"พี่หนาน"
นาย พรพจน์ พี่หนาน เรียงประพัฒน์

ปริศนาธรรมจากตาลปัตรงานศพ


ปริศนาธรรมที่แต่ละท่านมีมุมมองและมีความเข้าใจแตกต่างกัน ในคืนวันสวดพระอภิธรรม

 

๒/๐๘/๒๕๕๖

************

 

                               

 

ปริศนาธรรมจากตาลปัตรงานศพ

             เมื่อวานนี้ผู้เขียนได้ปิดร้าน ๑ วันเพื่อไปช่วยงานศพพ่อตาของน้องชาย(ลูกผู้น้อง) ที่บ้านน้ำลอก ซึ่งผู้ตายพึ่งจะอายุได้ ๕๗ ปีเท่านั้น  สาเหตุการตายมาจากโรคมะเร็งในปอด นอนทรมานอยู่ในโรงพยาบาลนานถึง  ๒๐ วัน  ความจริงเขานอนไม่ได้เลย นั่งหลับอย่างเดียวเพราะตอนแรกหมอบอกว่าเป็นน้ำท่วมปอด การตายของคนหนึ่งคนมีผลต่อคนที่ยังอยู่มาก ทั้งญาติและคนรอบข้าง ทั้งทางวัฒนธรรมและทางกฎหมายบ้านเมือง  ทางวัฒนธรรมประเพณี สิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนสังเกตเห็นในตอนกลางคืนก็คือ  การสวดพระอภิธรรม ตาลปัตรที่พระใช้นั้นมี ๒ แบบ แบบหนึ่งเอาไว้ใช้ให้ศีล ให้พร  อีกแบบหนึ่งเอาไว้สวดพระอภิธรรม  ที่ใช้สวดพระอภิธรรมนั้นหลายท่านก็คงคุ้นเคยและเห็นกันบ่อยแล้ว มีข้อความว่า “ไปไม่กลับ”  “หลับไม่ตื่น” “ฟื้นไม่มี” และ “หนีไม่พ้น”  คำที่ติดหน้าตาลปัตรทั้งสี่นี้ แต่ละท่านคงมีความเข้าใจความหมายที่แตกต่างกันไป  ส่วนตัวผู้เขียนมีความเข้าใจ และมีความคิดเห็นว่าเป็นปริศนาธรรม พอจะเขียนออกมาได้ดังนี้


 

ไปไม่กลับ   

          หลายท่านทราบดีว่าประเทศไทยของเรานั้นถูกหล่อเลี้ยงด้วยแม่น้ำสายต่าง ๆ เพื่อให้ประชาชนในแต่ละภาคนั้นมีน้ำดื่มและน้ำใช้อย่างพอเพียง ภาคเหนือ มี  แม่น้ำปิง  แม่น้ำวัง  แม่น้ำยม  แม่น้ำน่าน  เป็นแม่น้ำสายหลักสายรองยังมีอีกเยอะมาก แถวบ้านผู้เขียนก็แม่น้ำตรอน แม่น้ำลอก  ภาคกลางมี แม่น้ำเจ้าพระยา  แม่น้ำสะแกกรัง   ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมี แม่น้ำป่าสัก  แม่น้ำสงคราม  แม่น้ำชี  แม่น้ำมูล  ภาคตะวันออก มี  แม่น้ำบางปะกง  แม่น้ำจันทบุรี  แม่น้ำระยอง  แม่น้ำเวฬุ   ภาคตะวันตก มี  แม่น้ำแควน้อย  แม่น้ำแควใหญ่ แม่น้ำแม่กลอง  แม่น้ำเพชรบุรีแม่น้ำซองกาเลีย ภาคใต้ มี  แม่น้ำคีรีรัฐ  แม่น้ำหลังสวน  แม่น้ำตาปี  แม่น้ำตรัง  เป็นต้น  แม่น้ำดังกล่าวเหล่านี้มีจุดเริ่มต้นอยู่บนเทือกเขาต่าง ๆ  ก่อกำเนิดจากเมฆ น้ำฝน ต้นไม้ ใบหญ้า ความชุ่มชื้นบนภูเขา ที่ยกมากล่าวถึง เพราะทำให้เห็นว่า แม่น้ำสายต่าง ๆ ของประเทศไทยเหล่านี้ มีเส้นทางคดเคี้ยววกไปวนมา  บางแห่งก็ตื้นเขิน เป็นเกาะแก่งขวางกั้นกลางอยู่  บางแห่งก็ลึกจนยากจะหยั่งถึง  ไหลจากเหนือลงใต้และไหลไปรวมกันเพื่อลงสู่มหาสมุทร  เมื่อไหลไปแล้ว  ก็ไม่สามารถไหลย้อนกลับมาสู่จุดเดิมคือจุดเริ่มต้นได้อีก

