เมื่อวันเสาร์ที่14-10-49 ดิฉันอ่านหนังสือพิมพ์มติชนหน้าที่9 เขียนโดยคุณณัฐฬส วังวิญญู สถาบันขวัญเมือง เชียงราย ที่เขียนบทความเกี่ยวกับจิตวิวัฒน์ ตอนหนึ่งของการเขียนท่านคิดว่าคนเราต้องการชีวิตที่มีความหมายมากเสียกว่ามีความสุข
ดิฉันเห็นด้วยเพราะเคยจำได้ว่าดิฉันเคยถูกห้องคลอดตามมาดูคนไข้หลังเที่ยงคืนสามครั้ง ดิฉันก็ไม่ได้บ่นอะไร ดิฉันเพิ่งเข้าใจว่าในระยะที่เราทำหน้าที่สูติแพทย์ชิวิตและการกระทำของเรามีความหมายอย่างยิ่งต่อชีวิตผู้ป่วยสองคนคือแม่และเด็กในครรภ์ สิ่งนี้เองที่ทำให้ดิฉันตื่นได้ทันทีเมื่อมีเสียงโทรศัพท์
คุณณัฐฬสยกตัวอย่างที่แม่คนหนึ่งที่หาเงินมาเลี้ยงลูก ถึงทำงานหนักก็ไม่บ่นเพราะการที่ลูกน้อยได้รับการศึกษามันมีความหมายสำหรับแม่
ทุกๆชีวิตในองค์กรมีความหมายถ้าทุกคนมีเป้าหมายในการทำงานโดยไม่ปล่อยชีวิตให้ล่องลอยไปตามเรื่องตามราว การทำงานจะมีพลังทำให้ไม่ท้อถอยและยังมีแรงใจในการทำงานเพราะคิดว่าชีวิตเรายังมีความหมายต่อองค์กรอยู่ค่ะ
เรามาสร้างเป้าหมายในชีวิต ให้ความสำคัญกับตัวเองว่าชีวิตเรามีความหมายต่อผู้อื่น น่าจะเป็นวิธีสร้างแรงใจในการทำงานวิธีหนึ่งที่ลองนำไปใช้ดูค่ะ ขอนำข้อมูลจากหนังสือพิมพ์มาเล่าแลกเปลี่ยนเรียนรู้ค่ะ
เห็นด้วยกับพี่อัจฉราอย่างยิ่งครับ
ผมลองทำบล็อกของผมขึ้นมา หลังจากเห็นพี่ทำเพื่อสื่อสารกับบุคลากรในบำราศฯครับ :)
http://gotoknow.org/blog/thiraw
รักและเคารพ
ธีระ
yearning ของคนเราก็คงเหมือนกับน้าเล็กน่ะค่ะ คือ เราต้องการความรัก ต้องการความรู้สึกมีคุณค่า และ ได้รับการยอมรับจากบุคคลอื่น
เป้าหมายการทำงานทุกวันนี้ นอกจากทำเพื่อองค์กรแล้ว ก็คือทำเพื่อพ่อ(หลวง)ของเราค่ะ
สำนึกแล้วว่ามหาภารกิจ
คือชีวิตที่เหนื่อยหนักเป็นนักหนา
หกสิบปีที่ผ่านยาวนานมา
คือเวลาจารึกรักพระจักรี
ด้วยว่าร้อนก็เป็นน้ำอันฉ่ำเย็น
เหน็บหนาวก็ทรงเป็นสุริย์ศรี
ชีวิตร่มใต้มหาบารมี
ที่ทรงครองแผ่นดินนี้มาโดยธรรม
(สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน)
คิดว่าการมีความหมายเป็นสิ่งที่เติมเต็มของความสุขค่ะ ขอบพระคุณมากค่ะ