ให้โอวาทคณะโรงพยาบาลพระพุทธบาท


คณะโรงพยาบาลพระพุทธบาทได้พากันมาประพฤติปฏิบัติธรรมเพื่อสร้างความดีสร้างบารมีเรื่องคุณธรรม วันนี้ก็ถึงเวลาเดินทางกลับบ้านกลับโรงพยาบาล


ชีวิตของทุก ๆ นี้จะมีความสุขต้องตั้งอยู่บนรากฐานแห่งการประพฤติปฏิบัติธรรม  เป็นการเตรียมชีวิตวางแผนชีวิต พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าดีมาก เป็นการตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ความดี ความถูกต้อง ความสุจริต เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ทุกท่านทุกคนเข้าหาความดับทุกข์ ทั้งทางกายและทางใจ

ปัญหาต่าง ๆ นั้นล้วนแต่เกิดจากเราทั้งหมดทั้งสิ้น ถึงแม้จะมีสิ่งอื่นสิ่งภายนอก  มาเกี่ยวข้องมันก็ล้วนแต่เกิดจากเราทั้งสิ้น ถ้าเราเป็นคนดีนิสัยดี ขยันอดทน ประหยัด  ไม่ฟุ่มเฟือย เป็นผู้ที่มีศีล ทุก ๆ คนก็จะเข้าถึงความสุขความดับทุกข์ได้ ถ้าเราเป็นคนไม่ขยันไม่อดทน ทุก ๆ คนย่อมไม่มีความต้องการเรา รังเกียจเรา ถ้าเราเป็นคนไม่ประหยัด หลงวัตถุ  ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย เป็นผู้ที่ทะยานอยากทางวัตถุ ไม่เป็นผู้ที่รู้จักทำให้เป็นคนพอเพียง เศรษฐกิจพอเพียงก็ย่อมเป็นหนี้เป็นสิน นำความทุกข์ นำความยาก นำความลำบากมาให้แก่ตัวเองตลอดถึงครอบครัว

ถ้าเราเป็นคนมีศีลน่ะ ทุกคนก็รักเคารพนับถือไว้วางใจ อยู่ในสถานพยาบาล  อยู่ในครอบครัว หรืออยู่ในองค์กรต่าง ๆ ทุก ๆ คนล้วนแต่ต้องการคนมีศีล ผู้ที่อดทนในการรักษาศีล ชื่อว่าเป็นผู้ที่เพิ่มเรทติ้งในอาชีพให้กับตัวเอง

เราเป็นพยาบาล ชีวิตของเราน่ะเกี่ยวข้องกับผู้ป่วย ผู้ที่มีความทุกข์ทั้งทางกาย  มีความทุกข์ทั้งทางใจ ทำอย่างไรใจของเราจะสบาย ใจของเราจะไม่มีทุกข์...?

อาชีพพยาบาลเป็นอาชีพที่ได้บุญได้กุศลมาก ให้ทุกท่านทุกคนถือโอกาสบำเพ็ญบุญบำเพ็ญกุศลนะ ถือว่าทุกคนเป็นญาติพี่น้องเกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น

ทุก ๆ คนน่ะต้องเจริญเมตตาให้มาก ๆ เจริญเมตตาให้พิเศษ สงสารคนป่วย  สงสารญาติของผู้ป่วย ทุกคนไม่อยากแก่ไม่อยากเจ็บไม่อยากตาย แต่มันเป็นสมบัติของทุก ๆ คนที่เกิดมา ทุกคนจะหลีกหนีไปไม่พ้น เราต้องดูแลผู้ป่วยทั้งกายและดูแลทั้งจิตใจของผู้ป่วย ฝึกพูดดี ๆ พูดเพราะ ๆ ฝึกกิริยามารยาทให้ดี ๆ

พยาบาลก็เปรียบเสมือนแม่ที่คอยดูลูก ๆ ดูหลาน ๆ ให้ความสุขทั้งทางกายให้ความสุขทั้งทางใจ แล้วก็อย่าพากันลืมเรื่องจิตเรื่องใจของตัวเองนะ เพราะเราเกี่ยวข้องกับคนป่วย  คนทุกข์ยากลำบากทั้งกายทั้งใจ เราจะคอยเป็นทุกข์กับเค้า ให้ถือเอาโอกาสถือเวลาเพื่อจะพัฒนาจิตพัฒนาใจของตัวเอง ฝึกทำใจให้สบายในปัจจุบัน แล้วก็ฝึกปล่อยวางจิตใจในปัจจุบัน  ไปพร้อม ๆ กัน

อย่างอาชีพเป็นคุณหมอเป็นพยาบาลเป็นอาชีพที่ได้บุญได้กุศลมาก แต่ถ้าเราเผลอประมาทไปก็กลายเป็นอาชีพที่ทำบาป ทำกรรม เพราะเป็นอาชีพที่เกี่ยวกับ  คนเจ็บไข้ได้ป่วยไม่สบาย หรือว่าคนที่ “ใกล้จะตาย...”

