บริษัท แอมเพิล ริช
อินเวสเมนต์ จำกัด โด่งดังเป็นที่คุ้นหูของคนไทยเมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ
ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และครอบครัว ขายหุ้นบริษัทชินคอร์ปอเรชั่น
จำกัด (มหาชน) หรือ ชินคอร์ป ให้กับกองทุนเทมาเส็ก ของสิงคโปร์ มูลค่า
73,300 ล้านบาท เมื่อวันที่ 23 ม.ค.2549
แอมเพิลริช จดทะเบียนบริษัทอยู่ที่เกาะบริติช
เวอร์จิ้น ดินแดนฟอกเงินชื่อกระฉ่อนโลก
23 ม.ค.2549 นางกาญจนา หงษ์เหิร
เลขานุการคุณหญิงพจมาน ชินวัตร
แจ้งต่อคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ว่า
เมื่อวันที่ 20 ม.ค.2549 แอมเพิลริชขายหุ้นชินคอร์ปให้แก่
นายพานทองแท้ และน.ส.พิณทองทา ชินวัตร บุตรชาย และบุตรสาว
พ.ต.ท.ทักษิณ
และวันเดียวกัน นางกาญจนาเป็นตัวแทนแจ้งต่อก.ล.ต.แทนนายพานทองแท้
และน.ส.พิณทองทา ว่า ได้ซื้อหุ้นจาก แอมเพิลริช คนละ 164.6 ล้านหุ้น
ในราคาหุ้นละ 1 บาท รวมมูลค่าทั้งหมด 15,883.9 ล้านบาท
ระบุเป็นหลักฐานไว้กับ ก.ล.ต.ด้วยว่า
ซื้อหุ้นดังกล่าวผ่านทางตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
จากนั้นก็ขายต่อให้กับทีมาเส็ก
23 ม.ค.2549
ครอบครัวชินวัตรขายหุ้นชินคอร์ปจำนวน 1,487,740,120 หุ้นหรือ 49.595%
ของทุนชำระแล้วให้บริษัท ซีดาร์ โฮลดิ้งส์ จำกัดและบริษัท แอสเพน
โฮลดิ้งส์ จำกัด ในราคาหุ้นละ 49.25 บาท
บริษัท ซีดาร์ โฮลดิ้งส์ จำกัด มีทุนจดทะเบียน 400 ล้านบาท
ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ประกอบด้วยบริษัท ไซเพรส โฮลดิ้งส์ จำกัด ถือหุ้น
48.99 % ของทุนจดทะเบียน บริษัท กุหลาบแก้ว จำกัด ถือหุ้น 41.1%
ของทุนจดทะเบียน และธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ถือหุ้น 9.9%
ของทุนจดทะเบียน
ส่วนบริษัท แอสเพน โฮลดิ้งส์ จำกัด มีทุนจดทะเบียนเพียง 100,000 บาท
ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ได้แก่ แอนเดอร์ตั้น อินเวสเม้นท์ พีทีเอ แอลทีดี
ถือหุ้น 99.94%
บริษัททั้งหมดที่ซื้อหุ้นชินคอร์ป
ถูกระบุว่าเป็นบริษัทที่เทมาเส็กตั้งขึ้นเป็นบริษัทไทยเพื่อรับหน้าเสื่อการซื้อขายหุ้นครั้งนี้
โดยหุ้นที่นายพานทองแท้-น.ส.พิณทองทา
ซื้อปุ๊บจากแอมเพิลริชผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ คนละ 164.6 ล้านหุ้น
ราคาหุ้นละ 1 บาทนั้น ขายปั๊บในราคา 49.25 บาทในวันเดียวกัน รวมอยู่ใน
"บิ๊กล็อต" นี้ด้วย
แต่เมื่อตรวจสอบผ่านการซื้อ-ขายประจำวันของตลาดหลักทรัพย์ฯ
กลับไม่ปรากฏการซื้อ-ขายหุ้น ตามที่แจ้งไว้
1 ก.พ.2549 นายสุวรรณ วลัยเสถียร
โฆษกตระกูลชินวัตร แถลงว่า แอมเพิลริชตั้งขึ้นมาเมื่อวันที่ 12
มี.ค.2542 โดย พ.ต.ท.ทักษิณถือหุ้น 100% เพื่อรับโอนหุ้นของชินคอร์ป
32.92 ล้านหุ้น เตรียมนำเข้าไปซื้อขายในตลาดแนสแดค ที่นิวยอร์ก
สหรัฐอเมริกา จากพาร์ 10 บาท ต่อมาภายหลังได้มีการแตกพาร์ จาก 10 บาท
เหลือ 1 บาท
ฉะนั้น จำนวนหุ้นต่อมาในภายหลังเลยกลายเป็น 329.2 ล้านหุ้น
แต่พอเข้าช่วงปี 2543 ตลาดแนสแดคตกต่ำลงมา
กรรมการของชินคอร์ปจึงชะลอเรื่องนี้ไว้ก่อน
หุ้นชินคอร์ป 329.2 ล้านหุ้นก็ยังอยู่กับแอมเพิลริชต่อไป
1 ธ.ค.2543 พ.ต.ท.ทักษิณขายหุ้นแอมเพิลริชทั้งหมดให้กับบุตรชาย
คือนายพานทองแท้ ซึ่งก.ล.ต.ทำเรื่องสอบถามมา
ทางแอมเพิลริชมีการแจ้งยืนยันก.ล.ต.ไปเป็นลายลักษณ์อักษรเมื่อวันที่
25 ก.ค.2544 และวันที่ 15 พ.ค.2548 น.ส.พิณทองทาเข้าถือหุ้น 20%
ในแอมเพิลริช ทำให้สัดส่วนการถือหุ้นของนายพานทองแท้เหลือ 80%
โดยอ้างว่าเมื่อแอมเพิลริชซื้อหุ้นชินคอร์ปมาในราคาหุ้นละ 1 บาท
ก็ขายคืนให้ในราคา 1 บาทเท่ากัน
ขณะที่ซื้อแล้วในวันเดียวกันขายต่อได้หุ้นละ 49 บาท
จึงเป็นที่มาของการตรวจสอบโดยคตส.
ว่ากระบวนการทั้งหมดนี้ถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่
-------------------------------
คอลัมน์ คอลัมน์ที่13
แล้วในกรณีของกุหลาบแก้ว อาจารย์มีความเห็นว่ายังไงบ้างคะ โดยเฉพาะประเด็นนอมินี