาใช่ไม่ เด็กกลุ่มนี้ขาดการแนะนำจากปู่ย่า ตายาย และพ่อแม่อย่างถูกต้องว่า “ที่ลูกพูดอยู่นั้นมันไม่ถูกต้องนะลูก...นะหลาน” ทำให้เด็กซึมซับกับการใช้ภาษาผิดกันไปอย่างไม่รู้ตัวตลอดมา
๔.๒ พ่อกับแม่ที่ได้กันอยู่ต่างจังหวัด เป็นไปได้ทั้งกรณีแรก และกรณีหลัง พอลูกโตได้นิดหน่อยก็ส่งมาให้ตายายที่อยู่ต่างจังหวัดเลี้ยงดู โดยส่งเสียค่าเล่าเรียนมาให้ที่บ้านเกิด พอมาอยู่บ้านเกิดใหม่ ๆ ก็ไม่กล้าที่จะพูดตามตาและยาย เพราะภาษาแรกได้ฝังไปในความรู้สึกและคุ้นเคยเสียแล้ว อยู่ต่อมานานเข้าก็เริ่มจะกล้าพูดขึ้นมาได้บ้าง แต่การพูดนั้นเป็นการพูดแบบผสมกลมกลืนคำศัพท์ภาษากลางไปเสียแล้ว โดยไม่สามารถแยกออกได้อย่างชัดเจนว่า คำไหนไทยกลาง คำไหนไทยเหนือ ผู้ฟังพอได้ยินเด็กพูดกันก็ให้รู้สึกขัดหู ขัดอารมณ์ความรู้สึกของตนเองเป็นยิ่งนัก
ควรให้มีการสะท้อนความเป็นจริงกันบ้างก็จะดีไม่น้อย...ลืมกำเมือง ๓.
.... ส่งเสริม การรักษ์ "คำเมือง" .... ไม่ลืมรากเหง้า ของเรา ค่ะ ...... ขอบคุณนะคะ
-สวัสดีครับปี้หนาน..
-อะไร.ทำไม..
-เปิ้นชอบอู้กำไทยป๋นเมืองกั๋นครับ
-ถ้ามีลูกจะสอนฮื้ออู้กำเมือง
-น่าฮักดีครับ
อ.นุ |
จัตุเศรษฐธรรม |
เพชรน้ำหนึ่ง |
ชยพร แอคะรัจน์ |
Dr. Ple |
บุษยมาศ |
ดร. พจนา แย้มนัยนา |
ขอบคุณมาลัยน้ำใจจากทุกท่านมากครับ |
เวลาไปเยี่ยมน้าสาวที่เชียงใหม่ ที่บ้านน้าก็ใช้”กำเมือง”กับลูกชายวัยรุ่นอยู่ตลอดคะ รู้สึกได้ถึงความสละสลวยของภาษา ปัญหาเรื่องภาษาท้องถิ่นกำลังจะหายไปนี่น่าจะจริงนะคะ. ลูกอาจารย์ที่เป็นคนใต้แท้ๆ ทั้งพ่อและแม่. ลูกก็พูดใต้ไม่ได้เหมือนกันคะ พ่อแม่กลัวว่าลูกไปเรียนที่อื่นแล้ว -ทองแดงหล่น -
สวัสดีครับอาจารย์นีโอ..เบเกอรี่ ขอบคุณที่เข้ามาอ่านให้กำลังใจร่วมแสดงความคิดเห็นเป็นอย่างมากนะครับ ต่อไปวัฒนธรรมทางด้านภาษาจะค่อยๆ หายไปในทุกที่นะครับ เพราะเราคิดดูถูกตัวเอง ดูถูกภาษาที่ใช้ว่าไม่ทันสมัย ความจริงคือเสน่ห์ต่างหาก อยากรู้ที่มาของคำว่า "ทองแดง" จังเลยครับ
พี่หนานคะ ต้องรบกวนคนใต้แท้ ๆ มาช่วยแล้วคะ เพราะข้าเจ้าความรู้น้อย อิอิ...
เจอ บันทึก แหลงใต้วันละคำ(24) แหลงทองแดง ..ของคุณเม้ง สมพร ช่วยอารีย์
เข้าใจง่าย..http://www.gotoknow.org/posts/96150
ขอบคุณอาจารย์นีโอ..เบเกอรี มากครับ เดี๋ยวจะลองตามไปอ่านครับ