ถ้าเราไปเน้นเงิน เน้นรายได้ เราพากันขาดความเมตตา ไม่ทำอะไรเหมือนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ  ที่ท่านทำอะไรท่านทำเพื่อเมตตาผู้อื่น เกื้อกูลผู้อื่น

คนป่วยเยอะ คนเจ็บป่วยเยอะ โรงพยาบาลใหญ่ ๆ แต่ละวันแต่ละวันมีคนป่วย  หลายร้อย หลายพันคน คนเป็นทุกข์มากทั้งกายและใจ คนจากชนบท คนจากต่างจังหวัด  ก็พากันเข้าสู่เมืองกรุงฯ ต่างก็หวังว่าคุณหมอจะเป็นที่พึ่งเป็นครั้งสุดท้าย...

ถ้าคุณหมอมีเมตตาไม่พอ ไม่มุ่งหวังที่จะช่วยเหลือรักษาด้วยความตั้งใจ ด้วยความบริสุทธิ์ใจ คนไข้ก็แย่นะ ด้วยเหตุนี้จึงเป็นหน้าที่ของคุณหมอที่จะช่วยเหลือจากใจ ไม่ได้คิดว่าเขาเป็นคนอื่น ให้คิดเสมอว่าเขาเป็นญาติพี่น้องที่เกิดร่วมโลกเดียวกับเรา “ถ้าเราไปมุ่งหวังตั้งแต่เปิดคลินิก จะได้เงินมาก ๆ ไปมุ่งหวังจะเปิดโรงพยาบาลเอกชนที่จะได้เงินมาก  ความเป็นหมอเป็นพยาบาลของเรามันก็หายหมด...”

ถ้าเราไปคิดอย่างนั้น อาชีพหมออาชีพพยาบาลจะเป็นอาชีพที่เป็นบาปนะ...!

คนเรามันอยากรวยกันทุก ๆ คน แต่อย่าไปลืมความรัก ความเมตตา ความสงสาร

 “ผู้ที่เห็นแก่ตัวทั้งหลายถึงอยากให้ลูกให้หลานเป็นหมอ...!

เราเป็นหมอเป็นพยาบาลถ้าเราไปเอาเงินเอาสตางค์แก่คนป่วยใกล้จะตายมาก ๆ  มันน่าเกลียดนะ มันน่าอายนะ เพราะคุณหมอจะคิดสตางค์เท่าไหร่ก็ว่าไปเลย ผู้ที่เป็นคนป่วยเขาก็ไม่มีโอกาสต่อรองนะ เพราะเขากลัวหมอจะรักษาไม่ดี ทำอะไรต่าง ๆ เกี่ยวกับหมอมีแต่ต้องใช้เงินใช้สตางค์มาก ๆ

ให้เรามีเมตตาเหมือนสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ นี่ดีนะ ถูกต้อง ...

คุณหมอน่าจะมีจรรยาบรรณในความเป็นหมอให้มากที่สุด สังคมประเทศชาติจะได้ร่มเย็น ไม่ใช่เป็นนักฉวยโอกาสเรื่องความแก่ ความเจ็บ ความตาย ที่ทุกคนหลีกหนีไม่พ้น

พระพุทธเจ้าท่านให้เราช่วยเหลือกัน ดูแลกัน อย่าไปซ้ำเติมกัน ผู้ที่จะเป็นหมออย่าได้  ไปเอาตัวอย่างคุณหมอที่เห็นแก่ตัว เขาจะรวย เขาจะมีความสะดวกสบายก็ช่างหัวเขา  ให้เราถือว่าเป็นโอกาสบำเพ็ญความดี บำเพ็ญบุญกุศล เราจะได้มาช่วยญาติพี่น้องของเรา  ช่วยบ้านเกิดเมืองนอนของเรา

ที่เขาคัดเลือกสอบเอาคนเป็นหมอ เขาเลือกเอาคนดีมีคุณธรรมเพื่อจะนำความร่มเย็น  ให้เกิดในหมู่มวลมนุษย์ แต่ถ้าคุณหมอมีความโลภ ความอยาก ความหลงครอบงำ มันเป็นการกระทำความผิดนะ...!

เราเป็นคนหัวดี เป็นคนเก่ง คิดได้ดี ได้เก่ง อย่าได้ฉวยโอกาสนี้เอาเปรียบคนอื่น  ให้คุณหมอทั้งหลายทั้งปวง รู้บาป รู้บุญ รู้คุณ รู้โทษ ให้มีสติ ให้รู้จักตนเอง

ในปัจจุบันมีหมอดี ๆ ก็มากพอประมาณ แต่หมอที่เห็นแก่ตัวน่าจะมากกว่า...!

ถ้าเป็นโรงพยาบาลรัฐบาล คนไหนเขามีญาติเป็นคุณหมอก็ได้รับความสะดวกสบายหน่อย แต่คนไหนไม่มีญาติ ไม่มีเส้น ญาติผู้ป่วยก็ไม่ได้รับความเมตตา ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากคุณหมอ เพราะว่าเขาไม่มีเส้นมีสาย จะเข้าโรงพยาบาลก็ต้องอาศัยเส้น อาศัยสาย  เพราะคุณหมอคุณพยาบาลขาดเมตตา ขาดคุณธรรม เลือกที่รักมักที่ชัง  ถ้าใครประพฤติปฏิบัติอย่างนี้เขาเรียกว่า “เป็นสิ่งที่ผิดพลาดในการดำรงชีวิตของผู้ที่เป็นหมอ...!

ความเมตตาต้องเจริญให้มาก ๆ มีความสุข มีการเสียสละในการทำงานให้เต็มที่...

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ท่านเป็นผู้ติดดิน เป็นผู้ที่อ่อนน้อมถ่อมตน สุภาพเรียบร้อย ทุกท่านทุกคนต้องมองดูแล้วเอาเป็นตัวอย่าง

ด้วยเหตุด้วยปัจจัยนี้เราถึงพากันมาเข้าค่ายธรรมะปฏิบัติธรรม เพื่อที่จะได้รู้ดีรู้ชั่ว  รู้จักผิดรู้จักถูก รู้จักบุญรู้จักบาป จะได้ยับยั้งทางจิตทางใจ จะเป็นคนมีเบรก มีสมาธิ มีปัญญา  

ใช้สมาธิมาก ๆ... สมาธิก็คือทำจิตใจให้มันดี ให้มีความสุข ให้ใจดีใจสบาย ไม่ว่าอะไร  จะเกิดขึ้น อะไรจะตั้งอยู่ อะไรจะดับไป ก็พยายามทำใจของเราให้มันดีให้มันสบาย รักษาใจ  ของเราให้มันคงที่คงวา สมาธินี้เราต้องใช้เยอะ ๆ นะ ทำใจอ่อนไหวมากไม่ได้ “เขาร้องไห้ก็ร้องไห้กับเขา เขาเป็นทุกข์ก็เป็นทุกข์กับเขาน่ะไม่ได้...”

ต้องเป็นตัวของตัวเองอย่าให้อิทธิพลมันครอบงำเรา... ฝึกใจสบายด้วยการฝึกลมหายใจ ฝึกหายใจเข้าให้สบายไว้ฝึกหายใจออกให้สบายไว้ ฝึกใจมีอุเบกขาวางเฉยต่ออารมณ์ ที่เราอยู่ในปัจจุบันนี้เราก็ทำได้ปฏิบัติได้ เมื่อเราทิ้งจากภารกิจ หันหน้าไปทางอื่นอย่างนี้เราก็ต้องตัด  ต้องปล่อยวางได้ ถ้าเราไม่ฝึกตัดฝึกปล่อยฝึกวางนั้นน่ะ การสั่งสมความทุกข์ในจิตใจของเราน่ะมันสั่งสมวันละนิดวันละหน่อย ทำให้เราเป็นทุกข์ ทำให้เราเครียดโดยไม่รู้ตัว

เราทำงานเพื่องาน ทำงานเพื่อเสียสละ เพื่อใจของเรามีความสุข ผลที่เราจะได้รับก็คือเงินเดือน ได้บุญกุศลได้คุณธรรม กว่าเราจะแก่กว่าเราจะเกษียณน่ะ การพัฒนาจิตใจของเรามันก็พัฒนาไปได้ไกลนะถ้าเราตั้งใจประพฤติปฏิบัติ


เราเอาที่ทำงานของเรานั้นน่ะเป็นที่ปฏิบัติธรรม ปฏิบัติธรรมก็คือปฏิบัติงานนั้นแหละ  เรากลับไปบ้านก็ไปดูแลพ่อแม่ ดูแลญาติพี่น้อง ให้มันดี ๆ ให้มีความสุข ทุก ๆ คนน่ะอย่าได้พกเอาความเครียดจากการจากงานกลับไปที่บ้าน แล้วเราก็จะมีความสุข ครอบครัวเราก็จะมีความสุข มีความสงบ

ความสุขความสงบนี้เป็นสิ่งที่ดีมากเป็นสิ่งที่ประเสริฐมากนะ ถ้าเรามีเงินมีสตางค์  มียศถาบรรดาศักดิ์ ถ้าใจของเราไม่สงบมันก็มีความทุกข์ มันก็ใช้ไม่ได้ สู้เราปฏิบัติธรรมกับการทำงานกับการอยู่ในครอบครัวไม่ได้

พวกเรารู้มั๊ยว่าอะไรที่ทำให้ทุกคนยากจน...? ที่ทำให้ทุกคนเป็นคนจนน่ะ จนยังไม่พอยังไม่มีคุณธรรม พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าคือ “ความขี้เกียจขี้คร้าน” เป็นคนคิดไม่เป็น  ไม่รู้จักดีไม่รู้จักชั่ว ไม่รู้จักผิดไม่รู้จักถูก ความรับผิดชอบในการประพฤติการกระทำของตนเองนั้นไม่มีหรือมีน้อย เป็นคนสมาธิสั้น ทำอะไรก็ไม่เป็นเรื่องเป็นราว มีความอดความทนน้อย  ไม่เห็นคุณค่าของเวลา

เวลาของทุก ๆ คนมันจำกัดนะ... วันหนึ่ง ๆ ผู้บริหารเค้าวางแผนให้เราทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ แต่เราก็เอาเวลาที่ผู้บริหารให้นั้นไปเที่ยวไปเล่นไปพูดไปคุย ไปเล่นโทรศัพท์ เล่นอินเตอร์เนท ไอแพด ไอโฟน ถ้าคนไหนกำลังทำอย่างนี้ถือว่าคนนั้นกำลังทำความผิดนะ กำลังสร้างบาปสร้างกรรมให้กับตัวเอง

ให้มีสติสัมปชัญญะให้ดี ๆ เพื่อที่จะเบรกตัวเองหยุดตัวเองเดี๋ยวจะสร้างหนี้สร้างสิน  โดยไม่รู้ตัว


ถ้าเราอยากเป็นคนสวยคนงามอย่างนี้ก็ต้องเป็นคนขยันเป็นคนอดทนเป็นคนเสียสละ  เป็นคนไม่ตามจิตตามใจ เป็นผู้ที่แต่ความเมตตาความสงสาร แต่ถ้าเราเป็นคนที่ตามใจ  ตามอารมณ์ตัวเอง ใช้ชีวิตไม่รู้จักคิดน่ะ ในอนาคตเราก็จะกลายเป็นนางยักษ์นางมารร้าย   โดยไม่รู้ตัว มันงามแต่ภายนอก งามแต่เปลือกนอก ปฏิปทาไม่งาม ใจไม่งาม เค้าให้แต่งตัวสวย ๆ แต่งตัวงาม ๆ เพื่อที่จะเป็นคนเสียสละ เพื่อที่จะเป็นคนไม่เห็นแก่ตัว เราทำไปเพื่อให้คนอื่นเค้ามีความสุข ไม่ใช่ทำไปเพื่อที่จะหลง เพื่อที่จะ “ล่อเหยื่อ...”

พยาบาลน่ะมองดูแล้วชุดก็สะอาด กิริยามารยาทก็ดี ใจก็ดี พยาบาลอย่างนี้แหละทุกคนต้องการ อยู่ในหมู่มวลพยาบาลด้วยกัน พระพุทธเจ้าท่านสอนเราให้เราทุก ๆ คนรักกัน  สงสารกัน เมตตากัน ไม่ให้มีอิจฉาพยาบาทกัน เห็นใครได้ดีก็ยินดีด้วย เห็นคนอื่นเค้าสวย  ก็ยินดีด้วย เค้าดีก็ยินดีด้วย คนอื่นเค้าไม่ดีเราก็อย่าไปซ้ำเติมเค้า

พระพุทธเจ้าท่านให้เราเมตตาบุคคลที่อยู่ใกล้ ๆ เช่นเมตตาคุณพ่อคุณแม่ บุตรธิดา ภรรยาสามี ตลอดทั้งเพื่อนที่ทำงานร่วมกันนี้ต้องเมตตา เราต้องเป็นผู้ให้ อย่าเป็นผู้เอา  พร้อมที่จะช่วยเหลือทุกอย่างทั้งทางด้านจิตใจ ด้านการงานอะไรทุกอย่าง 

เราอยู่ร่วมกันเราต้องเป็นผู้ให้ซึ่งกันและกัน เราอยู่ในสังคมโรงพยาบาลน่ะ มันมีทั้งคนดีและคนไม่ดี เราก็ต้องมีความเมตตามีความสงสารหมด ถ้าเราเมตตาแต่คนดี ๆ  คนกิริยามารยาทดี แล้วคนที่ไม่ดีเราจะเอาไปทิ้งไว้ที่ไหน เราก็ต้องมีเมตตาหมด

พระพุทธเจ้าท่านให้เรามาฝึกอย่างนี้มันถึงจะไม่มีโลกส่วนตัว ถึงจะไม่เป็นคนที่  เห็นแก่ตัว ข้อสำคัญใครจะทำดีทำชั่วมันไม่เกี่ยวกับเรา เราต้องทำดีตลอดกาล


ความดีน่ะทุกคนต้องเป็นผู้ที่ตั้งอยู่แล้วก็เดินไปด้วยความดี ทำงานประกอบด้วยความดี ทุกอย่างก็ดีหมดน่ะ ถ้ามันไม่ดีแสดงว่าใจของเราไม่ดีนะ เราต้องรู้จักโลก โลกมันเป็น  อย่างนี้แหละ โลกมันมีทั้งดีไม่ดีอะไรสารพัดอย่าง อันนี้มันเป็นสภาวะของโลก เราต้องมา  แก้ใจของเราให้มันดี ถ้าเราไม่คิดอย่างนี้ไม่ปฏิบัติอย่างนี้เราจะไม่รู้จักโลกตามความเป็นจริง มันจะเผาจิตเผาใจของเรา

พยายามฝึกปล่อยวางอดีต ฝึกลืมอดีตที่ผ่านมา เรามาเริ่มต้นปัจจุบันกระทำสิ่งที่ดี ๆ  ถ้าเราไม่ลืมเราไม่หยุด บาปกรรมมันก็เหมือนกับที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าไว้เหมือนกับสุนัข  ที่ไล่เนื้อ ถ้าเราไม่ทิ้งมันก็เปรียบเสมือนเราเป็นเนื้อนะ ถ้าเราไม่ทิ้งสุนัขมันต้องไล่ทันเราแน่


อดีตน่ะเป็นสิ่งที่ลืมยาก แต่จำเป็นต้องมีสมาธิมีอุเบกขาเยอะ ๆ เพื่อที่จะตัดกรรม  ทิ้งกรรมในอดีต ทุกคนถือว่าเป็นภาระหน้าที่ที่จะต้องแก้ไขจิตใจของตัวเองนะ

ถ้าเราฝึกทิ้งอดีตทำดี ๆ ในปัจจุบัน เราจะเป็นคนที่มีจิตใจที่มีพละกำลัง มีจิตใจที่สดชื่นเบิกบาน พระพุทธเจ้าท่านถึงตรัสว่าอย่าได้ยึดมั่นถือมั่น เรื่องอนาคตในชีวิตเราต้องคิดให้ดี  คิดให้เก่ง วางแผนให้ดีวางแผนให้เก่งในปัจจุบัน แล้วก็ทำตามที่เราคิดที่เราวางแผนไว้  ที่เราปณิธานไว้ จึงได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท

เราอย่าไปเอาความขี้เกียจขี้คร้านเป็นการปล่อยวาง บางทีเราไม่รู้ทันกิเลส ตั้งมั่นใน  ความดีคิดว่าตัวเองไม่ยึดมั่นถือมั่นแล้วไปปล่อยวาง เค้าใช้เทคโนโลยีเพื่ออำนวย  ความสะดวกสบายเพื่อวางแผนและให้ปฏิบัติตาม

การวางแผนเรื่องอนาคตน่ะไม่ใช่เรื่องยึดมั่นถือมั่น เป็นการวางหมากวางแผนที่ให้  เราเดิน ถ้าไม่อย่างนั้นเราจะเป็นคนสะเปะสะปะไม่มีจุดหมายปลายทาง เราแต่อะไรมันจะเกิดขึ้น ทำอย่างนี้ไม่ได้ ต้องเอาความดีเป็นที่ตั้ง มีความสุขมีการกระทำในสิ่งนั้น ๆ ให้มันดี  ถึงจะยากลำบากก็ช่างหัวมัน มันจะเหนื่อยก็ช่างหัวมัน มันจะผอมก็ช่างหัวมัน มันจะดำ  ก็ช่างหัวมัน เน้นเข้าหาหัวจิตหัวใจเพื่อให้ใจของเรามีธรรมมีวินัย

เรื่องระเบียบเรื่องวินัยนี้สำคัญ ทุกท่านทุกคนต้องเอาศีลเป็นที่ตั้ง เอาระเบียบเอาวินัย เป็นที่ตั้ง ปรับตัวเองเข้าหาเวลา ถ้าไม่อย่างนั้นในอนาคตเรานี้จะเป็นคนสะเปะสะปะ  เป็นโรคประสาทเป็นโรคกระเพาะเป็นโรคจิตได้ เพราะเรามันปล่อยให้พลาดโอกาสพลาดเวลา  มีเรื่องมีปัญหา เพราะไม่ได้ควบคุมตัวเองไว้ ไม่ได้คอนโทรลตัวเอง

พยายามจัดสรรเวลาให้ดี ๆ ถึงเวลานอนก็นอน ถึงเวลาตื่นก็ตื่น ถึงเวลาทำงานก็ทำงานให้มีความสุขในสิ่งนั้น ๆ ถึงเวลานอนแล้วก็มัวแต่ไปเล่นอินเตอร์เนทเล่นอะไรอยู่อย่างนี้  มันก็ทำลายศักยภาพของเรา หัวใจของเราที่มันแตกกระจุยกระจายน่ะ พระพุทธเจ้าท่านให้เราแก้ด้วยการไหว้พระสวดมนต์นั่งสมาธิ มาพยายามปล่อยวางสิ่งภายนอกออกจากจิตจากใจของเราให้หมด หายใจเข้าก็ให้สบายหายใจออกก็ให้มันสบาย เราต้องมาให้อาหารใจกับตัวเอง ถ้าไม่อย่างนั้นมันจะหลง

เราเป็นคนเก่งคนฉลาดคนรู้มาก ถ้าไม่รู้จักทำใจให้สงบอนาคตมันมีปัญหาทุก ๆ คน  คนเก่งมากฉลาดมากยิ่งฟุ้งซ่านมากหลงวัตถุมาก เพราะไม่รู้จักทำใจสงบ

ก่อนนอน ก่อนพักผ่อนพระพุทธเจ้าท่านถึงให้เราทำวัตรสวดมนต์นั่งสมาธิ ฝึกทำใจ  ให้สงบ ทำจิตทำใจให้ขาวรอบ เราอย่าไปรอเมื่อแก่ เราคิดอย่างนั้นไม่ดี เป็นคนประมาท ตั้งอยู่ในความประมาท ไม่ถูกต้อง คนแก่น่ะทำอะไรได้ หลง ๆ ลืม ๆ ท่องหนังสือก็ไม่จำ

พระพุทธเจ้าท่านให้เราพัฒนาตัวเองมันยังไม่แก่ ไม้แก่มันดัดยาก มันดัดไม่ได้

เรื่องคู่ครองก็ให้ทุกคนตั้งสติให้ดี ๆ เพราะเราจะเอามาคนที่ร่วมเป็นร่วมตายกับเรา  จนหมดลมหายใจนี้เป็นเรื่องใหญ่ ถ้าได้คู่ครองไม่ดีก็ถือว่าผลักตัวเองลงสู่หม้อนรก สู่อเวจี  ถ้าได้คู่ครองดีถึงได้ไปสวรรค์ไปนิพพาน ต้องให้ทุกคนมีสติดี ๆ ไม่มีคู่ครองมันไม่ตายหรอกนะ  ที่เราคิดจะอาศัยคนอื่นให้คนอื่นดูแลเราน่ะมันไม่ถูก เราต้องพึ่งพาตนเองแล้วเป็นผู้ให้มันถึงจะถูกต้อง

ให้ทุกท่านทุกคนน่ะถือว่าชีวิตนี้เกิดมาเพื่อสร้างความดีเพื่อสร้างเสียสละ เพื่อเป็นคนที่ไม่ตามใจตัวเองตามกิเลสตัวเองเพื่อปรับใจเข้าสู่มรรคพระนิพพานในการดำเนินชีวิตประจำวัน ให้ถือคติอย่างนี้นะ

“การที่พวกเราได้มาเข้าค่ายประพฤติปฏิบัติถือว่าเป็นสิ่งที่ดีเป็นสิ่งประเสริฐ แต่ว่าการประพฤติปฏิบัติของเรามันไม่ได้จบเพียงเท่านี้ เราต้องเอาไปปฏิบัติในบ้านของเราในที่ทำงานของเรา ในทุกหนทุกแห่ง ให้ทุกคนได้เข้าใจอย่างนี้นะ ให้ตั้งใจดี ๆ เพื่อที่จะลิขิตชีวิตของเรา ไม่มีใครมาลิขิตของเราได้นอกจากตัวของเราเอง เราเกิดมาก็มาคนเดียว เราแก่เราเจ็บเราตาย เราก็แก่เจ็บตายคนเดียว ให้ถือว่าเราเกิดมาเพื่อสร้างความดี เพื่อสร้างบารมี...” มีโอกาสมีเวลาก็ให้พากันมาวัด พาคุณพ่อคุณแม่หรือพาญาติมาวัด เพื่อเป็นหลักทางจิตทางใจ

การประพฤติปฏิบัติธรรมนี้ทุกท่านทุกคนถ้าจะให้ดีนี้ต้องสมาทานไว้ในใจ สิ่งไหนดี ๆ ต้องสมาทานไว้ในใจให้หมด สิ่งไหนไม่ดีก็สมาทานหยุดให้หมด ถ้าไม่ทำอย่างนี้ไม่ปฏิบัติอย่างนี้มันไม่ได้นะ เพราะเราเป็นคนใจอ่อน สมาธิเรามันยังไม่แข็งแรง ให้ทุกท่านทุกคนสมาทานนะ อย่างเช่นกราบพระไหว้พระนั่งสมาธิทุกวันเราก็ต้องพยายามประพฤติปฏิบัติทุก ๆ วันใครจะพยายามถือศีลห้าตลอดชีวิต ใครจะพยายามทำงานให้มีความสุขตลอดชีวิต ใครจะพยายามไม่ยุ่งเกี่ยวกับอบายมุขตลอดชีวิต ใครจะพยายามจะไม่พูดจาไม่เป็นคนปากระเบิดตลอดชีวิตอันนี้ก็ต้องสมาทาน ใครจะวางแผนในการใช้เงินใช้สตางค์ ใครจะเป็นคนกตัญญูกตเวที ใครจะพยายามรู้ตัวเองว่าตัวเองติดอะไรหลงอะไรก็จะพยายามหยุด เราต้องสมาทานให้มันตลอดชีวิตอย่างนี้ สิ่งอื่นก็เหมือนกัน สิ่งไหนที่มันดี ก็ต้องตั้งใจพยายาม ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่น...

การบรรยายพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวันนี้ก็เห็นสมควรแก่เวลา ขออำนวยอวยพรให้คุณหมอและทุกท่านทุกคนจงมีความสุขทั้งทางกายและจิตใจ  ด้วยบุญบารมีของพระพุทธเจ้าพระธรรมพระอริยสงฆ์จงประสบความสำเร็จในธุรกิจหน้าที่การงาน และได้บรรลุถึงมรรคนิพพานด้วยกันทุกท่านทุกคนเทอญ…


พระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ที่องค์พ่อแม่ครูอาจารย์เมตตาให้นำมาบรรยาย

เช้าวันที่ ๑๔ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๖


หมายเลขบันทึก: 539753เขียนเมื่อ 18 มิถุนายน 2013 22:11 น. ()แก้ไขเมื่อ 18 มิถุนายน 2013 22:11 น. ()สัญญาอนุญาต: ไม่สงวนสิทธิ์ใดๆจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

สาธุ สาธุ สาธุ เจ้าค่ะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท