สุข สงบ ด้วย “อริยมรรค...”


เราทุก ๆ คนน่ะต้องการความสุขความสงบ เราจะทำอย่างไรเราถึงจะเกิดความสุขความสงบ ความสบายกายความสบายใจ


พระพุทธเจ้าท่านเมตตาตรัสบอกเราว่า สมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ มีอยู่ในอริยมรรคองค์ ๘ อันเป็นหนทางที่ประเสริฐซึ่งจะนำเราไปสู่ความสุขความดับทุกข์ได้

มรรคก็ได้แก่หนทางประเสริฐ หรือว่าข้อวัตรปฏิบัติในชีวิตประจำวันของเราทุก ๆ คน ที่เราจะมีความสุข ที่เราจะมีความทุกข์ ก็ล้วนแต่มาจาก “กรรม” คือการกระทำของเราเอง

ในชีวิตประจำวันของเราทุก ๆ คนที่จะถึงความสุขความดับทุกข์ได้ เราต้องปฏิบัติตามอริยมรรค เลือกทำเลือกปฏิบัติแต่สิ่งที่ดี ๆ มันไม่อยากทำก็ต้องทำ ไม่อยากปฏิบัติ  ก็ต้องปฏิบัติ

ปัญหาต่าง ๆ ในโลกนี้ที่มันมีหรือไม่มีน่ะล้วนแต่มาจากกายวาจาใจของเราทั้งนั้น  แต่เราทุก ๆ คนน่ะมันยังไม่มองออกมองไม่เห็น แล้วยังมีความเข้าใจผิด การกระทำของเรามันถึงทั้งทำผิดทำถูก ผสมระคนปนเป เค้าถึงเรียกว่าคน ทำทุกอย่างทั้งดีทั้งชั่ว ทั้งบาปทั้งบุญ

พระพุทธเจ้าท่านตรัสพุทธภาษิตที่เป็นหลักตายตัว สัพพะปาปัสสะ อะกะระณัง  การไม่ทำบาปทั้งปวง กุสะละสูปะสัมปะทา การทำกุศลให้ถึงพร้อม สะจิตตะปะริโยทะปะณัง การชำระจิตของตนให้ขาวรอบ

คนเรามันมีความอยากมากมีความต้องการมาก มันไม่มีสติยับยั้งชั่งจิตชั่งใจนะ  ถ้าเป็นรถนี่ก็อะไรก็ดีหมด แต่ว่าเบรกไม่ดี ยิ่งคนสมัยใหม่คนรุ่นใหม่ทุกวันนี้ยิ่งเบรกไม่มีนะ สมาธิไม่มี ในชีวิตประจำวันจิตใจไม่มีความสุข เผาตัวเองอยู่ตลอดเวลา เค้าเรียกว่าตกนรกทั้งเป็น เพราะว่าความคิดความเห็นนี้มันมากแต่สมาธิน่ะมันน้อย ปัญญากับสมาธิมันไม่  สมดุลกัน มันก็เลยควบคุมตัวเองไม่ได้ จิตใจเลยถูกเผาทั้งเป็น

พระพุทธเจ้าท่านถึงให้เราทุกคนฝึกสมาธิ ฝึกปล่อยวางสิ่งภายนอก เรื่องธุรกิจหน้าที่การงาน ลาภยศสรรเสริญ เรื่องดีเรื่องชั่ว เรื่องได้เรื่องเสียต้องปล่อยวางให้หมด แม้แต่ขันธ์ ทั้ง ๕ ของเรานี้ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็ต้องปล่อยวางหมดน่ะ ถ้ามันยังไม่เป็นเราถึงต้องมาฝึก ฝึกให้สมองมันว่าง ฝึกให้ใจของเรามันสงบ ธรรมชาตินี้สร้างสรรค์ให้เราทำงาน ให้เราทานอาหาร ให้เราได้พักผ่อน ธรรมชาติเค้าบริสุทธิ์ ดีทุกอย่าง แต่เรามันฝึกพักผ่อนยังไม่เป็น ฝึกปล่อยฝึกวางยังไม่เป็น


ในสังคมโลกเจริญ วัตถุเจริญ ล้วนแต่พากันเป็นโรคประสาทเป็นโรคจิตกันเยอะ เพราะว่าไม่ได้ฝึกจิตใจสงบ ไม่ได้ฝึกจิตใจปล่อยจิตใจวาง

เราเกิดมาเราก็ไม่ได้เอาอะไรมา เมื่อเราละสังขารเราก็ไม่ได้เอาอะไรไป สิ่งที่เรามาทุกข์มายากมาลำบากอยู่ในเรื่องจิตเรื่องใจนี้ล้วนแต่เป็นความหลงทั้งนั้นนะ พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าอย่างนั้น

ผู้ที่มีเงินมาก มีชื่อเสียงเกียรติยศมาก ถ้าไม่รู้จักทำใจให้สงบมันก็สู้คนที่เค้ายากจน  แต่เค้ารู้จักทำใจให้สงบไม่ได้นะ เพราะความสุขความดับทุกข์มันอยู่ที่ใจสงบ เราจะทานข้าวก็เพื่อใจสงบ ทานข้าวก็เพื่อให้ใจสงบ อาบน้ำก็เพื่อให้ใจสงบ ทำอะไรก็เพื่อให้ใจสงบ ความสุขที่ปราศจากความสงบนั้นเป็นความสุขที่เร่าร้อนนะ เช่นความสุขที่ได้ดูหนังฟังเพลง เล่น เที่ยวอย่างนี้แหละ เป็นความสุขที่ประกอบด้วยยาพิษ

ที่เรามีโอกาสได้มาอยู่วัดมาปฏิบัติธรรมนี้ พระพุทธเจ้าท่านสอนพวกเราให้พากัน  ฝึกสมาธิ พยายามอยู่กับตัวเองทุก ๆ อิริยาบถ ไม่ให้อยู่กับการพูดการคลุกคลี พระพุทธเจ้าท่านยังตรัสคำสอนไว้ว่า “ธรรมเหล่าใดเป็นไปเพื่อคลุกคลีในหมู่คณะ ธรรมเหล่านั้นไม่ใช่คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า”


พระพุทธเจ้าท่านสอนเราให้มีสติสัมปชัญญะให้สมบูรณ์ พยายามอยู่กับตัวเอง  เราเดินเราก็อยู่กับตัวเอง นั่งก็อยู่กับตัวเราเอง นอนก็อยู่กับตัวเราเอง เราทำการทำงานก็พยายามอยู่กับตัวเอง

การถือกัมมัฏฐานการเข้ากัมมัฏฐานคือการมาอยู่กับตัวเอง มารู้ตัวเอง พยายามปล่อยพยายามวางสิ่งภายนอก

คนเรามันคิดโน่นคิดนี่ สงสัยโน่นสงสัยนี่ เพราะอะไร...? เพราะใจมันไม่สงบ  ถ้าใจสงบแล้วมันไม่สงสัยอะไรหรอก

คนเรามันมีเรื่องมากมีปัญหามากเพราะอะไร...? ก็เพราะใจมันไม่สงบ

ปัญหาของเราทุกคนก็คือต้องทำใจให้สงบ พยายามสนใจเรื่องสมาธิ เรื่องทำใจให้สงบ เรื่องปัญญาไว้ก่อน เอาใจสงบก่อน เราอย่าไปพากันกลัวปัญญาไม่เกิด

คนเราน่ะอยู่กับเพื่อนกับฝูง อยู่กับการทำงาน แล้วไม่มีโอกาสได้อยู่กับตัวเองเลย

ทำไมคนเราถึงกลัวจน...? เพราะใจมันไม่สงบ

ทำไมถึงกลัวตาย...? ก็เพราะใจมันไม่สงบ

ทำไมคนเรามันถึงกลัวผี..? ก็เพราะใจมันไม่สงบ ใจของเราเต็มไปด้วยสิ่งภายนอกเต็มเปี่ยมไปด้วยความคิดความปรุงแต่ง

พระพุทธเจ้าพระอรหันต์น่ะท่านไม่ตื่นเต้นกับอะไรที่จะเกิดขึ้น อะไรที่จะตั้งอยู่ หรือว่าอะไรที่จะดับไป ท่านไม่ตื่นเต้นเพราะว่าใจท่านสงบ

ที่เราก็อยากไปเที่ยวโน่นเที่ยวนี่อะไร อย่างนี้มันเป็นเพราะอะไร...? ก็เพราะว่าใจ  ของเราไม่สงบ

อยู่ในครอบครัวของเรามันมีปัญหาน่ะเพราะอะไร...? ก็เพราะใจของเราไม่สงบนะ

ในที่ทำงานของเราก็เหมือนกันมันมีปัญหาเพราะอะไร...? ก็เพราะว่าใจของเราไม่สงบ

พระพุทธเจ้าท่านให้เรามาแก้ที่จิตที่ใจของเรา เพราะว่ามนุษย์ก็แปลว่าผู้ประเสริฐ มนุษย์ก็แปลว่าผู้ไม่มีทุกข์ มนุษย์ก็แปลว่าผู้ทำแต่ความดี มนุษย์แปลว่าผู้รู้จักรู้แจ้ง  “เรื่องใจสงบนี้ถึงเป็นสิ่งที่ดีมากเป็นสิ่งที่สำคัญมาก...”

อริยมรรคมีองค์ ๘ ส่วนใหญ่เราก็ยังไม่เข้าใจนะ เราคิดว่าการประพฤติปฏิบัติคือการ  ทำวัตรสวดมนต์นั่งสมาธิเดินจงกรม


“การประพฤติการปฏิบัติต้องมีอยู่ในเราทุก ๆ การกระทำนะ”

ที่เรามีปัญหาต่าง ๆ น่ะ ก็เพราะเรามีปฏิปทาที่ขาดตกบกพร่องที่มันไม่ดีไม่ถูกต้อง เวลาเราไปทำงานอย่างนี้เราก็ไม่ได้ทำใจเลย เวลาเราพูดอยู่นี้เราก็ไม่ได้ทำใจเลย เราเลยมีความบกพร่องในการประพฤติปฏิบัติในชีวิตของเรา

แล้วเราก็มีความเข้าใจผิดว่า... “ถ้าเราปฏิบัติตามอริยมรรคน่ะมันไม่ได้ มันขัดกับการดำรงชีพ ขัดกับการทำมาหากิน.!เราคิดอย่างนั้นน่ะเราคิดไม่ถูก

ครั้งพุทธกาล... เค้าเป็นญาติโยมเค้าเป็นประชาชนน่ะเค้าเป็นพระอริยเจ้ากัน  เยอะแยะเลย พระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี เค้าอยู่ในบ้านในเมืองในสังคม ครอบครัวเค้าก็มีความสุข ในสถาบันเค้าก็มีความสุข

เราจะไปโทษคนโน้นเค้าไม่ปฏิบัติคนนี้เค้าไม่ปฏิบัติ เราไปคิดอย่างนั้นมันไม่ได้หรอก เรื่องของเราเราก็หายใจเอาเอง เรื่องคนอื่นเค้าก็หายใจของเค้าเอง ทานอาหารพักผ่อนเอง  ถ้าเราคิดว่าคนอื่นเค้าไม่ทำไม่ปฏิบัติ เราคิดอย่างนั้นน่ะเราก็เป็นคนพาล เป็นคนอันธพาล  ไปจับผิดคนอื่น ไปเอาดีเอาชั่วคนอื่น เป็นบุคคลตื่นตูมหรือว่าตื่นข่าว แล้วแต่เพื่อนฝูงจะพาไป แล้วแต่สังคมจะพาไป ไม่มีสติสัมปชัญญะ ไม่เป็นตัวของตัวเอง

ถ้าเราทุก ๆ คนแก้ตัวเองได้น่ะ สิ่งภายนอกถึงมันจะมีปัญหาเราก็ไม่มีปัญหา ก็ชื่อว่าเราเกิดมาเพื่อสร้างความดี เพื่อสร้างบารมี เพื่อเสียสละ

ในครอบครัวของเราน่ะ เรามีคุณพ่อคุณแม่ มีลูกมีหลาน ถ้าเรามาแก้ที่เรา มาปฏิบัติที่เรา ให้ปฏิบัติตามศีลตามธรรม ตามข้อวัตรปฏิบัติที่พระพุทธเจ้าสอนนี้ทุกสิ่งทุกอย่าง  มันจะมีความสุขมีความดับทุกข์ของมัน

มนุษย์เราทุกวันนี้กำลังจะสร้างความพินาศ ความวิบัติให้กับตัวเองแล้วก็ญาติพี่น้อง  วงศ์ตระกูลด้วยการไม่ได้ฝึกจิตฝึกใจ ไม่ได้รักษาศีลทำสมาธิเจริญปัญญาแก้จิตแก้ใจของตัวเอง พระพุทธเจ้าท่านดู ๆ ไปแล้วถึงแม้ว่าเราจบ ดร.หลายใบ เป็นผู้เชี่ยวชาญต่าง ๆ นั้น มันก็แก้ปัญหาไม่ได้ มันดับทุกข์ไม่ได้ ดับได้ก็แค่ภายนอกชั่วครูชั่วยาม แต่เรื่องจิตเรื่องใจมันดับทุกข์ไม่ได้

ญาติโยมประชาชนน่ะมีความเข้าใจผิดคิดว่าตัวเองเป็นโยมเป็นฆราวาส ไม่มีโอกาสที่จะได้บรรลุธรรม นี้เป็นความเข้าใจผิดนะ “แล้วจะพากันวิ่งไปแต่ทางโลกทางวัตถุอย่างเดียวเนี่ยฉิบหายแน่ พินาศแน่ล่ะ...!

ธรรมะไม่กลับมา โลกาย่อมพินาศ... โลกมันจะพินาศเพราะเราไม่นำจิตใจของเราปฏิบัติธรรม

เราก็รู้ เราก็เห็น เราก็ได้ยินในชีวิตประจำวันมีแต่สิ่งที่มันไม่น่าจะได้ยิน ไม่น่าจะได้ฟัง  มีแต่สิ่งที่ไม่ดีทั้งนั้น ที่ทุก ๆ คนวิ่งตามวัตถุถึงพากันสร้างบาปสร้างกรรมสร้างเวร

พระพุทธเจ้าท่านให้เราปรับปรุงตัวเองว่าเราบกพร่องที่ไหน ต้องปรับที่ใจของเรา  ที่วาจาของเรา ที่การกระทำของเรา ต้องปรับที่นี่แหละ อย่าไปปรับที่อื่น ถึงแม้เราจะเคยทำ ถึงแม้เราจะเคยชินเราก็ต้องปรับกายวาจาใจของเรา

อดีตที่มันแล้วก็แล้วไปมันแก้ไขไม่ได้ มันจะดีก็แก้ไขไม่ได้ จะชั่วก็แก้ไขไม่ได้

พระพุทธเจ้าท่านให้เราตัดทิ้งอดีตให้หมด แม้แต่มันผ่านไปวินาทีหนึ่ง สองวินาที  สามวินาทีก็ให้ทิ้ง พัฒนาตัวเองให้มันดียิ่ง ๆ ขึ้นไป เราอย่าไปติดในดีในชั่ว เราก็ตั้งมั่นทำความดีของเราไปเรื่อย ๆ ฝึกจิตใจของเราให้มันมีสติสัมปชัญญะ พัฒนาตัวเองเข้าหาธรรมะ เข้าหาความเป็นพระอริยเจ้าน่ะ โดยที่ไม่ต้องให้ใครมาแต่งตั้ง


ถ้าเราประพฤติปฏิบัติใจของเรามันก็จะสบายเอง ใจของเรามันก็จะสงบเอง เราก็ไม่ต้องไปตามหาอะไรที่ไหนแล้ว ปัจจัตตังเวทิตัพโพวิญญูหีติ ผู้ประพฤติปฏิบัติก็ย่อมรู้ได้ด้วยตนเอง

ถ้าใครไม่ทิ้งอดีตเค้าเรียกว่าเป็นคนบาปนะ เป็นคนติด เป็นคนยึดคนถือ

เรื่องอนาคตเราไม่ต้องวิตกกังวลจนนอนหลับไม่สนิท มันเผาตัวเองทั้งนั้น เราพยายามทำให้ดีที่สุดในปัจจุบัน ให้ใจของเราสงบ ให้ใจของเราดีใจของเราสบาย เน้นที่ปัจจุบันนี้แหละ สมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ มันอยู่ตรงนี้แหละ

ทุกคนต้องทำได้ทุกคนต้องปฏิบัติได้  ถ้าเราปฏิบัติถูกต้องมันก็ไม่ง่ายมันก็ไม่ยาก  แต่เป็นสิ่งที่ทำได้แล้วก็มีประโยชน์

ทุกคนน่ะแก่ไปทุกวัน เฒ่าไปทุกวัน ร่างกายมันก็ทรุดโทรมไม่แข็งแรง โรคภัยไข้เจ็บ ต่าง ๆ นานามันก็มีมากขึ้น สิ่งภายนอกมันเป็นสิ่งที่แก้ได้บ้างไม่ได้บ้าง เรามาแก้ที่จิตที่ใจของเรานี้แหละ ต้องทำใจของเราให้สงบให้ได้ ทำใจของเราไม่มีทุกข์ให้ได้ ต้องแยกกายส่วนที่มันเจ็บออกจากใจ กายมันเรื่องเจ็บเรื่องปวดมีโรคภัยไข้เจ็บ แต่ใจน่ะมันเป็นของว่างเปล่า

ต้องรู้จักแยกรู้จักแยะ คนเรามันทิฏฐิมานะเยอะ อัตตาตัวตนเยอะ มันจะไปเปลี่ยนแปลงสัจธรรม เปลี่ยนแปลงความจริง ไม่อยากให้มันแก่ ไม่อยากให้มันเจ็บ ไม่อยากให้มันตาย แล้วก็แถมยังอยากไปให้คนโน้นเป็นอย่างโน้น คนนี้เป็นอย่างนี้ มันล้วนแต่นำ  ความทุกข์มาให้เราทั้งนั้น มันเป็นสิ่งจำเป็นที่เราจะต้องฝึกต้องปล่อยต้องวาง

ทุกคนยินดีขอให้ไม่เจ็บไม่ป่วยอายุยืน รูปสวยรูปหล่อแล้วรวย ดีใจ อย่างนี้แหละ  ความสวยที่แท้จริงมันอยู่ที่ใจนะ ถ้าใจสงบมันถึงเป็นคนสวย ถ้าใจสงบแล้วมองอะไรมันก็ดี ไปหมด สวยหมด งามหมด รื่นรมย์หมด ถ้าใจสงบแล้วมันก็รวยหมดน่ะ ถ้าใจสงบมันก็เข้าถึงพระนิพพาน

ให้ทุกท่านทุกคนเน้นมาหาเรื่องจิตเรื่องใจนะ อย่าไปเน้นเรื่องทางกาย ถ้าอย่างนั้นจิตใจของเราจะมีความสับสนเน๊อะ

พระพุทธเจ้าท่านเสด็จดับขันธปรินิพพาน พระอานนท์เป็นพระโสดาบัน ร้องห่มร้องไห้เสียใจ ยืนจับกิ่งไม้พิลัยรำพรรณว่าพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว

เรื่องความหวั่นไหวนี้แหละถ้าเราไม่พากันฝึกมันก็หวั่นไหวอย่างนี้ตลอด...

เดี๋ยวก็ข่าวน้ำท่วม เดี๋ยวก็ข่าวแผ่นดินไหว ข่าวเค้ารบกันระเบิดกัน ฆ่ากัน ประพฤติมิดีมิร้ายกัน ข่าวทั้งโยมข่าวทั้งพระอะไรอย่างนี้ จิตใจของเราก็หวั่นไหว แม้แต่พระอานนท์เป็นพระโสดาบันแล้วก็ยังหวั่นไหว แต่สำหรับพระขีณาสพแล้วอะไรจะเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป  ท่านก็ฝึกสงบของท่านอยู่ เราอย่าไปหวั่นไหว อยากให้กลางวันเป็นกลางคืนก็เป็นไปไม่ได้ อยากให้น้ำมันไหลขึ้นภูเขาก็ไม่ได้ มีแต่น้ำมันไหลลงจากภูเขาอย่างนี้แหละ


ทุกสิ่งทุกอย่างน่ะ เราต้องทำใจให้สงบหมด อย่าให้มันวิพากษ์วิจารณ์ อย่าให้มันสรรเสริญ อย่าให้นินทาคนอื่นเค้า

การไม่ทำบาปทางกายบางทีก็ทำบาปทางวาจานะ บางทีก็ทำบาปทางใจ เพราะใจไม่สงบ ใจมันหวั่นไหว

ในชีวิตประจำวันของเรานี้ต้องพยายามแก้ที่จิตที่ใจ ไม่ว่าอะไรที่มันจะมาเกิดขึ้นกับเรา ไม่ว่าเรื่องดีเรื่องร้ายเรื่องได้เปรียบเสียเปรียบเรื่องชอบไม่ชอบก็แล้วแต่อะไรจะเกิดขึ้น  ให้ทำใจให้มันสงบให้ได้ ชีวิตของเราถึงจะเข้าความสงบความดับทุกข์ได้ในชีวิตประจำวัน  ถือว่าเราได้เดินตามหนทางที่ประเสริฐ อริยมรรคมีองค์ ๘ ที่พระพุทธเจ้าท่านทรงบอก ท่านสอนเราให้ทุกคนเข้าถึงด้วยการประพฤติปฏิบัติ ทุกคนรู้แล้วเข้าใจแล้วก็ตั้งใจประพฤติปฏิบัติ

ถ้าเราปฏิบัติอย่างนี้ชื่อว่าเราเดินตามรอยของพระพุทธเจ้า ไม่ว่าเราจะเป็นพระเป็นโยมเราก็ดับทุกข์ได้ เข้าถึงความสงบได้

ทุกคนนั้นน่ะปฏิบัติได้นะ ยิ่งปฏิบัติไปก็ยิ่งมีความสุข มีความดูดดื่ม พยายามสร้างศรัทธา สร้างความเห็นให้ถูกต้องว่าชีวิตนี้เราเกิดมาเพื่อทำความดี เกิดมาเพื่อสร้างบารมี  เพื่อมาเดินตามรอยของพระพุทธเจ้า เพราะว่าการเวียนว่ายตายเกิดนี้มันเป็นของมีปัญหามาก มันมีความทุกข์จริง ๆ ไม่ใช่มีความทุกข์เล่น ๆ นะ

เรามองเห็นหน้ากันนี่นะ หน้าตาดี ๆ แต่งตัวดี ๆ แต่ละท่านแต่ละคนมีแต่ความทุกข์ทั้งนั้น ไม่มีใครไม่มีทุกข์ แต่ละคนน่ะมีเรื่องตั้งหลายอย่าง มันมีปัญหาเยอะ เรื่องลูก  เรื่องหลานอะไรต่าง ๆ มีแต่พระนิพพานน่ะที่มันไม่มีปัญหานะ

การบรรยายพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวันนี้ก็พอเห็นสมควรแก่เวลาขอสมมุติไว้แต่เพียงเท่านี้

ด้วยบุญญาบารมีของพระพุทธเจ้า ของพระธรรม ของพระอริยสงฆ์ ให้ทุกท่านทุกคนจงได้บรรลุธรรม เข้าถึงความสงบที่แท้จริงด้วยกันทุกท่านทุกคนเทอญ...


พระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ที่องค์พ่อแม่ครูอาจารย์เมตตาให้นำมาบรรยาย

ค่ำวันที่ ๑๔ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๖


หมายเลขบันทึก: 539755เขียนเมื่อ 18 มิถุนายน 2013 22:21 น. ()แก้ไขเมื่อ 18 มิถุนายน 2013 22:30 น. ()สัญญาอนุญาต: ไม่สงวนสิทธิ์ใดๆจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

สาธุ. สาธุ สาธุ. ค่ะพระอาจารย์

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท