บ้านใหม่


หนึ่งปีผ่านไป ไวเหมือนโกหก 
เปิดอ่านบันทึกล่าสุด เขียนไว้ตั้งแต่ต้นปี 
2555
ตอนนั้นกำลังปรับปรุงบ้านเก่าๆหลังใหญ่หลังหนึ่งเพื่อเปิดเป็นเนอรสรี่สำหรับเด็ก
สามเดือนถึงสามขวบ 
พอปรับปรุงเสร็จก็ย้ายตัวเองจากเพนท์เฮ้าส์บนชั้นสามของโรงเรียนพัฒนาเด็ก(ประชาสโมสร)  มาอยู่ที่บ้านหลังเล็กๆ น่ารัก
ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของบ้านหลังใหญ่ที่มาปรับปรุงเป็นเนอรสรี่  ตั้งชื่อบ้านสมลักษณะว่า
My Little
Hut  (รูปการปรับปรุงบ้านหลังใหญ่
และบ้านหลังน้อย  อยู่ใน album ในเฟสบุคแล้ว)  เราก็คิดว่าจะได้พำนักพักอยู่บ้านนี้ไปอีกนานๆ)


เปิดเนอรสรี่เสร็จก็มอบหมายให้ลูกสาวสุดท้อง ที่กลับจากฝรั่งเศส
แล้วไปสร้างบ้านอยู่ปลายนา กับสามีสังข์ทองหัวหยอง มาเป็นผู้บริหาร
ซึ่งเธอก็เต็มใจทำการบริหารตามวิชาที่เธอได้ไปร่ำเรียนมาจากสำนักในออสเตรเลียเป็นอย่างดี  เธอบริหารได้ไม่กี่เดือน “พัฒนาเด็กเนอรสรี่”  ก็เฟื่องฟู ได้รับความนิยม  จนเด็กล้นเกินร้อย  เราก็เลยมานั่งชั่งใจดูว่า ถ้าปิดบ้าน Little
Hut แล้วเปิดเป็นห้องเรียนได้อีกห้อง ก็จะสามารถรับเด็กได้อีก 25 คน  พอคิดได้ แล้ว อย่ากระนั้นเลย
บ้านรังแตนหลังเก่าเราก็ว่างอยู่ 
กลับนิวาสถานเดิมจะดีกว่า  ตัดสินใจเสร็จสรรพ
ก็เริ่มใช้นิ้วชี้บรรเลง 
บอกให้พนักงานย้ายของต่างๆกลับบ้านรังแตน 
ซึ่งก็ไม่ยากอะไร เพราะของยังไม่มากนัก เพิ่งอยู่ได้ไม่ถึงหกเดือน


กลับมาอยู่ที่บ้านเก่ารังแตน 
ได้ไม่นาน 
ลูกสาวคนโตก็ส่งโปรเจ็คใหญ่ให้ดำเนินการอีก  ซึ่งคราวนี้เป็นงานยักษ์ นั่นคือ
วางแผนสร้างตึกใหม่ เพื่อรองรับนักเรียนประถมหนึ่งถึงประถมหก 
งานนี้ต้องหาที่ใหม่เพื่อย้ายบ้านเก่าสองหลังออกจากเนื้อที่เดิมเพื่อสร้างตึก  ต้องหาคนออกแบบ  ต้องติดต่อหากู้เงิน  ลูกสาวคนโตที่เป็น
ผู้อำนวยการโรงเรียนพัฒนาเด็ก
English Program บอกว่า งานนี้ขอแม่ออกแรงช่วยอีกสักงานแล้วจะให้พักยาวววววจริงๆ


หนึ่งปีที่ผ่านมานี้ 
ก็เลยได้ที่ใหม่มาหนึ่งผืน 
ได้บ้านใหม่ซึ่งย้ายมาจากที่ดินผืนเก่า 
มาอีกสองหลัง  คือ “เรือนสุวรรณศร”
ให้ลูกชายคนโตและครอบครัวอยู่  และได้
“บ้านใจสว่าง” ให้เป็นของลูกชายคนกลางที่ทำงานอยู่กรุงเทพฯ  ซึ่งจะกลับมาบ้านทุกสองอาทิตย์  และ “บ้านใจสว่าง”  นี่เอง
เป็นที่มาให้เราต้องย้ายนิวาสถานอีกครั้ง 
เพื่อเฝ้าบ้านให้ลูกชาย 
แต่ก็ทำด้วยความเต็มใจ 
และตั้งใจมา 
ด้วยนิสัยที่อยู่ไม่เป็นที่ ย้ายไปบ้านโน้นทีบ้านนี้ที
นับบ้านไม่ถ้วนตั้งแต่มาอยู่ขอนแก่น และก็ชอบคุมการก่อสร้าง ปลูกต้นไม้
เป็นงานอดิเรกอยู่แล้ว


บ้านสองหลังนี้อยู่ในบริเวณเดียวกันบนพื้นที่หนึ่งไร่
ลูกชายคนโตชอบสังคม มีมนุษยสัมพันธ์ดี เลือกอยู่อยู่ด้านหน้า หันหน้าออกถนน
ส่วนน้องชายเป็นศิลปินเงียบขรึม ชอบสันโดษ เลือกที่จะสร้างบ้านหันหน้าเข้าท้องนา
สองบ้านนี้เลยหันหลังชนกัน 
โดยมีบริเวณโรงงานซึ่งใช้เก็บของต่างๆจากโรงเรียนมาเป็นกันชน
อยู่ตรงกลาง 
ส่วนเราก็ได้ย้าย(อีกครั้ง)เมื่อวันที่
11 พฤษภาคม 2556
นี้เอง  โดยตามมาอยู่บ้านที่อยู่ติดท้องนา
ชอบวิวทิวทัศน์ อากาศสดชื่น 
ได้มีเวลาปลีกวิเวก ปลูกต้นไม้ ปลูกผัก 
ทำโน่นทำนี่ ไม่ได้มีเวลาว่างเหมือนกัน 
มาอยู่คนเดียวในบ้านหลังกะทัดรัด 
แต่ก็ไม่รู้สึกโดดเดี่ยว เมื่อไหร่อยากพูดอยากคุยก็เดินไปหาลูกหาหลานที่บ้านอีกหลังที่อยู่ไม่ไกลจนเกินไป


 




คำสำคัญ (Tags): #สร้างบ้าน
หมายเลขบันทึก: 538471เขียนเมื่อ 8 มิถุนายน 2013 08:18 น. ()แก้ไขเมื่อ 8 มิถุนายน 2013 19:26 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

เป็นชีวิตตัวอย่างจริงๆค่ะ ขอบคุณที่นำมาถ่ายทอดเล่าสู่กันฟังนะคะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท