จากการสำรวจสถานการณ์ในพื้นที่สึนามิ พบว่า บุคคลที่มีปัญหาสถานะบุคคลที่เป็นคนสัญชาติไทย มักใช้ชีวิตตามปกติอยู่ในชุมชนเช่นคนไทยทั่วๆ ไป หลายกรณีไม่ค่อยเดือดร้อนเรื่องเอกสารหรือบัตรประชาชน จึงไม่ค่อยได้ติดตามเรื่องจนเวลาผ่านไปนาน หรือจนเมื่อมีความเดือดร้อน โดยเฉพาะเรื่องสุขภาพอนามัย เรื่องเอกสารของบุตร และเรื่องความช่วยเหลือกรณีประสบภัยคลื่นสึนามิ จึงได้ปรากฏให้เห็นปัญหาจำนวนมากที่ซ่อนตัวอยู่ตั้งแต่ก่อนเกิดเหตุการณ์คลื่นสึนามิแล้ว
จากฐานข้อมูลขององค์กรพัฒนาเอกชนที่ดำเนินการสำรวจบุคคลผู้มีปัญหาสถานะบุคคลในพื้นที่ประสบภัยสึนามิ เมื่อปี พ.ศ.๒๕๔๘ ถึงปัจจุบัน พบกรณีคนไทยตกหล่นจากทะเบียนราษฎรหรือไม่เคยได้รับการจดทะเบียนการเกิดเช่นนี้จำนวนมากในพื้นที่ ๖ จังหวัด เฉพาะในพื้นที่อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา มีถึง ๕๑ คน และในพื้นที่อำเภอท้ายเหมือง จังหวัดพังงา มีถึง ๓๔ คน พบว่า มีทั้งคนไทยที่มาจากภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคกลาง และในพื้นที่ภาคใต้เองที่มุ่งมาทำงานที่จังหวัดพังงา ตั้งแต่ช่วงทำเหมืองแร่ และได้ทำมาหากินสร้างครอบครัวเรื่อยมาจนปัจจุบัน
ผิดกับกรณีบุคคลที่มีปัญหาสถานะบุคคลที่เป็นคนต่างด้าว ซึ่งมักอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม หรือเป็นชุมชน รวมทั้งมีองค์กรเอกชนทั้งในและต่างประเทศ ให้ความสนใจทำงานช่วยเหลือโดยตรง
สภาพปัญหาอันมีผลกระทบต่อเด็ก เยาวชน ครอบครัว และผู้สูงอายุ
การที่คนสัญชาติไทยซึ่งตกหล่นทางทะเบียนราษฎร มักอยู่กระจัดกระจายตามชุมชนต่างๆ โดยไม่มีการรวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อนเช่นนี้ ทำให้ไม่ค่อยได้รับความสนใจในการแก้ไขปัญหารวมทั้งไม่สามารถเข้าถึงความช่วยเหลือด้านสิทธิมนุษยชนพื้นฐาน หลายกรณีโดยเฉพาะคนชรา หรือคนป่วย ต้องเผชิญชะตากรรมตามลำพัง เช่นกรณีป้าแก้ว เสียงจันทร์ (กรณีศึกษาที่ ๑๑ ) คนชราไร้เอกสารจากจังหวัดลำพูนที่ป่วยเป็นมะเร็ง ซึ่งองค์กรพัฒนาเอกชนในพื้นที่พบตัวได้ไม่นานก็เสียชีวิตจากโรคร้าย นอกจากนี้ ยังพบคนชราที่ไม่มีสิทธิในสวัสดิการใดๆ จากรัฐ ทั้งที่เป็นคนสัญชาติไทยอีกจำนวนมาก ที่รอคอยการแก้ไขปัญหา
โดยปัญหาการไม่มีชื่อในทะเบียนราษฎรของรุ่นปู่ย่าตายาย จะส่งผลมาถึงรุ่นบิดามารดา และสืบทอดสู่รุ่นลูก เช่นกรณีของน้องเบล (กรณีศึกษาที่ ๑) ที่เกิดจากมารดาและยายซึ่งเป็นคนสัญชาติไทยที่ไม่มีชื่อในทะเบียนราษฎร ทำให้ต้องกลายเป็นคนที่ไม่มีตัวตนทางกฎหมาย และไม่มีสิทธิในสวัสดิการใดๆ ของรัฐ เช่นเดียวกับมารดาและยายไม่มีความเห็น