รูปแบบหลักสูตร
หลักสูตรแต่ละรูปแบบนั้นจะแตกต่างกันตรงแนวความคิด หรือจุดมุ่งหมาย ซึ่งจากที่ผมได้ศึกษาหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ตก็จะการแบ่งหลักสูตรไว้ 8 รูปแบบดังนี้
1 หลักสูตรแบบเนื้อหาวิชาหรือแบบรายวิชา เป็นหลักสูตรแบบดั้งเดิมหรือหลักสูตรเก่าที่เน้นการถ่ายทอดเนื้อหาวิชาเป็นหลัก ต้องการให้ผูเรียนได้เรียนรู้เนื้อหาความรู้ต่างๆจะจัดไว้เพื่อถ่ายทอดอย่างมีระเบียบตามที่ผู้รู้ในแต่ละวิชาได้กำหนดไว้
2 หลักสูตรแบบสัมพันธ์วิชา เป็นหลักสูตรที่มีพื้นฐานมาจากหลักสูตรแบบรายวิชาเนื่องจากเมื่อนำหลักสูตรรายวิชาไปใช้การเรียนรู้ของผู้เรียนในแต่ละวิชาแตกแยกกันมากขึ้น ผู้เรียนนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ได้น้อย เพื่อแก้ปัญหานี้ จึงนำเนื้อหาวิชาต่างๆที่มีลักษณะคล้ายคลึง และมีส่วนเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันจัดไว้ด้วยกัน
3 หลักสูตรแบบหมวดวิชา หรือสหสัมพันธ์ หลักสูตรลักษณะแบบนี้จุดมุ่งหมายจะผสมผสานเนื้อหาวิชาที่มีลักษณะใกล้เคียงกัน หรือสาขาเดียวกัน ให้มีความสัมพันธ์ระหว่างวิชามากขึ้น ในลักษณะหมวดวิชา เช่น หมวดวิชาสังคมศึกษา ประกอบด้วยวิชาภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ หน้าที่พลเมือง ศีลธรรม เป็นต้น
4 หลักสูตรกิจกรรมและประสบการณ์ หลักสูตรลักษณะแบบนี้ต้องการแก้ไขข้อบกพร่องของหลักสูตรแบบรายวิชา ที่ไม่คำนึงถึงความต้องการและความสนใจของผู้เรียน หลักสูตรนี้จึงยึดเอากิจกรรม ความสนใจและประสบการณ์แวดล้อมมาเป็นแนวทางในการจัดลำดับประสบการณ์การเรียนรู้ เพื่อให้ผู้เรียนสามารถนำความรู้ไปใช้ได้ในชีวิตจริง โดยยึดปรัชญาพิพัฒนาการเป็นแนวทางด้านการวัดผลให้ความสำคัญกับการพัฒนาผู้เรียนมากกว่าปริมาณความรู้ความจำ โดยมีข้อดี คือ สนองความต้องการ และความสนใจของผู้เรียนเป็นการเรียนอย่างมีความหมาย เป็นต้น
5 หลักสูตรเพื่อชีวิตและสังคม หลักสูตรนี้ได้รับอิทธิพลจากแนวคิดปรัชญาพิพัฒนาการนิยม ของ จอห์น ดิวอี้ ซึ่งเชื่อว่าการเรียนรู้เกิดจากประสบการณ์ และประสบการณ์จะทำให้พฤติกรรมเปลี่ยนแปลง หลักสูตรนี้จะยึดเอาสังคมและชีวิตของเด็กเป็นหลัก เช่น การมีส่วนร่วมในวัฒนธรรมประเพณีของสังคมที่แวดล้อมอยู่โดยพยายามให้เนื้อหามีส่วนสัมพันธ์กับชีวิตเพื่อให้ผู้เรียนนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง เป็นต้น
6 หลักสูตรแกนกลาง หลักสูตรแบบนี้มีลักษณะผสมผสานเนื้อหาวิชาเพื่อที่จะตอบสนองความต้องการและความสนใจของผู้เรียน ส่งเสริมการเรียนที่มีความสัมพันธ์กับประสบการณ์ชีวิตของผู้เรียนของผู้เรียน หลักสูตรประกอบด้วยสิ่งที่ผู้เรียนต้องเรียนเป็นความรู้หนึ่ง และส่วนที่ใช้เลือกส่วนหนึ่ง หลักสำคัญอยู่ที่การจัดการเวลาเรียน และการจัดเนื้อหาให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้เรียนและขณะเดียวกันเน้นการเรียนรู้ทางวิชาการอย่างมีระบบ โดยมีข้อดี คือ มีการผสมผสานทางด้านการเรียนรู้และเนื้อหาวิชา มีความเกี่ยวพันกับชีวิตและความสนใจของผู้เรียน สนองความสนใจและความถนัดของแต่ละบุคคล เปิดโอกาสให้ผู้เรียนศึกษาค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเติมด้วยตนเอง
7 หลักสูตรแบบเอกัตภาพ หลักสูตรแบบนี้จัดเนื้อหาสาระของหลักสูตรไปตามความเหมาะสมและความต้องการของผู้เรียนแต่ละบุคคล การจัดหลักสูตรแบบนี้ขึ้นอยู่ดุลยพินิจของครูผู้สอนที่จะวิเคราะห์ความต้องการ ระดับสติปริญญา และความสามารถของผู้เรียนได้อย่างถูกต้อง จัดการเรียนการสอนอยู่ในรูปของการจัดชุดการเรียนให้ผู้เรียนได้ศึกษาและพัฒนาความสามารถของตนไปตามลำดับ มี ข้อดีคือ ผู้เรียนสามารถได้เรียนได้ด้วยตนเอง โดยมีครูคอยให้คำแนะนำปรึกษา ผู้เรียนยึดแนวการสอนที่จัดทำไว้ โดยไม่ต้องพบผู้สอนเป็นประจำ ผู้เรียนที่มีความสามารถสูงสามารถพัฒนาตนเองได้เต็มความสามารถ แต่มีข้อจำกัดที่ว่าความสัมพันธ์ในการรวมกลุ่มมีน้อย ผู้เรียนที่ ขาดความรับผิดชอบและไม่มีความซื่อสัตย์อาจจะไม่ได้ผลเต็มที่ การแก้ปัญหาต่าง ๆ กระทำได้น้อยและควรจะมาจากความคิดเห็นของกลุ่มมากกว่าคนเดียว
8 หลักสูตรบูรณาการ เป็นการผสมผสานเนื้อหาเข้าด้วยกัน ไม่แยกเป็นรายวิชาโดยพยายามรวมประสบการณ์ต่าง ๆ ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันโดยจะคัดเลือกตัดตอนมาจากหลาย ๆ สาขา แล้วมาจัดเป็นกลุ่มหมวดหมู่เพื่อให้นักเรียนได้ประสบการณ์ที่ต่อเนื่อง มีคุณค่าต่อการดำเนินชีวิตและพัฒนาตนเอง การบูรณาการเนื้อหาวิขาต่าง ๆ จะเน้นที่ตัวเด็กและปัญหาสังคมเป็นสำคัญการจัดการเรียนสอน มุ่งให้ผู้เรียนได้รับประสบการณ์ตรง และนำความรู้ไปใช้ในชีวิตประจำวัน จัดกิจกรรมให้สอดคล้องกับความสนใจและความต้องการ การวัดผลจะเน้นพัฒนาการทุกด้านโดยเฉพาะด้านความสามารถในการแก้ปัญหามีข้อดี คือ ช่วยให้ผู้เรียนมีประสบการณ์ต่อเนื่อง มีประโยชน์โดยตรงต่อการดำรงชีวิตเป็นหลักสูตรที่มีการผสมผสานกันอย่างดี
ซึ่งจะเห็นได้ว่าการกำหนดรูปแบบของหลักสูตรเป็นการพิจารณาเลือกและจัดเนื้อหาวิชาของวิชาของหลักสูตรให้สอดคล้องกับความมุ่งหมายของหลักสูตร โดยหลักสูตรแต่ละรูปแบบจะมีจุดมุ่งหมายโครงสร้างหลักสูตรที่แตกต่างกันออกไป เนื่องจากการสร้างหลักสูตรแต่ละครั้ง ต่างยุคต่างสมัย จึงต้องคำนึงถึงพื้นฐานที่ต่างกันด้วย และ ผมคิดว่าแต่ละรูปแบบนั้นมีความสำคัญและข้อดีที่แตกต่างกันไป โดยที่บางรูปแบบนั้นจะเน้นไปที่รายวิชา บ้างก็อยู่ที่ผู้เรียน หรือ สังคมสภาพแวดล้อม เป็นต้น ซึ่งผมคิดว่าถ้าเราจะเลือกรูปแบบไหนไปใช้อยากแรกจะต้องศึกษาให้เข้าใจถึงรูปแบบนั้นๆ ก่อนและอาจจะต้องดูจากสภาพของตัวผู้เรียนเองด้วยว่ามีพื้นฐานเป็นมาอย่างไร สังคมเป็นอย่างไร แล้วนำมาใช้ให้ถูกวิธี หรือเราอาจจะสื่อสารกับตัวผู้เรียนก่อนว่ามีความต้องการแบบไหน และเมื่อตรงกับความต้องการผู้สอนเองด้วย ก็อาจจะทำให้การเรียนการสอนเป็นไปในทางที่ดีได้มากขึ้นแน่ๆ
อ้างอิงจาก
http://course-4.blogspot.com/2010/07/blog-post_8214.html
http://netra.lpru.ac.th/~phaitoon/kedthip3/index.html
ถ้าใ้ห้สร้างหลักสูตรเอง คุณจะเลือกใช้รูปแบบไหน และเพราะอะไรคะ?
ผมจะเลือก หลักสูตรเพื่อชีวิตและสังคม เพราะผมคิดว่าในปัจจุบันสังคมหลายๆที่ได้เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงไปเร็วมาก และมีบางที่ ที่เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ไม่ดี ซึ่งผมคิดว่า ปัญหาตรงนี้อาจจะเกิดจากการที่เทคโนโลยีในปัจจุบันเช่นสื่อต่างๆบนอินเทอร์เน็ต(ทะเลาะกัน เสพสิ่งเสพติด เพศ) และเมื่อเด็กได้เข้ามาดู แล้วเกิดความคิดที่ผิด คิดจะทำตาม ขาดความรู้เกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ และยังรวมไปถึงประเพณีต่างๆที่เด็กๆเริ่มไม่สนใจ และเรื่องที่เกี่ยวกับศาสนาด้วย ผมจึงอยากที่จะเลือกหลักสูตรนี้เพื่อที่จะได้สอน และให้ความเข้าใจกับเด็กว่าสิ่งไหนถูกหรือผิดและ หลักสูตรนี้ยังยึดความต้องการและความสนใจของผู้เรียนเป็นหลัก ดังนั้นหลักสูตรเพื่อชีวิตและสังคมจึงยึดสังคมในชีวิตจริงที่เราคาดหวังไว้เป็นหลัก และรวมกับความต้องการความสนใจของตัวเด็กเป็นพื้นฐานอีกด้วย ซึ่งผมคิดว่าหลักสูตรนี้จะสามารถพัฒนาให้เด็กเป็นคนที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมได้ดีมากขึ้น