กลไกที่เป็นไปได้ คือ การวิ่งทำให้การเผาผลาญอาหารสูงกว่าการเดิน ทั้งในช่วงออกกำลัง และหลังออกกำลัง
.
.
.
.
.
การศึกษาทำโดยให้เดิน หรือวิ่ง 1 ชั่วโมง/วัน, 2 วัน แล้วเจาะเลือดหลังพัก 1 ชั่วโมง เพื่อตรวจหาฮอร์โมนที่ควบคุมความหิว และให้กินอาหารบุฟเฟต์แบบไม่จำกัด
.
.
- กลุ่มนักเดินกินอาหารมากกว่าที่ออกกำลังไป 50 แคลอรี
- กลุ่มนักวิ่งกินอาหารน้อยกว่าที่ออกกำลัง 200 แคลอรี
ผลการตรวจเลือดพบว่า นักวิ่งมีระดับฮอร์โมนยับยั้งความหิว (peptide YY suppressing appetite) สูงกว่านักเดิน
.
สรุป คือ ออกกำลังหนัก "หิว" น้อยกว่าออกกำลังเบา
.
.
ถ้ามองเฉพาะสุขภาพ ไม่นับน้ำหนักตัว ไม่นับอ้วนลงพุง... การเดินกลับให้ผลดีพอๆ กับการวิ่ง
.
การศึกษา (Runners and Walkers Health Study) ปี 2556 พบว่า การวิ่งและการเดินช่วยป้องกันโรคต้อกระจก (cataracts) ที่พบเพิ่มขึ้นตามอายุที่มากขึ้นได้พอๆ กัน
.
การศึกษา (J Arteriosclerosis, Thrombosis and Vascular Biology) ทำการศึกษากลุ่มตัวอย่างนักวิ่ง-นักเดิน
.
ผลการศึกษาพบว่า ทั้งการวิ่ง และการเดินลดเสี่ยงโรคความดันเลือดสูง เบาหวาน โคเลสเตอรอลหรือไขมันในเลือดสูง โรคหัวใจได้ดีทั้งคู่
.
.
ภาพที่ 3: แสดงการใช้พลังงาน หรือแคลอรีในคนมาตรฐาน หรือคนรูปร่างปานกลาง ไซส์ฝรั่ง (standard man) ในออกกำลัง (แคลอรี/ชั่วโมง) คือ วิ่งเร็วมาก วิ่งเร็วปานกลาง (จอกกิ้ง), เดิน และจักรยานตามลำดับ
.
วิ่งเร็วปานกลาง (jogging) = 5 mph = 5 ไมล์/ชั่วโมง = 8.05 กม./ชม.
.
นิยามจอกกิ้งส่วนใหญ่ = วิ่งช้ากว่า 10 กม./ชม.
.
คนมาตรฐาน (ฝรั่ง) โดยทั่วไปจะหมายถึงผู้ชายอายุ 35 ปี,หนัก 155 ปอนด์ = 70.31 กิโลกรัม, ถ้าคนรูปร่างเล็กกว่านี้ออกกำลังเท่ากันจะใช้กำลังงานน้อยกว่า
[ nutristrategy ]
.
.
ความต่างกันคือ ถ้าออกกำลังคิดเป็นหน่วยกำลังงาน หรือแคลอรีเท่ากัน
- วิ่ง 1 ชั่วโมง/วัน > ลดเสี่ยงโรคหัวใจ 4.5%
- เดิน 2 ชั่วโมง/วัน > ลดเสี่ยงโรคหัวใจได้มากกว่า 9%
ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า ถ้าต้องการเผาผลาญกำลังงาน หรือแคลอรีเท่าๆ กัน (เดินกับวิ่ง)
- ถ้าคิดเป็นเวลา > จะต้องเดิน = 2 เท่า เช่น วิ่ง 1 ชม.= เดิน 2 ชม.
- ถ้านับเป็นระยะทาง > จะต้องเดิน = 1.5 เท่า เช่น วิ่ง 1 กม. = เดิน 1.5 กม.
.
สรุปจากการศึกษาเหล่านี้ คือ
.
(1). ถ้าต้องการเผาผลาญกำลังงาน หรือแคลอรีเท่าๆ กัน เช่น ลดความอ้วน ลดน้ำหนัก ฯลฯ, จะต้องใช้เวลาเดิน = 2 เท่าของการวิ่งเร็ว (จอกกิ้ง)
.
(2). นักวิ่งมักจะมีหุ่นดีกว่า (ผอมกว่า น้ำหนักเกินน้อยกว่า) และอ้วนลงพุง (เส้นรอบเอวเกิน 90 ซม.ในผู้ชาย, 80 ซม.ในผู้หญิง) นักเดิน
.
กลไกที่เป็นไปได้ คือ การออกกำลังหนัก เช่น เดินเร็ว ฯลฯ ทำให้ "หิวน้อยกว่า" ออกกำลังแรงปานกลาง เช่น เดิน ฯลฯ
.
การออกกำลังแบบผสมผสาน หนักบ้างเบาบ้าง สลับกัน มีแนวโน้มจะดีกับสุขภาพมากกว่า บาดเจ็บน้อยกว่า แถมยังประหยัดเวลาได้ เช่น
- วิ่งสลับเดิน วิ่งเร็วสลับวิ่งช้า
- เดินเร็วสลับเดินช้า
- เดินแนวราบสลับเดินแนวดิ่ง (ขึ้นลงบันได ขึ้นลงเนิน)
- เดินมือเปล่าสลับเดินถ่วงน้ำหนัก เช่น ใส่ขวดน้ำ ถุงทราย ฯลฯ ในเป้, ถือของหนักในมือ เช่น ตุ้มน้ำหนัก หนังสือเล่มใหญ่ ฯลฯ
.
การออกกำลังที่เป็นพื้นฐานสำหรับคนส่วนใหญ่ คือ ฝึกเดินสะสมเวลาให้ได้ 40 นาที/วัน + ขึ้นลงบันได 4 นาที/วัน
.
ถ้าท่านเดิน วิ่ง หรือปั่นจักรยานออกกำลัง (แบบอยู่กับที่) อยู่แล้ว... เรียนเสนอให้ลองนับจำนวนก้าว หรือจำนวนรอบต่อนาที
.
แล้วค่อยๆ เพิ่มความเร็วเป็นช่วงๆ เช่น จาก 45 > 50 > 55 > 60 > 65 > 70 > 75 > 80 > 85 > 90 > 95 > 100 ก้าว/นาที หรือ รอบ/นาที
.
จุดที่จะทำให้คนส่วนใหญ่ฟิตได้มากๆ คือ จุดที่ 100 ก้าว/นาที, หรือ 100 รอบ/นาที ขึ้นไป