           ถ้าหากเปรียบสายน้ำเหมือนกับสายชีวิต  เราจะปล่อยให้ชีวิตของเราไหลไปแบบไหน  มีทิศทางที่ชัดเจนหรือว่าไม่มีทิศทาง เป้าหมายหรือมหาสมุทรชีวิตของเราคืออะไร  สิ่งที่พบเจอระหว่างทางเหมือนกับสายน้ำก็คือ บางครั้งชีวิตก็พบกับปัญหาที่แก้ง่ายเหมือนแม่น้ำที่ตื้นเขิน  บางครั้งก็พบกับปัญหาที่ลุ่มลึกยากแก่การแก้ไข   บางครั้งก็วกวนคดเคี้ยวซัดส่ายไปมา  สายน้ำที่ไหลไปไม่มีวันไหลย้อนกลับมาได้อีก  ชีวิตที่ผันผ่านไปในแต่ละวัน เดือน ปี ก็ไม่สามารถย้อนกลับมาแก้ไขตรงจุดเริ่มต้นได้อีกเช่นกัน  จึงควรที่จะมีสติประคับประคองหรือวางแผนการเดินทางของสายธารแห่งชีวิตของเราก่อนการเดินทางให้ดี 

         อีกประการหนึ่ง คือ  เวลา  ช่วงเวลาที่กำหนดกันไว้บ่งบอกถึงเข็มวินาที  เข็มนาที เข็มชั่วโมง  กำหนดให้ ๖๐ วินาที เป็น ๑ นาที  ๖๐ นาที เป็น ๑ ชั่วโมง  ๒๔ ชั่วโมงเป็น  ๑ วัน  กำหนดให้  ๗ วัน  เป็นหนึ่งสัปดาห์ กำหนดให้ ๔ สัปดาห์เป็น ๑ เดือน  กำหนดให้  ๑๒ เดือน  เป็น ๑ ปี  แล้ววนกลับมาหาวันอีกว่า  ๑ ปี มี ๓๖๕ วัน  สิ่งที่เรากำหนดกันขึ้นมาจนเกิดเป็นวันเวลาตามจันทรคติ(นับตามวันข้างขึ้นข้างแรม)และสุริยคติ(นับตามปฏิทินสากล)นี้  เมื่อวันคืนล่วงไปในแต่ละรอบ นั่นหมายถึงว่า มันได้กลืนกินตัวของมันเอง  และได้กลืนกินอายุของสรรพสิ่งทั้งหลายในโลกนี้ไปด้วยในขณะเดียวกัน  เวลาจึงเป็นอีกหนึ่งความหมายที่สะท้อนให้เห็นถึงการเดินทางที่ผ่านไปอย่างไม่มีทางกลับ  หากชีวิตเราเป็นเหมือนกับเวลาหล่ะ เราจะปล่อยให้ชีวิตของเราเดินไปอย่างไร  หมุนไปแบบไหน  เวลาที่เสียไปก็คืออายุที่เราได้มา  เราจึงควรบริหารเวลาชีวิตของเราในแต่ละวัน แต่ละเดือน แต่ละปีอย่างดีและคุ้มค่ามากที่สุด ดังตัวอย่างคำกล่าวของหลวงพ่อคูณ ที่คล้ายกับเป็นคำสั่งเสียหรือเป็นคำฝากฝังถึงลูกหลานและลูกศิษย์รวมทั้งเรื่องของเวลา  ความตอนหนึ่งกล่าวว่า

       

             “..ส่วนเรื่องการจัดงานศพใหญ่โตนั้น  จัดไปทำไม เป็นการสิ้นเปลือง  รบกวนลูกหลานเปล่า ๆ  กูตายไปแล้วก็ไม่ฟื้นขึ้นมาได้ดอก ไม่มีประโยชน์ และเรื่องที่กูต้องการให้ใช้ชื่อหลวงพ่อคูณนั้น  ลูกหลานรู้จักมักคุ้นแต่ชื่อนี้มากกว่า ยศหรือตำแหน่ง กูไม่เคยยึดติดกับตำแหน่งใด ๆ ทั้งสิ้น  เมื่อกูตายไปแล้ว  ทุกสิ่งทุกอย่างมันวางอยู่ตรงไหน  หากไม่มีใครไปจับย้าย มันก็วางอยู่ตรงนั้น  กูก็เอาไปไม่ได้ดอกไอ้หลาน  ที่มันจะติดตามกูไปได้นั้น  ก็มีแต่กรรมดีและกรรมชั่วเท่านั้น  หากสร้างแต่กรรมดีเอาไว้มาก ๆ มันก็จะเป็นพาหนะนำเราไปสู่สุคติ  หากทำชั่วมาก ๆ มันจะนำไปสู่ทุคติ  สร้างบุญบารมีเอาไว้เถอะลูกหลานเอ๊ย  ตอนที่ยังมีโอกาสทำ  เวลาคนเรามันสั้นนัก  อย่าไปผลัดวันนั้นวันนี้อยู่เลย  อย่าประมาท  เวลามันไม่คอยใคร..”

  (หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ลงวันที่  ๑๖  พฤษภาคม ๒๕๔๓)

 

           ตอนเรายังเด็กเราจะมีความรู้สึกว่าเวลามันช่างแสนยาวนานมาก อยากโตเป็นหนุ่มเป็นสาวก็ไม่ได้เป็นสักที  แต่พอเป็นผู้ใหญ่ผ่านอายุ ๒๕ ปีไปแล้ว  กลับมีความรู้สึกว่าเวลามันช่างเดินเร็วมากนัก  ดังคำกล่าวของหลวงพ่อคูณที่ว่า “เวลามันไม่คอยใคร และ เวลาคนเรามันสั้นนัก”   เผลอแป๊บเดียว อ้าว! นี่มันปาเข้าไป ๔๐ แล้วเหรอ?  ถ้าเรามัวแต่ประมาทอยู่  สร้างแต่สิ่งชั่วร้ายเลวทรามอยู่ และคิดว่าปีหน้าหรือปีต่อไปค่อยทำความดีทดแทน ถ้าคิดแบบนี้ก็ถือว่าเราประมาทแล้ว  เวลาจึงเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เดินไปข้างหน้าแล้วไม่สามารถย้อนกลับมาได้อีก  

 

 

             “อายุ”  เป็นสิ่งที่เชื่อมโยงกับเรื่องของเวลา  ความหมายที่ใช้กับคน ที่ผู้เขียนเห็นว่าน่าจะเหมาะสมที่สุดคือ  “ช่วงเวลานับตั้งแต่เกิดหรือมีมาจนถึงเวลาที่กล่าวถึง” โดยเฉลี่ยอายุผู้ชายในปัจจุบันอยู่ที่ ๘๐ ปี  ผู้หญิงอายุยืนหน่อยอยู่ที่  ๘๕ ปี  ท่านทั้งหลายอายุเท่าไหร่กันแล้ว แต่ละคนคงไม่เท่ากัน  อยู่ที่การเกิดขึ้น มีขึ้นว่าตรงกับเวลาและวันใด  จากวันที่เราเกิดมาจนถึงปัจจุบันนี้ได้กี่ปีแล้ว  แล้วเราได้สร้างสรรค์สิ่งดี ๆ  สิ่งสวยงาม  สิ่งงดงาม  สิ่งที่ก่อให้เกิดจรรโลงใจ สุขใจ อะไรเอาไว้ให้ผู้คนรอบข้างได้ชื่นชมได้ถือเป็นแบบอย่างบ้าง  หรืออาจกล่าวเปรียบเทียบได้ว่า  ผู้ที่ตายอยู่ในขณะนี้ไปไม่กลับเหมือนกับอายุของเขาแล้ว  แล้วเขาได้เป็นตัวอย่างในการฝากคุณงามความดีอะไรไว้เบื้องหลังบ้าง  หันกลับมามองตัวเราเองตอนนี้ก็อายุมากแล้ว แล้วเราจะทำอะไรให้ตัวเอง ให้บ้านเกิด  ให้ชุมชน  ให้ตำบล ให้อำเภอจังหวัด ให้ประเทศชาติ  เป็นการตอบแทนดีนะ  ผู้เขียนก็คิดของผู้เขียนเรื่อยเปื่อยแบบนี้  แต่ก็ยังหาคำตอบที่ชัดเจนไม่ค่อยจะได้  อายุของเราจะเพิ่มไปทุกขณะตั้งแต่เกิด ไปจนกระทั่งตาย  ช่วงที่ดำเนินไปนี้ร่างกายของเราก็จะถูกอายุกลืนกินไปเรื่อย ๆ  แบบไม่รู้ตัวทางการแพทย์จะเข้าใจได้ดี เพราะเซลล์ในร่างกายของเรามีการเจริญเติบโตและเปลี่ยนแปลงรูปร่างอยู่ตลอดเวลา   เราจึงหลงระเริงในวัยหนุ่มสาวว่าเรายังเด็กอยู่ เรายังหนุ่มสาวอยู่ เรายังไม่แก่ โดยคิดหลอกตนเองอยู่ตลอดเวลา  ความจริงแล้วการเดินทางของอายุก็คือ ความแก่นั่นเอง เพียงแต่สรรหาคำที่เหมาะสมมาใช้แทนไม่ได้  ในข้อนี้เป็นการสะท้อนปริศนาธรรมว่า แต่ก่อนที่อายุของเราจะไปแล้วไม่กลับมานั้น  เราได้ผลประโยชน์อะไรจากร่างกายหรือการมีอายุและใช้อายุของเราในแต่ละวันเวลาที่ผ่านมาและกำลังจะผ่านไปบ้าง 

 

         อีกสิ่งหนึ่งที่ผู้ไปแล้วจะไม่หวนกลับมาอีก  นั่นคือ พระนิพพาน   ความหมายของสิ่งนี้คงไม่ต้องกล่าวถึงกันมากลองดูตามนี้ http://www.dhammathai.org/treatment/poem/poem34.php  น้อยคนนักที่จะเข้าถึงซึ่งพระนิพพาน  นิพพาน คือ ความดับของกิเลส หรือตัณหาได้หมดสิ้นไป จนไม่มีสิ่งใดต้องทำให้แจ้งอีก   ผู้เข้าถึงพระนิพพานจะไม่เกิดใหม่ หรือสร้างภพภูมิใหม่ได้อีก  ปัจจุบันนี้ยังหาผู้ที่หลุดพ้นหรือเข้าถึงพระนิพพานได้น้อยมาก  แม้แต่พระสงฆ์สามเณร  และชาวบ้านทั่วไปอย่างเรา ๆ ท่าน ๆ  ก็ยิ่งหายาก  ผู้ที่ปรารถนาจะไม่กลับมาเกิดอีกจะต้องเข้าถึงพระนิพพานให้ได้  ตราบใดที่ยังไม่ถึงพระนิพพานตราบนั้น  ก็จะยังเวียนเกิดเวียนตายกันไปแบบนี้ไม่มีจุดสิ้นสุด แม้แต่ขึ้นสู่สวรรค์ชั้นพรหมแล้วก็ยังต้องกลับมาเกิดใหม่ได้อีก  ปริศนาข้อนี้ชี้ให้เห็นว่า ถ้าปรารถนาจะไปไม่กลับอย่างแท้จริง สิ่งเดียวเท่านั้นที่ควรต้องเข้าถึงคือ  “พระนิพพาน” เท่านั้น

 

 

หลับไม่ตื่น 

           หลับไม่ตื่น  คือ  ลักษณะของผู้ที่เห็นผิดเป็นชอบ  เป็นมิจฉาทิฏฐิ ในทางพุทธศาสนาถือเป็นบาปหนักมาก  มีความเห็นว่าบุญไม่มีจริง  บาปไม่มีจริง  คุณของบิดามารดาไม่มีจริง  หรือโทษจากการทำไม่ดีหรือทำชั่วไม่มีจริง ไม่มีใครสามารถลงโทษตนเองได้  หรือลักษณะของผู้ที่มีความทะยานอยากไม่รู้จักจบสิ้น(ตัณหา)มีความมุ่งหวังในสิ่งที่ผิดธรรมผิดวินัย  ต้นกำเนิดของคำนี้มาจาก  พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดกเล่มที่ ๑๙  (ไม่กี่บรรทัดที่ว่า)    

 

๒. มิตตวินทชาดก (๘๒)ว่าด้วยนายมิตตวินทะถูกจักรหินบดขยี้

(เทพบุตรโพธิสัตว์เห็นนายมิตตวินทะตกนรกจึงกล่าวว่า)

[๘๒] ท่านล่วงเลยปราสาทแก้วผลึกปราสาทเงิน และปราสาทแก้วมณีไปแล้วมาถูกจักรหินบดขยี้อยู่

ท่านจักไม่พ้นจากจักรหินตราบเท่าที่ยังมีชีวิตอยู่มิตตวินทชาดกที่ ๒ จบ

ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๒๗ หน้า :๓๔

 

           อรรถกถาและเกจิอาจารย์แต่งเสริมเติมต่อกันมาพอสรุปความว่า   มิตตวินทุกชาดก ที่มีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะไปตามหาฝันของตนเอง จนลืมคิดถึงสิ่งดี ๆ ความปรารถนาดี ๆ รอบข้างไปเสียหมด  เขาทำร้ายแม่ของเขาด้วยการถีบให้ล้มลงเพราะแม่คอยห้ามไม่ให้ลงเรือไปกับพวกเรือสินค้า เรือไม่เคลื่อนที่มีการเสี่ยงทายกาลกิณี มิตตวินทุกะจับได้ถึง ๓ ครั้ง เขาถูกหัวหน้าเรือจับโยนลงน้ำปล่อยไปตามยถากรรม ลอยน้ำไปติดตามเกาะที่มีพวกนางเปรตอยู่หลายเกาะ และได้เสพสังวาสกับนางเปรตถึง ๖๐ นาง แต่ก็ไม่เป็นที่หนำใจ จึงได้ลอยน้ำไปยังเกาะที่ทำการกักขังทรมานสัตว์นรก ที่บนศีรษะของสัตว์นั้นมีจักรหินหมุนบดสมองอยู่ และมีน้ำเลือดน้ำหนองไหลนองอาบเต็มตัวของสัตว์นั้น  มิตตวินทุกะกลับเห็นเป็นเครื่องประดับอันสวยงาม และเห็นกงจักรเป็นดอกบัว พร้อมกันนั้นเขาก็ได้อ้อนวอนขอกับสัตว์นรกนั้นตั้งหลายครั้ง  แม้สัตว์นรกนั้นจะห้ามอย่างไรก็ไม่ฟัง  สัตว์นรกนั้นเห็นว่าเป็นกรรมที่เกิดจากการเห็นผิดเป็นชอบ หรือลักษณะของคนที่หลับไม่ตื่นหรือครึ่งหลับครึ่งตื่น  สาเหตุจากการทำร้ายหรือทุบตีแม่นั่นเอง  จึงมอบกงจักรนั้นให้  กงจักรนั้นก็พัดหมุนบดศีรษะของมิตตวินทุกะจนกว่าจะหมดแรงกรรมชั่วที่เขาได้ทำไว้กับแม่หรือมีคนมาแทนนั่นแหละถึงจะได้ตื่นขึ้นอีกครั้ง

           ปัจจุบันนี้ความหมายของคำว่า “เห็นกงจักรเป็นดอกบัว”  หรือ “เห็นผิดเป็นชอบ” สามารถใช้ได้กว้างขวางรวมถึงการเมืองเลยทีเดียว  ลองพิจารณาในกลุ่มเพื่อนหรือวัยรุ่น เช่น  นายบอยเป็นเพื่อนกับนายแมน นายบอยเห็นนายแมนสมคบกับพวกค้ายาบ้า คอยนัดแนะส่งของกันท้ายหมู่บ้านอยู่หลายครั้ง  นายบอยก็แนะนำตักเตือนให้สติกับเพื่อนว่า “แมนสิ่งที่นายทำหนะมันเป็นสิ่งผิดกฎหมายนะ ถ้าตำรวจเขาจับได้ก็จะเสียเวลาถึงกับติดคุกได้นะ  อีกอย่างชาวบ้านเขาก็ประณามสาปแช่งด้วย  เราขอให้นายเลิกคบหากับพวกค้ายาบ้าจะได้ไหม”   นายแมนตอบว่า “ขอบใจเพื่อนที่เตือนเรา ไม่ต้องห่วงหรอกเราไม่ให้ตำรวจมันจับได้หรอก ใครจะว่าอย่างไรก็ช่างหัวมัน ไม่สนหวะ”  ต่อมานายแมนก็ถูกตำรวจจับได้ข้อหามียาบ้าเอาไว้ขายเป็นจำนวนมาก  ถูกจับดำเนินคดีขึ้นศาลหลายครั้งสุดท้ายก็ติดคุกจนได้  นี่ก็ลักษณะของการเห็นผิดเป็นชอบหรือเป็นผู้หลับไม่ตื่นเช่นกัน

             อีกตัวอย่างหนึ่ง นายเอ็มทะเลาะกับแม่เรื่องที่ขอเงินแล้วแม่ไม่ยอมให้ จนถึงกับตบเตะถีบแม่ของตนเพราะต้องการนำเงินไปซื้อยาบ้าหรือยาไอซ์ มาเสพเพื่อให้เกิดความสนุกสนานกับเพื่อน เห็นเพื่อนดีกว่าพ่อแม่ของตน,  หรือ  นายชัยรับปากกับครูว่าจะมาเข้าเรียนให้จบชั้น ม.6 แต่ก็ไม่ยอมมาเรียน ไปคบเพื่อนมั่วสุมกันเสพยา มั่วผู้หญิงในโรงแรม  เห็นสิ่งดังกล่าวสำคัญกว่าคำสัญญาที่ให้ไว้กับคุณครู  นี่ก็ตัวอย่างของการหลับไม่ตื่นเช่นกัน

             ความเป็นคนหลับไม่รู้จักตื่นของลูก  หลาน  เหลน ไทยทั้งหลายในปัจจุบันนี้มีมากมายดังตัวอย่างคำกลอนนี้  http://variety.teenee.com/world/7475.html  แถวหมู่บ้านของผู้เขียนก็มีมาก  เห็นวัยรุ่นส่วนใหญ่ไม่ค่อยสนใจพ่อแม่  ไม่สนใจช่วยทำงาน  ไม่สนใจการทำมาหากิน  พ่อแม่ก็ไม่ค่อยสนใจลูกปล่อยให้ลูกทำตามอำเภอใจ(สอนแล้วบอกแล้วเตือนแล้วแต่ลูกไม่ฟังไม่สนใจก็เลยต้องปล่อย) ปล่อยให้อยู่กับปู่ ย่า หรือ ตา ยาย ผู้ใหญ่ของบ้านเมืองไม่ค่อยเอาใจใส่กลุ่มวัยรุ่นเลย ปัญหาของหมู่บ้านจึงเกิดจากบุคคลกลุ่มนี้มากขึ้น  เรื่องนี้ใช่เกิดแต่วัยรุ่นหนุ่มสาวเท่านั้น ผู้ใหญ่ผู้เฒ่าก็มีมากเช่นเดียวกัน  ขอละไว้ในฐานที่เข้าใจก็แล้วกัน  

             ทางพระท่านว่า  “สว่างตาด้วยแสงไฟ  สว่างใจด้วยแสงธรรม”  คนตาสว่างมองเห็นอะไรเหมือนกันหมด  แต่จิตใจไม่ได้รับแสงสว่างจากธรรมะเท่ากันหมดทุกคน  มิจฉาทิฏฐิคือลักษณะของคนที่ไม่รู้คิด ไม่รู้สิ่งไหนผิด สิ่งไหนถูก สิ่งไหนควรชอบ  สิ่งไหนควรชัง  สิ่งไหนความชั่ว  สิ่งไหนความดี  หรือบางทีทั้ง ๆ ที่รู้แต่แกล้งไม่รู้ก็มี  “ตาไม่บอด แต่ใจมันมืดบอด” จึงเรียกว่าเป็นผู้  “หลับไม่ตื่น”  หรือ  “ตื่นอยู่ก็เสมือนกับยังหลับใหล”  ถ้าเกิดกับเราควรทำอย่างไร

 

ฟื้นไม่มี 

            ถ้าบุคคลใดตกเข้าไปสู่ห้วงของ “อบายมุข” คือ ปากทางแห่งความฉิบหายหรือที่ผู้เขียนเคยกล่าวไว้ว่า “ปากทางลงเหว” นั่นแล้ว  ให้เตรียมตัวสู่ความล่มจมหรือความหายนะได้เลย คงไม่มีใครปฏิเสธหลักอบายมุข  ๖ นี้หรอกนะ  ประกอบไปด้วย   ดื่มน้ำเมา  เที่ยวกลางคืน  เที่ยวดูการละเล่น เล่นการพนัน  คบคนชั่วเป็นมิตร  และเกียจคร้านทำการงาน  ดูรายละเอียดตามนี้  http://www.thammaonline.com/890  เมื่อเราหลงเข้าไปสู่หลักอบายมุขดังกล่าวมา  มันก็เป็นการยากที่จะถอนตัว หรือปัญหาหลักก็คือ การเสียทรัพย์สิน  เงินทอง  ที่เราเคยมีเคยหาไว้ได้ มีมากมายเท่าไหร่ก็มีแต่จะหมดตัว จะจมจะทรุดลงไป จนถึงกับหมดบ้านหมดแผ่นดินที่จะอยู่อาศัยได้ โดยเฉพาะผู้ที่ติดการพนันนั้นหนักกว่าเรื่องใด ๆ   หรือแม้แต่ในงานศพเองก็จัดให้มีการพนัน เล่นน้ำเต้าปูปลา  เล่นไพ่  เล่นไฮโล  กันเป็นหลักแทบทุกหมู่บ้าน  บางแห่งเจ้าภาพไม่ได้ออกค่าใช้จ่ายในงานเลยคนเล่นไฮโลออกให้หมดตลอดงานหรือจะเหมางานกันเลยก็มี  ผู้รู้ท่านก็เตือนไปในตัวว่า  การเล่นน้ำเต้า  การเล่นไพ่  หรือการเล่นไฮโล  ในบ้านงานศพมันอาจจะทำให้เกิดการตายได้  สาเหตุอาจมาจากความไม่ลงตัว การยืม  การยักซ้ำซ้อน  การโกงกัน  การพูดเสียดแทงท้าทาย  พูดกันเถียงกันไม่สามารถตกลงกันได้นี่แหละ  ฟื้นไม่มี  ในความหมายหนึ่งก็เป็นปริศนาธรรมเพื่อสอนให้เรารู้ว่า  อบายมุขเป็นสิ่งไม่ดี  เมื่อใครหลงติดจนงอมแงม งมงายไปมาก ๆ เข้า ก็ล่มจมหมดตัวจนยากจะฟื้นตัวได้ง่าย  ไม่ใช่หมายถึงแต่การตายเพียงสถานเดียว

 

 

หนีไม่พ้น 

            ข้อนี้เข้ากับหลักสามัญญลักษณะมาก  นั่นก็คือ ทุกขัง เป็นทุกข์  กระสับกระส่าย  ดิ้นรน  บีบคั้น  ทนอยู่อิริยาบถเดิมไม่ได้   การเกิดเป็นทุกข์  ตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์อดหวาน อดมัน อดเผ็ด  คันปากอยากกินมาก จนถึงการบริหารครรภ์ การอุ้มท้องตั้ง ๘-๙ เดือนกว่าจะคลอด จะลุก จะนั่ง จะนอน หรือทำงานสุดแสนลำบาก  เมื่อเกิดก็ร้องไห้  แม่ก็เจ็บก็ทุกข์  ทุรนทุรายกระสับกระส่ายสายใจแทบขาด  บางคนแม่ถึงตาย  บางรายลูกตายก็มี   พ่อผู้เฝ้าหน้าห้องก็พลอยทุกข์คอยลุ้นจนแทบลืมหายใจไปด้วย   ถ้าเกิดกับหมอก็ต้องถูกตัดช่องคลอดหรืออาจถูกผ่าเอาทารกออกในกรณีที่แม่ไม่มีแรงเบ่งให้คลอด  คลอดแล้วกว่าแผลจะหายก็ปาเข้าไปอีกเป็นเดือน กว่าเด็กจะโตรู้เรื่อง ป้อนอาหารได้ หรือกินข้าวได้ก็ต้องใช้ระยะเวลาอีกนานไม่น้อย

 

            การแก่เป็นทุกข์ดังกล่าวเรื่องอายุมาแล้วบ้าง  ความแก่เกิดติดตามตัวเรามาตลอดตั้งแต่เริ่ม  ปฏิสนธิจนถึงตาย  แต่ความแก่ตามที่เข้าใจทั่วไปอาจคิดและเข้าใจแตกต่างกันไป  ตามแต่ประสบการณ์  อายุ ของผู้นั้นว่าอยู่ในวัยไหน  เด็กเห็นคนอายุ ๑๔-๑๕ ว่าแก่แล้ว  วัยรุ่นเห็นคนอายุ ๑๙-๒๐ ว่าแก่แล้ว   คนอายุ ๒๐-กว่าๆ นิดหน่อย เห็นคนอายุ ๓๐-๔๐ บอกแก่แล้ว   ผู้อยู่ในวัย ๔๐-๕๐ เห็นคนที่อยู่ในวัย ๖๐-๗๐ ว่าแก่แล้ว  ในขณะเดียวกันคนที่อยู่ในวัยใกล้เคียงกัน ๕๐-๖๐ เห็นคนในกลุ่มอายุเดียวกันนี้ ตาย  บอกว่าอายุยังน้อยอยู่ ยังไม่ถึง ๖๐ เลย ไม่น่าจะตายเลยนะ แล้วจริง ๆ ความแก่ของคนเราอยู่ที่อายุเท่าไหร่   โดยทั่วไป พออายุขึ้นเลข ๔  ผมบนหัวเริ่มขาว หน้าเริ่มมีกระ มีฝ้า หรือรอยตีนกาหน่อยก็วิ่งหาของมาบำรุง  มีเงินก็วิ่งเข้าหาการทำศัลยกรรมพึ่งมีดหมอ หมดไทยไม่เก่งก็ไปหาหมอเกาหลีใต้หมดเงินหมดทองกันไม่ใช่น้อย            

 

          การเจ็บเป็นทุกข์  โดยทั่วไปเราก็เข้าใจกันว่า “เจ็บ” ก็คือ  คนที่เป็นโรคใดโรคหนึ่ง หรือมีอาการบาดเจ็บ เช่น  มีดบาด หกล้ม  รถล้ม  รถชนแขนขาหัก เป็นไข้หวัดใหญ่  เป็นมาลาเรีย  ไข้เลือดออก  เป็นความดันโลหิตสูง  เป็นโรคปอด  เป็นโรคหัวใจ  เป็นโรคเบาหวาน  เป็นโรคเอดส์ หรือเป็นโรคมะเร็ง  ปัจจุบันมะเร็งน่ากลัวกว่าเอดส์มาก  “เจ็บ”  ตามโรคดังกล่าวเหล่านี้ก็ใช่อยู่  เจ็บตามอาการของโรคปฏิเสธไม่ได้  แต่ “เจ็บ” ในอีกความหมายหนึ่งก็คือ “เจ็บ” ตามธรรมชาติ  โดยนั่งนาน ๆ  มันก็เจ็บก้น  เช่น นั่งทำงานในออฟฟิส  ก้มนาน ๆ มันก็เจ็บหลัง เช่นชาวนาดำนาเกี่ยวข้าว  แหงนหน้านาน ๆ  มันก็เจ็บคอ เช่น แหย่มะม่วงแหย่ไข่มดแดง  ยืนนาน ๆ  มันก็เจ็บเข่า เจ็บขา เช่น คนอ้วนมาก ๆ จะสังเกตได้ชัด  เดินนาน ๆ มันก็เจ็บส้นเจ็บพื้นเท้า  เช่นพระเดินธุดงค์  นอนนาน ๆ มันก็เจ็บแผ่นหลัง  เช่นคนป่วยที่นอนอยู่ในโรงพยาบาล   คิดนาน ๆ มันก็เจ็บสมองหรือที่เราเรียกกันว่า “ปวดหัว” หรือ “เครียด” เช่นนักคิดนักเขียน นักวิชาการ เป็นต้น  ความเจ็บเหล่านี้ถ้าเราไม่สังเกตให้ดี ๆ หรือไม่เคยปฏิบัติธรรมมาก่อนจะมองไม่ค่อยเห็น เพราะมันละเอียดมากสติจับไม่ค่อยทัน เมื่อใดที่เราเปลี่ยนอิริยาบถหรือเปลี่ยนท่า ความเจ็บมันก็จะหายไป

           การตายเป็นทุกข์  ผู้จะตายที่เจ็บป่วยก็ทุกข์กว่าจะตายได้  กว่าจะหมดลมหายใจแสนยากแสนทรมาน  ตายแล้วคนที่อยู่ก็พลอยลำบากในการจัดสถานที่  ฆ่าหมูเลี้ยงแขก(สัตว์ก็ทุกข์ไปด้วย)  รับส่งพระมาในงาน  แม่ครัวทำอาหารเลี้ยงแขกอดหลับอดนอนหลายวัน  วันเผาก็ต้องพาไปฌาปนสถาน  จัดสถานที่ที่โน่นอีก เลี้ยงน้ำ รับส่งพระสวดมาติกา  จัดเก้าอี้ให้แขก  เผาเสร็จก็ช่วยกันเก็บเก้าอี้  เก็บโต๊ะ  เก็บเต็นท์  ส่งคืนในที่ไปยืมมา ตอนเย็นก็มาทำพิธีสวดมนต์และทำพิธีกรรมทางศาสนาในวันรุ่งขึ้นอีก 

            การเกิด  การแก่  การเจ็บ  การตาย  ทุกคนที่ยังเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ หรือผู้ที่ยังไม่ถึงซึ่ง “พระนิพพาน”  ยังไม่บรรลุเป็นพระอรหันต์   จะต้องประสบกับอาการดังกล่าวมา เป็นสิ่งที่ทุกคน “หนีไม่พ้น”  ก็ในเมื่อเรารู้แล้วว่าเรายังไม่ได้ไม่ถึงซึ่งพระนิพพานแน่ ๆ  ในปัจจุบัน   เราควรจะแสดงออกหรือมีทัศนะต่อสิ่งดังกล่าวนี้อย่างไร  ผู้เขียนเห็นว่าสิ่งที่เราควรกระทำก็คือ  ไม่ควรประมาท  ต้องสั่งสมบุญแบบเก็บออมไปเรื่อย ๆ  เหมือนดั่งที่พระพุทธเจ้าท่านทรงสั่งสมบุญเป็นตัวอย่างไว้ในทศชาติชาดก หรือ “พระเจ้าสิบชาติ”  บุญของเราทำไปใช้ไปในแต่ละชาติคงต้องใช้เวลาในการบำเพ็ญมากหน่อย กว่าจะเต็มจนถึงกับทำให้เราบรรลุธรรมขั้นสูงได้  แต่ก็ยังดีกว่าที่เรามัวประมาทหลงระเริงไปกับอบายมุข  กามโลกีย์  กิเลส  ตัณหา  ไม่ใช่หรือ  เพราะสิ่งเหล่านี้ นอกจากจะทำให้เราไม่ได้ไปสวรรค์แล้ว  ยังทำให้เราไม่ได้เกิดมาเป็นคนอีก เมื่อไม่ได้เกิดมาเป็นคน เราก็ไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน  ไปเป็นเปรต  สัตว์นรก  ตามหลักการของทางพุทธศาสนา ทำให้เสียเวลาในการเก็บออมบุญในโลกมนุษย์ไปอย่างน่าเสียดาย 

 

   สรุป  ปริศนาธรรมที่ชี้ให้เห็นบนตาลปัตรของพระสงฆ์นั้น  ถ้าเรามองให้ลึก ๆ เข้าไปจริง ๆ แล้ว จะเห็นว่า พระท่านต้องการสอนเราทางอ้อมโดยชี้ให้เห็นสิ่งที่ผู้เขียนกล่าวถึงมาอาจจะเขียนได้ไม่สละสลวย ไม่หมดหรือไม่ครอบคลุมประเด็นเท่าที่ควร  โดยสรุปแล้ว

           สิ่งที่ไปไม่กลับ  ก็คือ  สายน้ำ  เวลา  อายุ และ พระนิพพาน ตามความหมายที่ ตื้น ลึก หนา บาง  แตกต่างกันไป

           สิ่งที่บ่งบอกว่า หลับไม่ตื่น  ก็คือ  ความเห็นผิด หรือเห็นกงจักรเป็นดอกบัว   เป็นมิจฉาทิฏฐิ  เห็นว่าบาปไม่มีจริง  บุญไม่มีจริง  คุณความดีไม่มีจริง  โทษภัยไม่มีจริง  พ่อแม่ไม่มีบุญคุณต่อเรา พระศาสนาไม่มีคุณต่อเรา  พระมหากษัตริย์ไม่มีคุณต่อเรา ผู้มีความเห็นลักษณะนี้ชื่อว่า ผู้หลับไม่ยอมตื่น

          สิ่งที่ฟื้นไม่มี  ก็คือ  ผู้ตกเข้าไปสู่ห้วงแห่งอบายมุข ปากทางแห่งความฉิบหาย หรือปากทางลงเหว  เช่น  ผู้ดื่มเหล้ามาก ๆ  ผู้ที่ชอบเที่ยวคลับบาร์เวลากลางคืน  ผู้ที่ติดการพนัน  ผู้ที่คบคนชั่วเป็นเพื่อน  ผู้ที่ขี้เกียจทำงาน ชอบทำสันหลังยาว  เป็นผู้ที่ชื่อว่า  ฟื้นให้มี(รวย)ยาก

        สิ่งที่หนีไม่พ้น  ก็คือ  การเกิดเป็นทุกข์  การแก่เป็นทุกข์  การเจ็บเป็นทุกข์  และการตายเป็นทุกข์  ทุกคนต้องประสบเหมือนกันหมด  ผันแปรไปด้วยความไม่ตั้งมั่นอยู่กับที่ และไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง บังคับบัญชาไม่ได้  ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่สมมุติขึ้นมาทั้งสิ้น  เมื่อแยกธาตุแล้วก็ไม่เหลืออะไรไว้เลย  ไม่เว้นแม้แต่พระสงฆ์สามเณร

          สิ่งสำคัญที่ควรตระหนักหรือระลึกรู้อยู่ตลอดเวลาก็คือ สร้างแต่สิ่งที่ดีที่เป็นกุศล ให้กับชีวิตของเราอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น  อย่างน้อยก็เป็นเครื่องหล่อเลี้ยงจิตหรือเป็นหลักให้จิตได้ยึดก่อนตายและหลังจากตายไปแล้ว  ไม่กลัวที่จะต้องเดินทางไปสู่ภพภูมิใหม่เพราะอย่างไรเสียเราก็มีความอุ่นใจและมั่นใจได้ว่าเราจักไปสู่สถานที่ดีหรือสุคติแน่นอน 

 

 

หมายเลขบันทึก: 544450เขียนเมื่อ 2 สิงหาคม 2013 20:35 น. ()แก้ไขเมื่อ 16 สิงหาคม 2013 11:40 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (7)

-สวัสดีครับ

-ขอบคุณสำหรับข้อมูลนะครับ

 

...ขยายความได้ลึกซึ้งมากนะคะ"พี่หนาน"...ขอบคุณค่ะ

  • ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านและมอบดอกไม้ให้
  • คุณจัตุเศรษฐธรรม
  • อาจารย์ฤทธิไกร  มหาสารคาม
  • ขอบคุณคุณเพชรน้ำหนึ่ง หนุ่มน้อยสมองใสใส่ใจการบันทึกมากครับ
  • ขอบคุณอาจารย์ ดร.พจนา  แย้มนัยนา ที่ติดตามอ่านบันทึกของผมมาตลอด
  • ขอบคุณคุณกานดาน้ำมันมะพร้าวอีกท่านที่ให้ความสนใจ   

    วันเข้าพรรษาที่ผ่านมาครูดาหลาไปนั่งฟังเทศน์ที่วัด  ฟังก็จับใจความบ่ได้  ก็สงสัยว่าคนเฒ่าคนแก่เปิ้นนั่งฟังทุกๆวันพระเปิ้นหยังฮุ้เรื่อง    แต่พอมาอ่านบันทึกนี้ก็ฮู้เรื่องดี  สงสัยครูดาหลาคงต้องปรับตัวแถมนักถึงจะนั่งฟังธรรมได้ฮู้เรื่อง  จะมาอ่านธรรมะจากบันทึกของ"พี่หนาน" แถมเน้อเจ้า

สาธุ...พีหนาน น่าจะไม่สึกจะได้เป็นเนื้อนาบุญของโลก
       เป็นความโชคดีที่ได้พบปราชญ์ ขอความเจริญในธรรม

อ่านแล้วน่าสนใจมากครับ บางอย่างที่เราเห็น โดยไม่รู้ว่า ไร เป้นไร ก็ ไม่เข้าใจ แล้วปล่อยให้ความไม่เข้าใจเป็นอย่างนั้น ที่สุดเราก็ ไม่รู้และไม่เข้าใจ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท