ปรากฎมีข้อเท็จจริงว่าเด็กและเยาวชนจำนวนไม่น้อยในประเทศไทยที่ประสบปัญหาความไร้รัฐ อันเนื่องมาจากความไม่มีทะเบียนการเกิดที่ออกโดยรัฐ ทั้งที่มีหลักฐานเพียงพอว่าเป็นบุคคลที่เกิดในประเทศไทย ทั้งที่ประเทศไทยได้ให้สัตยาบันกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางแพ่งและสิทธิทางการเมือง ค.ศ.1966 ตั้งแต่วันที่ 30 มกราคม พ.ศ.2540 และข้อ 24 (2) แห่งกติกานี้ได้กำหนดว่า “เด็กทุกคนย่อมมีหลักฐานทางทะเบียนทันทีที่ถือกำเนิดและย่อมได้รับการตั้งชื่อ” และข้อ 23 (1) แห่งกติกานี้กำหนดว่า “ครอบครัวเป็นหน่วยธรรมชาติและหลักมูลของสังคมและมีสิทธิได้รับความคุ้มครองจากสังคมและรัฐ”
แม้ประเทศไทยจะได้ตั้งข้อสงวนในข้อ 7 แห่งอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก ค.ศ.1985 ว่าด้วย การทะเบียนการเกิดให้แก่เด็ก อันทำให้ประเทศไทยไม่ต้องถูกผูกพันโดยบทบัญญัติดังกล่าว ดังนั้น การที่เจ้าหน้าที่รัฐไทยปฏิเสธสิทธิของเด็กที่จะได้รับการทำทำทะเบียนการเกิด จึงยังถือเป็นการกระทำของรัฐไทยที่เป็น “การละเมิดพันธกรณีระหว่างประเทศเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนที่ประเทศไทยเป็นภาคี”
และโดยเหตุเกิดการละเมิดดังกล่าวขึ้น คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ จึงต้องเข้าทำการศึกษาปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยที่มาตรา 15 (2) แห่งพระราชบัญญัติคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ.2542 บัญญัติให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติมีอำนาจหน้าที่ในการตรวจสอบและรายงานการกระทำ หรือละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน หรืออันไม่เป็นไปตามพันธกรณีระหว่างประเทศเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนที่ประเทศไทยเป็นภาคี และเสนอมาตรการการแก้ไขที่เหมาะสมต่อบุคคลหรือหน่วยงานที่กระทำ หรือละเลยการกระทำดังกล่าวเพื่อดำเนินการ ในกรณีที่ปรากฏว่าไม่มีการดำเนินการตามที่เสนอให้รายงานต่อรัฐสภาเพื่อดำเนินการต่อไป
คณะอนุกรรมการด้านเด็ก เยาวชนและครอบครัว ร่วมกับคณะอนุกรรมการด้านราชทัณฑ์และสถานพินิจ ในคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ จึงจัดทำ “โครงการศึกษาสถานการณ์ด้านการจดทะเบียนการเกิดของเด็กในประเทศไทย” นี้ขึ้น