594. วิทยาศาสตร์แห่ง "the Riddick 3"


ไปดูหนังเรื่อง Riddic มาเรียกว่าเป็นหนังประเภท “จัดโหด” ใครชอบบู๊ล้างผลาญมากๆ ก็น่าไปดูครับ ก็เหมือนเดิมๆ ในสองภาคแรกคือพระเอกเป็นผู้ร้ายที่เป็นที่หมายหัว ของนักล่าหัวทั้งจักรวาล เป็นคนเก่ง แต่เถื่อน และไม่รู้ไปสร้างปัญหากับใครมามายนัก  จึงดูกลายเป็นคนร้ายของมนุษย์ต่างดาวทั้งมวล

                                               

ครั้งนี้ก็เช่นกันเริ่มต้นในดาวร้างที่พระเอกถูกทิ้งไว้ ให้ผจญความตายอยู่คนเดียว  นั่นคือจุดเริ่มต้นของการต่อสู้เอาชีวิตรอด เริ่มต้นจากการต้องต่อสู้กับสัตว์ประหลาดรอบตัว ด้วยการช่างสังเกตและช่างปรับตัว พระเอกเลยเริ่มเอาตัวรอดได้ในแดนที่เถือนสุดๆ  ต่อมาก็ได้เดินทางไปเรื่อยๆในดาวดวงนั้น และชะตากรรมก็พาเขาไปเผชิญกับน่าล่าค่าหัวสองกลุ่ม ที่ก็ “จัดโหด” ถ่อยเถื่อน มีความร้ายกาจมาไม่น้อยหน้ากัน  ทั้งสามฝ่ายชิงไหวชิงพริบ จนกระทั่งพระเอกสามารถชิงยานได้ลำหนึ่ง และหนีออกจากดาวเคราะห์ที่แสนบ้าคลั่งนี้ได้ ส่วนโจรบางส่วน (ตายเพียบ) ก็หนีไปกับอีกลำได้เช่นกัน .. เป็นหนังที่ลุ้นดี.. แล้วเรื่องนี้ให้แง่คิดอะไร.. 

 เรื่องที่น่าคิดคือ ทำไมในเรื่องจึงมีแต่ตัวร้ายครับ พระเอกเองก็เป็นตัวปัญหาระดับจักรวาล คนร้ายก็เป็นตัวปัญหา.. คำถามคือ “คนร้ายคือใคร”  .. ล่าสุดผมอ่านงานเขียนที่แปลกประหลาดงานหนึ่งชื่อ Spirit Level ได้พูดถึงงานวิจัยเรื่องคนร้ายครับ คือคนที่ก่ออาชญากรรมทุกประเภท.. จากการตั้งข้อสังเกตของหมอคนหนึ่ง ท่านบอกว่า อาชญากรทั้งมวล มีจุดร่วมอย่างเดียวกันคือ เป็นคนที่ขาดซึ่ง “ความภาคภูมิใจ” ครับ.. หรือขาดหลักฐานในชีวิตที่จะแสดงให้เห็นว่าตนมี “ดี” อะไร..  และเมื่อใครเป็นหมิ่น เหยียดหยาม ดูถูก คนกลุ่มนี้ เมื่อไหร่ อาชญากรรมก็เกิดขึ้นทันที    น่าสนใจไหมครับ.. ความภูมิใจเป็นอะไรที่เป็นเรื่องที่น่าศึกษาครับ เรื่องนี้มีความสำคัญต่อมนุษย์มากๆ แต่อาจถูกมองข้าม..

ในเรื่องการศึกษา..ครั้งหนึ่งคุณครูท่านหนึ่งได้วิจัยโดยเริ่มจากไปอ่านข้อมูลให้เด็กในชั้นที่มีทั้งผิวขาว ผิวดำ อยู่รวมกันโดยประกาศว่า.. “คนขาวเป็นคนที่ฉลาดที่สุด” และตลอดทั้งเดือนเวลาเด็กคนขาวทำอะไรก็จะชมมากเป็นพิเศษ เห็นชัดเลยว่าเด็กดูกระตือรือร้น ส่วนเด็กผิวดำกลับตัวลีบ เครียดลงเรื่อยๆ.. เห็นอาการที่เด็กผิวขาวจะไปข่มเด็กผิวดำบ่อยๆ เด็กผิวขาวเก่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่ต่อมาในเดือนที่สอง.. ครูออกไปหน้าชั้นและประกาศใหม่ว่า.. “เมื่อเดือนก่อนให้ข้อมูลผิด  จริงแล้วเด็กผิวดำฉลาดกว่าเด็กผิวขาว” แค่นั้นสถานการณ์พลิกไปด้านตรงข้าม..

                           

 ในอินเดียมีการทดลองคือมีการคัดเด็กจากต่างหมู่บ้านที่ไม่รู้จักกันมาสอบ โดยเด็กทุกคนไม่รู้ใครเป็นใคร มี “วรรณะ” อะไร ร่ำรวยแค่ไหน มาสอบ.. คะแนนเด็กวรรณะต่ำออกมาพอๆกับเด็กวรรณะสูง.. บางครั้งสูงกว่า.. แต่พอครั้งที่สอง. มีการให้เด็กแต่ละคนประกาศชื่อ นามสกุล พร้อมวรรณะออกมา เห็นชัดครับคะแนนของเด็กที่มีวรรณะสูงกว่า เกิดสูงกว่าเด็กวรรณะต่ำ...

 มีการวิจัยที่สร้างความแปลกใจครับ แต่เดิมเราคิดว่าคนทำงานหนักมากๆ เช่นผู้บริหารระดับสูงจะเป็นโรคร้ายมากกว่าคนทั่วไป ไม่ใช่แล้วครับ พนักงานชั้นล่างนี่แหละ เช่นพนักงานเดินเอกสาร เสมียน พนักงานขับรถนี่แหละเป็นมากกว่าผู้บริหาร เพราะอะไรครับ นักวิจัยเจอว่าพวกเขาขาดซึ่ง “ความภาคภูมิใจในตนเอง” ครับ...

 มาถึงตรงนี้คุณคงเห็นว่าอะไรเป็นจุดร่วมของปัญหาสังคม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการศึกษา สุขภาพ จนกระทั่งอาชญากรรม.. ริดดิก และเพื่อนน่าจะเป็นแบบนี้ครับ.. น่าสงสารจักรวาล..

 แล้วจะทำอย่างไรครับ.. ในวิชา Appreciative Inquiry (AI)  เราทำเรื่องหนึ่งครับ คือเราตั้งคำถามดีๆ ด้วยคำถามที่ว่า “ตั้งแต่ทำงานมาคุณภาคภูมิใจอะไรที่สุด”.. อาจประยุกต์ใช้กับเรื่องอื่นๆ ก็ได้.. เราจะได้คำตอบดีๆ ที่นำมาสร้างการเปลี่ยนแปลงได้ มนุษย์เรานั้นเมื่อกล่วถึงความภาคภูมิใจ และให้ล่าเรื่องราวอย่างละเอียด คุณจะเห็นอะไรบางอย่างที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จ เห็นกระบวนการบางอย่างที่อาจจะนำมาสู่นวัตกรรมก็ได้ เพราะอะไรครับ เพราะว่าเรื่องที่เราภูมิใจนั้น หลายครั้งเราทำมันด้วยตนเอง ด้วยเงื่อนไขที่มันไม่ได้เลยครับ ไม่มีทรัพยากรอะไร แต่เราดิ้รนจนมันสำเร็จ ตรงนี้แหละครับ สุดยอดมาก ทราบไหมครับ องค์กรในปัจจุบันไม่ค่อยมีใครถามกันอย่างนี้  แต่พอถามเราจะพบเรื่องดีๆ... 

เช่นเราเจอพนักงานในสายการผลิตที่ภาคภูมิใจเรื่องการปรับแต่งเครื่องจักรของเขา จนสร้างผลผลิตได้สูง เราก็เอาวิธีการปรับแต่งของเขาไปใช้ต่อ เราเจอพนักงานในแผนกสินค้าคงคลัง บอกว่าเขาภูมิใจที่เขาคิดระบบที่ทำให้เขาทำงานเบาลง พอเอาเรื่องภคภูมิใจของแต่ละแผนกไปผสมผสานกัน เกิดปรากฏการณ์ใหม่ “อาจารย์ครับ แต่เดิมกว่าจะเอาของเคลียร์เข้าระบบได้ใช้เวลา 9.00-17.00 ครับ.. ตอนนี้ 11 โมงก็จบแล้ว.. 

นี่ไงครับวิธีเอาความภาคภูมิใจของคนมาใช้.. คำถามนี้สามารถเอาไปใช้กับคนทุกระดับครับ  ในสังคมยามนี้เราขาดคนที่ภาคภูมิใจในตัวเองเหลือเกิน ด้วยไม่ค่อยมีพื้นที่ให้เขาแสดงออก เราจึงเห็นคนแสดงความสามารถได้ไม่เต็มที่ ทำดีแต่ไม่มีใครเห็น ที่สุดความดีก็ถูกจำกัดวงอยู่ในพื้นที่แคบๆ บางคนมีบุญมากพอก็พอมีความสามารถต่อยอดความภูมิใจตัวเองไปได้ บางคนนี่ไปไม่เป็นครับ และในวงกว้าง ในสังคมตอนนี้อาชญากรรมทั้งหลาย ผมว่าถ้าเราช่วยกันค้นหาความภาคภูมิใจ ส่งเสริม และส่งต่อกันมากๆ สังคมทุกระดับจะดีขึ้นครับ

 วันนี้จะไม่มีริดดิดและเพื่อนถ้าจักรวาลของเราดูแลกันเองดีพอ คุณว่าจริงไหมครับ

 

วันนี้เพียงเล่าให้ฟัง ลองเอาไปพิจารณาดูนะครับ

Reference:

Book: Spirit level: Why Equality of Better for Everyone 

Pictures: 

http://3diassociates.wordpress.com/2012/04/05/explaining-finlands-miracle-finlands-school-success-part-three/ 

Picture: 

The first picture retreived Sept 9, 2013 from http://aftercredits.com/2013/09/riddick-mega-post/

The second picture retreived Sept 9, 2013 from http://blog.247digitallearning.com/

 

หมายเลขบันทึก: 547724เขียนเมื่อ 9 กันยายน 2013 07:38 น. ()แก้ไขเมื่อ 9 กันยายน 2013 07:51 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)

มีหลายประเด็นที่มีอคติเรื่องเชื้อชาติ ภาษาและวรรณะนะครับ

เอามาฝากอาจารย์ครับ

http://www.gotoknow.org/posts/547751

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท