สิบล้อสิบแปดล้อกับภาพลักษณ์ซ้ำๆ เดิมๆ (?)


ส่วนใหญ่เมื่อพูดถึงรถ ๑๐ ล้อ ๑๘ ล้อ หรือล้อมากกว่านั้น
ก็จะมองเห็นภาพของการชนแบบระเนระนาด แข้งขาดขาขาด
และความเสียหายส่วนใหญ่มักจะตกกับรถที่มีล้อน้อยกว่า เช่น จักรยาน ๒ ล้อ
หรือ ๓ ล้อ บางทีก็เป็น ๔ ล้อ เมื่อเป็นเช่นนี้ภาพลักษณ์ของรถเยอะล้อจึงไม่ดีเลย

ขนาดจอดเฉยๆ อยู่ข้างทาง รถเล็กไปชนเข้าคนขับตายคาที่ สิบล้อก็โดนอีกเหมือนเช่นเคย

“วิ่งแรง แซงไว ไร้น้ำใจ” กลายเป็นภาพจำหลักของรถมากล้อพวกนี้


ต่อให้รถสิบล้อสิบแปดล้อตายแล้วเกิดใหม่ ก็แก้ภาพลักษณ์เชิงลบกับสาธารณะไม่ได้
มันกลายเป็นภาพฝังใจของผู้คนไปแล้ว ขนาดผู้เขียนจะเข้าไปหารูปภาพรถ ๑๐ ล้อ ๑๘ ล้อ
ใน google เอามาประกอบเรื่องที่เขียน โอ้โห อยากเชิญชวนพี่น้องให้ไปค้นดู
แล้วท่านจะประจักษ์แก่ตาว่า รถ ๑๐ ล้อ ๑๘ ล้อที่ท่านจะเห็น ก็ประมาณว่า
ชนรถคันอื่นยับเยิน หรือไม่ก็ไปนอนเค้เก้อยู่ในคูน้ำข้างถนน บางคันก็ชนต้นไม้
ชนเสาไฟฟ้า ชนกำแพงวัด ชนหมา ชนคน ชนไปหมด จนไม่มีอะไรจะเหลือให้ชน

 

ถึงกระนั้น ผู้เขียนก็ยังไม่ท้อกับการหารูปภาพดีๆ ของสิบล้อสิบแปดล้อ
พยายามใช้คำที่มันซอร์ฟๆ อย่างที่สุด
เช่น โชว์รูม ๑๐ ล้อ หรือแม้กระทั่งคำว่า ๑๘ ล้อการ์ตูนอย่างนี้ โอ้โห
ผลลัพธ์ไม่ต่างกันเลย เอาเป็นว่า ภาพ ๑๐ ล้อเชิงบวกหาที่ไหนไม่ได้เลย
นอกจากความโชคดีของท่านที่จะบังเอิญได้เห็น
แล้วรถหลายล้อเหล่านี้จะได้ผุดได้เกิดมีภาพลักษณ์ที่ดีกับเขาไหมนี่ หนักใจแทน

 

ว่าจะหารูปภาพที่มีสภาพดีๆ ที่ไม่ต้องชนอะไรเลยกลับหาไม่เจอ
โอ้โห...แล้วใครจะให้ลูกหลานไปขับสิบล้อล่ะนี่ในอนาคต

 

คงจะเหมือนพรรคการเมืองบางพรรค เจอเข้าไปแค่ ๓ คำเท่านั้น “ดี แต่ พูด” ก็เหมือนกับเจอนะจังงังลงหน้าผากหยุดการเจริญเติบโตไปดื้อๆ เลย นี่แหล่ะภาพลักษณ์แก้ยากมาก

 

แต่...ช้าก่อน ท่านผู้อ่านทั้งหลาย เมื่อวันที่ ๔ มิ.ย. ๕๖ เวลาประมาณ
๑๗ นาฬิกา ผู้เขียนกลับมาจากมหาวิทยาลัย วิ่งเลาะลำคลองชลประทานมาเรื่อยๆ
แล้วมาโผล่ตรงที่ทางรถวกกลับเยื้องคลองซอยเข้ามหาวิทยาลัยนอร์ทเชียงใหม่ หางดง
ปรากฏว่าตรงนั้นรถที่จะเลี้ยววกกลับไปทางสันป่าตองมีเกือบ ๒๐ คัน รถที่ผู้เขียนนั่งอยู่ประมาณกลางๆ
มองไปข้างหน้าก็ยังมีอีกหลายคัน จ่อหลังก็อีกยาวเหยียด
รถทั้งหลายที่วิ่งสายเอกทางตรงก็ไหลมาเหมือนสายน้ำที่ไม่หยุดเอาง่ายๆ
เลยคุยกับคนขับว่า ทำใจเถอะรอยาวแน่งานนี้

 

ในขณะที่ผู้เขียนและคนขับรถกำลังทำใจอยู่นั้น ปรากฏว่า มีรถ ๑๘ ล้อพ่วงคันหนึ่งเสียงดังหึ่งๆ
ขะโหล้งขะหลั้ง ขับมาด้วยความเร็วพอประมาณแล้วแซงรถทุกคันที่จอดเข้าแถวรอวกกลับอยู่ ผู้เขียนนึกในใจว่า
“เอาอีกแล้ว เน่าอีกแล้ว ๑๘ ล้อเอ๋ย” เพียงแป๊ปเดียวเท่านั้น คนขับ ๑๘ ล้อพ่วงพาตัวเองและรถคู่ใจไปขวางอยู่กลางถนนสายตรง รถทุกคันที่วิ่งมาเหมือนสายน้ำต้องหยุดทันที นาทีนั้นผู้เขียนก็เห็นคนขับส่งสัญญาณมือให้รถที่รอวกกลับทุกคันว่าไปได้เลย เขาพารถคู่ใจขวางอยู่ตรงนั้นจนรถทุกคันที่จะวกกลับได้รับอานิสงส์กันถ้วนหน้า ขอ

สาธุกับคนขับ ๑๘ ล้อน้ำใจงามคนนั้นดังๆ ตรงนี้อีกครั้ง

บอกตรงๆ ว่า นี่คือ Unseen in life ไม่เคยเห็นเลยในชีวิต
ขนลุกซู่ด้วยความปีติ แม้กระทั่งขณะนั่งเขียนอยู่นี้ก็เกิดอาการขนลุกซู่เช่นกัน
โอ...เขาช่างมีน้ำใจเหลือเกิน น้ำใจของเขาล้นหลั่งเจิ่งนองเต็มท้องถนนไปหมดวันนี้ เขาคือพระเอกขี่ม้าขาวตัวจริงมาช่วยพวกเรา ไม่งั้นพวกเราคงต้องรออีกนานทีเดียว ท่านทั้งหลายก็รู้อยู่ว่าใครที่วิ่งทางสายเอกมักจะถูกศักดิ์ศรี
“กูวิ่งสายเอก” ครอบงำอยู่ น้ำใจที่จะหยุดเพื่อเปิดทางให้พวกสายโท สายจิ๊บๆ ทั้งหลายนั้นหายากมาก

 

จากประสบการณ์ของคนขับรถที่นั่งข้างผู้เขียนบอกว่า ส่วนใหญ่เขาก็จะทำกันอย่างนี้
...อ้าวเหรอ เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกนะนี่ Unseen จริงๆ ยังเสียดายอยู่ลึกๆ
ว่า ไม่ทันได้ถ่ายรูปไว้ เพราะมัวตะลึงกับเหตุการณ์ที่ไม่เคยเห็น

 

แต่..เอ..ทำไมภาพลักษณ์ของรถหลายล้อพวกนี้ไม่ดีเลย
เรามาร่วมกันปลูกฝังวัฒนธรรมการมองสิบล้อสิบแปดล้อในมุมมองบวกๆ
กันดีไหมพี่น้องครับ

 

ด้วยจิตชื่นชม ๑๘ ล้อน้ำใจงาม


พระมหาอัมพร ชุตินฺธโร




หมายเลขบันทึก: 538167เขียนเมื่อ 5 มิถุนายน 2013 12:45 น. ()แก้ไขเมื่อ 5 มิถุนายน 2013 12:45 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท