เมื่อรถน้องฉันได้ทำหน้าที่อย่างสมบูรณ์แล้ว สาวน้อยรีบเดินลงจากรถไปแคร่ใต้ต้นไม้ใหญ่ หน้าบ้าน เพื่อนั่งพิมพ์ข้อความทางโทรศัพท์ต่อ อย่างสบายอารมณ์เพราะสัญญาณอินเทอร์เน็ททางโทรศัพท์มาถึงบ้านยายแล้ว ตั้งแต่ปีกลายก่อนถนนคอนกรีตอย่างดีเข้าหมู่บ้าน
ฉันเดินออกจากใต้ถุนบ้าน ชวนสาวน้อยไปตกปลา
“ไม่ว่าง หนูจะแช็ทกับเพื่อน” สาวน้อยอิดออดอย่างรำคาญ
“ไปเที่ยวเถอะ ที่แม่น้ำสัญญาณก็มี เล่นเน็ทได้ ไปนั่งเป็นเพื่อนน้าหน่อย ” แม่สำทับ
สาวน้อยเดินไปอย่างไม่เต็มใจ ตาก็จ้องมือถือตลอดเวลา น้าชายพยายามชวนให้ชื่นชมธรรมชาติข้างทาง แต่สาวน้อยไม่สนใจเดินก้มหน้าไปเรื่อยกับโทรศัพท์
จนถึงกองกรวดหินริมน้ำ สาวน้อยผู้หมกหมุนกับมือถือ เดินสะดุดก้อนหิน ทันใดนั้นมือถือเครื่องใหญ่ได้ผลัดหลุดจากมือน้อยๆ ทันที
……………………………………………..
“โครม”
เสียงโวยวายดังมาจากกลุ่มนักศึกษาริมถนนข้างแปลงเกษตร ภาพที่ฉันเห็นจากใกล้ นักศึกษาสาวล้มลงขาถลอก มือถือกระเด็นวางอยู่อีกทาง พร้อมรถจักรยานยนต์ที่ล้มข้างคู่กรณี ภาพอะไรช่างเหมือนกับภาพเก่าๆ ในใจฉัน
.....................................................................
“แป๊ก!”
มือถือตกกระแทกโขดหินในน้ำ “ตายแล้วมือถือของหนูตกน้ำ”
สาวรีบลงไปในลำธารอย่างไม่กลัวเปียก คว้าขึ้นมาพร้อมน้ำตาสองข้างแก้ม
“ฮือๆ มือถือของหนูจะเสียไหมเนี่ย ฮือๆ น้าช่วยดูให้ที”
ฉันรีบคว้าเอาโทรศัพท์จากมือสาวน้อย มาเช็คให้แห้งด้วยชายผ้าขาวม้าที่เหน็บไว้ข้างเอวอย่าง ขะมักขะเม้น จอเครื่องเจ้ากรรมได้ดับไปแล้ว พยายามเปิดหลายเท่าไร ก็เปิดไม่ติด
สาวน้อยร้องไห้อย่างไม่มีวี่แววจะหยุด ปากก็พร่ำโทษฉันเป็นหนักเป็นหนาว่า
“พาหนูมาโทรศัพท์เลยตกน้ำเสียแล้ว ต้องซื้อให้หนูใหม่ด้วย” ฉันปลอบเท่าไรก็ไม่หยุดฉันพยายามปลอบประโลมว่าจะเอาซ่อมให้ในเมือง พรุ่งนี้เช้า สาวน้อยยังไม่ยอมหยุด ร้องว่า “เสียแล้ว ซ่อมไม่ได้ ต้องซื้อใหม่ๆ”
ฉันจึงต้องสวมบทครูอีกครั้ง พยายามเริ่มอธิบายว่า “ของได้มายาก ควรรักษาและห่วงแหน เสียก็ต้องซ่อมเสียก่อน ไม่ใช่จะเอาแต่เครื่องใหม่” สาวน้อยพยักหน้าแต่ไม่มีท่าทีหยุดร้อง
ในที่สุดฉันก็ยอมจำนนเลยสัญญาว่าจะซื้อให้ใหม่รุ่นใหม่กว่าเดิม ถ้าซ่อมไม่ได้ สาวน้อยเลยหยุดร้อง แต่ยังคงสะอึกสะอื้น และตามต้อยๆไปดูฉันตกปลาต่อ เมื่อสาวน้อยไม่มีมือถือแล้ว ก็เริ่มจะพูดคุยกับฉันมากขึ้นระหว่างนั่งตกปลา นั่งไปซักพักก็เริ่มก่อกวนให้ฉันสอนตกปลา และขอฉันไปเล่นน้ำใกล้ๆ อย่างสนุกสนาน จนเปียกชุ่มไปทั้งตัว ฉันก็ไม่ได้เอ็ดว่าอะไรแต่อย่างไร
พอใกล้เย็นก็พากันเดินกลับบ้าน แวะเก็บผลหมากรากไม้ตามทาง สาวน้อยก็เป็นลูกมือช่วยฉันเก็บ
จนเย็นเกือบค่ำ สาวน้อยกับฉันก็ถึงบ้าน นำของที่ได้ไปส่งให้แม่ในครัวทำกับข้าวมื้อเย็น
ส่วนสาวน้อยเดินไปชวนพี่สาวมาอาบน้ำด้วยกัน เสร็จแล้วไปนั่งรอบนบ้านยกพื้น ทานข้าวเย็นพร้อมสมาชิกทุกคน ในบ้าน คุยกันอย่างออกรส
หลังมื้อเย็นก็นั่งชมทีวีต่อกับสมาชิกบนบ้าน ไม่ทันจบรายการสามทุ่ม สาวน้อยก็หลับหน้าทีวี เพราะหมดแรงจากการเดินทางและไปนั่งตกปลากับน้า จนแม่ต้องปลุกให้ไปนอนมุ้งที่กางรอไว้เรียบร้อย จบไปอีกหนึ่งวันกับชีวิตสาวน้อยชาวกรุงในวิถีชีวิตชนบทไทย
................................................................................
ฟ้าเริ่มพลบค่ำ นักศึกษาเลิกงานกันเกือบหมด ทิ้งไว้แต่แปลงเกษตรที่ร้างลาผู้คน ฉันก็ลุกเดินเข้าบ้าน ใจก็คิดถึงวันก่อนแยกจากหลานสาวของฉัน พร้อมถามว่า “ หลานไม่มีมือถือเล่น แต่อยู่กับน้าสนุกไหม” สาวน้อยตอบอย่างหน้าตาเบิกบาน “สนุกคะ” ฉันก็เลยพูดต่อว่า “หลานจำไว้นะ ความสุขไม่จำเป็นต้องได้จากมือถือเท่านั้น ความสุขหาได้จากทุกสิ่งรอบข้าง” หลานสาวต่ออย่างชัดถ้อยชัดคำ “ค่ะ”
.................................................
ความคิดของฉันพลันเป็นห่วงหลานสาวตัวน้อยโตมาท่ามกลางโลกความสวยงามแห่งเทคโนโลยี เกิดสุขจากโลกแห่งสิ่งปรุงแต่งสรรสร้าง ทุกสิ่งย่อมต้องมีค่าตอบแทนแลกมา ตีค่าความมากน้อยทางสังคม แต่หลานสาวของฉันก็ยังรู้จักสุขจากธรรมชาติเกิดได้ทันทีไม่ต้องมีสิ่งแลกเปลี่ยน แม้จะเป็นระยะเวลาสั้น แค่นี้หรือจะเป็นภูมิคุ้มกันให้สาวน้อยกลางกรุงศิวิไลได้หรือ
ความสุขเล็กๆ จากสิ่งง่ายๆ แสนจืดชืดที่ไม่ต้องแลกกับสิ่งใด หรือจะสู้แสงสีความสวยงามตื่นตาของเทคโนโลยี
หากหลานสาวฉันและพวกเราตั้งใจมองสิ่งต่างๆ รอบตัวอย่างมีสติและมีจิตนาการ ความสุขก็เกิดขึ้นได้ทันที เป็นโลกส่วนตัวที่น่าภิรมย์ จากสิ่งที่แสนจะธรรมดา
ขอบคุณที่นำแบ่งปัน ..ชีวิตมีอะไรตั้งมากมาย การเรียนรู้ทักษะชีวิต จะพบสัจจะแห่งชีวิต
สวัสดีค่ะดร.จักรกริช...เป็นน้าที่ใจดีรักหลานนะคะ...และหลานก็น่ารักเชื่อฟังน้า...ขอบคุณค่ะ