549. "ลมใต้ปีกของการเปลี่ยนแปลง" (Theory U ตอนที่ 11)


เมื่อตอนที่แล้วพูดถึง KM  ที่เรานำมาเป็นตัวช่วยในการจัดระบบการเรียนรู้ Dialogue และ U-theory ตอนนี้จะพูดถึง KM ให้ละเอียดขึ้นอีกหน่อย ต้องบอกครับว่าสำคัญมากๆ ในการทำ OD ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม หมายความว่าจะใช้เครื่องมือ (OD Intervention) ใดๆ ก็ตาม การทำ KM สำคัญมากๆ.. เรียกว่านำมาออกแบบกิจกรรม  OD Intervention ให้มันเกิดการกลมกล่อม ผลักดันได้จริง เอาเป็นว่ามนุษย์เราเวลาทำอะไร เราไม่ได้คุยกันเรื่องเดียวจริงไหมครับ คุณผู้หญิงเวลาไปทำผม คุณแน่ใจเหรอครับว่าหนึ่งชั่วโมง สองชั่วโมงที่คุณทำผม คุณจะคุยเรื่องทรงผมอย่างเดียว แน่นอนคุณคงคุยสัพเพเหระ เม๊าท์แตก เรื่องส่วนตัว เรื่องงาน “กระจาย”  

                       

                                     Cr: http://news.wwu.edu/go/doc/1538/244088/

ดูภาพคณะนักเต้นข้างบนนี้ ทรงพลัง สวยงาม มากๆ กว่าจะเต้นได้ขนาดนี้ ผมว่าเขาคงไม่คุยกันเรื่องเต้นอย่างเดียว มีกระบวนการอะไรบางอย่าง ที่ทำให้คนแสดงผลงานออกมาสุดยอดขนาดนี้ ไม่ใช่สอนเต้นอย่างเดียวแน่ๆ ผมว่ามีอะไรอยู่เบื้องหลัง ที่เป็นพลังขับเคลื่อน

เช่นเดียวกับการทำ OD ตามประสบการณ์จริงๆ ของผม เวลาทำ Dialogue และ Theory U หรือจะเป็น AI อะไรก็ตาม เราไม่มีวันจะคุยกันเรื่องที่ทำ เราจะคุยนอกเรื่องไปด้วย ตรงนี้แหละที่เป็นโอกาสที่คุณจะทำอะไรบางอย่างที่มันต่างออกไป แต่ละคน ทั้งที่เป็นลูกค้า และเป็นลูกศิษย์ พอเริ่มคุ้นเคยกับคุณแล้ว เขาจะเริ่มบ่น เริ่มถามข้อข้องใจ ยิ่งรู้ว่าคุณเป็นอาจารย์ เป็นที่ปรึกษา จะมีการถามนอกเรื่องไปด้วย คำว่านอกเรื่องบางครั้งเป็นเรื่องงาน เรื่องทฤษฎี หรือแม้กระทั่งเรื่องส่วนตัว ซึ่งถ้าคุณคุยได้ โดยรักษาบทบาทของที่ปรึกษาอย่างเหมาะสม เรียกว่ารักษาระยะดีๆ จะช่วยขยับงานหลักได้ดีมากๆ แล้วไปได้ไกลได้

ในมุมมองของผม KM ที่ใช้ได้และผมถนัดมากๆ คือ The Theory of Organizational Knowledge Creation หรือการทฤษฏีสร้างความรู้ขององค์กร มีชื่อเล่นว่า SECI Model  ตัวนี้เป็นตัวที่ใช้มากที่สุด มากในทุกงานครับ


                             

Cr: http://writepass.co.uk/journal/2012/11/a-study-of-organisational-knowledge-management-in-philips-uk/


SECI คือกระบวนการเปลี่ยนแปลง “ความรู้ในหัว (Tacit) หรือความรู้จากประสบการณ์ การทำงาน ซึ่งมักไม่มีบันทึกไว้ และ นอกหัว (Explicit Knowledge) หรือความรู้ในตำรา ที่คุณอาจเอามาจากตำรา ความคิดข้างนอก หรือจะสร้างขึ้นมาเอง แล้วบันทึกไว้ในสื่อต่างได้”  เปลี่ยนไปทำอะไร ... ถ้าเปลี่ยนเป็น ประสบการณ์ที่ปรกติแล้ว อยู่ในคนใด คนหนึ่ง มีโอกาสไปสร้างประโยชน์ให้กับคนอื่นได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด แนวคิดนี้เอาไปพัฒนานวัตกรรม ผลิตภัณฑ์ได้ ได้เลย เอามาจากในหัวนี่แหละ ไม่ทำอะไรก็จะอยู่กับใครคนหนึ่ง  ใน OD การเอา KM แนวคิดนี้มาใช้ มันก็คือ OD Intervention ชนิดหนึ่ง ที่สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงในเชิงสร้างสรรค์กับองค์กรได้เลย .... ส่วนผมเอา SECI  มาสร้างการเปลี่ยนแปลงให้วง Dialogue และ Theory U ได้ดังนี้ครับ

1. Socialization. มักเกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้เทคนิคการทำ Dialogue กันครับ ตรงนี้ขอให้ “จัดวง” เถอะ แล้วให้เขามาเล่า แค่นี้เกิดผลกระทบ สร้างการเปลี่ยนแปลงได้มากแล้ว “วง” ที่ว่า เป็นกึ่งทางการครับ คือนัดหมายวันให้ตรง ลูกค้าหรือลูกศิษยืมาสัก 5-6 คน อาจารย์สักสาม ทำไมต้องสามครับ มีเหตุผลตามข้อที่สอง  นักมาทำไมมาเล่าเรื่องว่าทำอะไรบ้าง ที่ปรึกษาก็จะเล่า ต่อยอด ยุให้ทำต่อ ประมาณแลกเปลี่ยนเทคนิค แล้วให้กำลังใจกัน ขั้นตอนนี้เราเรียกว่า Socialization ครับ คือคนเราเวลาเอาประสบการณ์มาแชร์กัน (ในเชิงบวก) จะเกิดการแลกเปลี่ยนเทคนิค และที่สำคัญจะได้แรงบันดาลใจ ใครไม่ทำเห็นคนอื่นทำก็จะไปทำบ้าง... Socialization ถือเป็น “เรือธง” ครับ จริงๆ แล้วทำมากกว่า Dialogue และ Theory U ด้วยซ้ำไป

                           

             Cr: http://powerpointforpreachers.blogspot.com/2010/08/conversational-preaching.html

2. Externalization ตรงนี้คือขั้นเอาอะไรแปลกๆ ใส่เข้าไป สังเกตไหม หลายครั้งคุณได้แรงบันดาลใจทำโน่นนี่นั่น จากการคุยกับคนต่างอาชีพ ต่างแวดวง ธุรกิจที่สร้างสรรค์ นวัตกรรมแปลกๆ เช่น Apple สตีฟ จ๊อป ได้แรงบันดาลใจจากพุทธศาสนานิกายเซ็น มา เห็นไหม ดูไม่เกี่ยว แต่เอามาเกี่ยวเมื่อไหร่ จะสร้างความแปลกใหม่ทันที  .... ในการทำ Dialogue และ Theory U เราจะเห็นลูกศิษย์พูดอย่างนี้... “อาจารย์ ..ผมมีประสบการณ์อย่างนี้ เจอมาอย่างนี้... อาจารย์ว่ามันคืออะไร  ผมจะทำอย่างไรต่อไปดี”  สิ่งเหล่านี้แหละครับ คืออะไรที่ดูไม่เกี่ยวกับสิ่งที่คุณกำลังทำอยู่ คุณสามารถช่วยเขาได้ บางคนสงสัยการตลาด การเงิน จิตวิทยา ... คนทำ OD มามากพอจะตอบคำถามเหล่านี้ได้ เพราะ OD มักไปเกี่ยวพันกับเรื่องเหล่านี้ตลอด ถ้าคุณทำ OD มาเพียวๆ ยังประสบการณ์ไม่สูง อาจเลือกร่วมทีมกับผู้มีประสบการณ์ด้านต่างๆ มากแล้ว เช่นทีมผมสองท่าน มีประสบการณ์ด้านการเงิน การตลาด เป็น MD มาทั้งคู่ ตรงนี้จะทำให้ลูกศิษย์ ลูกค้าเชื่อถือเรายิ่งขึ้น งานจะได้ผลมากยิ่งขึ้น เพราะประสบการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างทำ Dialogue หลายเรื่อง มักจะสร้างข้อข้องใจ ภายในใจลูกค้าขึ้นมา

                          

                              Cr: http://www.wallpapersdesign.net/wallpaper/nice-creativity-art/

พอคุณอธิบายเรื่องต่างๆนี้ได้ จะเป็นอะไรที่ช่วยได้มาก ที่สำคัญจริงๆ ที่อยากเล่าให้ฟังคือ กลุ่มที่ทฤษฎีสมอง ที่ถ้าคุณรู้ จะช่วยอะไรได้มากๆ   เช่นสมองสี่ส่วน  สมองยืดหยุ่น (Plastic Brain), แนวคิดสมองมนุษย์ สมองสัตว์เลื้อยคลาน (The Tipping Point), แนวคิด Gender Intelligence แนวคิด 10-10-10 ถ้าคุณรู้พวกนี้มากพอ มีประสบการณ์การเอาไปใช้ มักสามารถอธิบายปรากฏการณ์ที่ลูกค้ามักบ่นถึง ไม่ว่าจะเป้นด้าน HRD, จิตวิทยา กลยุทธ์ ผมเรียกกลุ่มทฤษฎีพวกนี้ว่า Super Theory  ที่สามารถนำมาอธิบายปรากฏการณ์ที่จะเกิดขึ้นระหว่างทำ Theory U ครับ ผมจะเขียนเรื่องนี้มาให้อีก

3. Combination  เป็นการจำแนกประเภทความรู้ ในการทำ Dialogue และ Theory U เราจะเจอคนอยู่สามสิบคน พวกเรามองดูปรากฏการร์ที่เกิดขึ้นต่อหน้าเงียบๆคนสามสิบคนที่เรารู้จัก ไม่เหมือนกันครับ ทำไปครั้งแรกเราเริ่ม “รู้” แล้วใครเป็นใคร บางคนกระตือมากๆ มีสองสามคน นี่เป็นความหวังเลย ถ้าคุณเคลียร์ข้อสงสัยได้ คนพวกนี้จะสร้างผลงาน เอาไปทำจริง แล้วเกิดผลจนสร้างแรงบันดาลใจ ให้คนอื่นทำตาม เรียกว่าพวก Change Agent ก็ได้ (คุณอาจมองแล้วแยกประเภทโดยใช้ระบบของคุณเอง) พวกต่อมาคือพวกที่ทำตามชาวบ้าน (Early Adopter) คือประมาณต้องเห็น Innovator ทก่อนแล้วจะค่อยทำตาม อันนี้ก็มีเยอะ พวกหนึ่งที่เป็นส่วนใหญ่คือ Later Adopter พวกนี้มานั่งฟัง เราก็จุดไปเรื่อยๆ แต่อาจติดในเดือนที่สาม สุดท้ายคือพวก Laggard คืออาจต่อต้าน หรือมีทัศนคติที่ไม่ได้ต่อโครงการ ตรงนี้ต้องระวัง อาจเจอดีได้ เพราะพี่แกเหวี่ยงมาก ดังนั้นการมี OD Consultant สองสามคนทำงานด้วยกันจะช่วยได้ เพราะบางทีคนนี้พลาดท่า อีกคนจะเข้ามาช่วยได้ทัน  ..... การจำแนกประเภทลูกค้า ทำให้เราต้องระดมสมอง หาวิธีการบิ๊ลล์ กลุ่ม Dialogue ได้ไม่ยาก ไม่ทำเลยอาจ ผลักอะไรต่อไปได้ยาก

                                                 

            Cr: http://powerpointforpreachers.blogspot.com/2010/08/conversational-preaching.html


4. Internalization เป็นการปฏิบัติ ปฏิบัติแล้วถึงรู้ คือไม่ว่าจะเริ่มจาก Socialization Externalization หรือ Combination ก็ตาม เราต้องช่วยกันสร้างแรงบันดาลใจ ทำเรื่องที่ดูเหมือนยากๆ ในมุมมองลูกค้า ให้มันทำง่ายๆ คือทำได้จริง.. ที่สำคัญ OD Consultant หลายครั้ง  เลี่ยงไม่ได้ที่ต้องไปทำอะไร ที่เราไม่คุ้น เช่นตอนนั้นเองผมก็ไม่ได้ทำ Dialogue และ Theory U มามากพอ เอาเป็นว่ารู้แต่ทฤษฎี แต่ไม่ได้ทำจริงมากก่อน ดังนั้นจึงต้องซ้อมครับ ก็ทำจริงกับที่บ้าน ลองทำกับตัวเอง ลองเฝ้าสังเกตดูว่าทำแล้วมันเลื่อนตาม Theory U ไหม ที่สุดพอเห็นจริงก็เข้าใจก็ไปคุยกับลูกค้าได้ ส่วนลูกค้าถ้าเขาทำจริงเมื่อไหร่ คุณจะเห็นความอัศจรรย์ครับ เขาจะพัฒนา ต่อยอดของเขาเอง จนเราเองต้องเรียนรู้จากเขาเลย

                                              

                 Cr: http://www.popscreen.com/p/MTAzNjA2MzQ4/Try-Try-Again-P-K-Hallinan


สรุปครับ SECI Model ช่วยอะไรได้เยอะครับ เป็น OD ที่เป็นรูปธรรมที่สุด ที่ทำให้ทุกอย่างเกิดพลวัตร ขยายผลได้เร็วและได้ผลมากๆ เราสอนเพียง 30 แต่เห็นผลกระทบเป็นวงกว้างไปในกลุ่มคนไม่ต่ำกว่า 300 ในสี่เดือน ชัดจริงๆ

ชาว OD สนใจเรื่องนี้ไว้บ้างจะช่วยได้มากครับ เรียกว่าจะมองกิจกรรม มอง Flow ได้ออกเลย ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก่อนหลัง ช่วยในการปรับเปลี่ยน สร้างความยืดหยุ่นให้วง Dialogue และ Theory U ได้มากจริงๆ

KM ไม่ทำไม่รู้ครับ ดีจริงๆ  สุดยอดมากๆครับ

การสร้างบริษัทดีๆ องค์กรดีๆ แม้กระทั่งคณะนักเต้นดีๆ ต้องการเปลี่ยนแปลงดีๆ  เราต้องสร้างการเปลี่ยนขึ้นมา 

เหมือนเราเป็นนก เราจะไปในที่ดีๆ เราจะต้องบินครับ และการที่เราจะบินได้ เราต้องมีลมใต้ปีกครับ 

ลมใต้ปีกที่จะพาเราไปในที่นี้ก็คือ SECI Model นั่นเอง 

วันนี้เพียงเล่าให้ฟัง ลองกลับไปพิจารณาดูเอาเองนะครับ


อ้างอิง

Knowledge Creating Company

Theory U



หมายเลขบันทึก: 536341เขียนเมื่อ 18 พฤษภาคม 2013 14:32 น. ()แก้ไขเมื่อ 18 พฤษภาคม 2013 16:10 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท