มูลนิธินี้เริ่มทำงานมา 4 ปีแล้ว โดยใน 4 ปีแรก เป็นแค่ "ศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์" เป็นกลุ่มบุคคล แต่เมื่อเดือน พฤศจิกายน 2556 ได้จดทะเบียนเป็น มูลนิธิ ฯ เรียบร้อยแล้ว เราจะเป็นหนึ่งในตัวขับเคลื่อนเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านการศึกษา การให้ความรู้และการสร้างคนใน 20-40 ปี ข้างหน้า ได้แบ่งกลุ่มคนที่เกี่ยวข้องออกเป็น 3 กลุ่ม
กลุ่มแรกคือกลุ่มคนที่มีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ เป็นผู้สูงวัย มีประสบการณ์มาก ทั้งดี และไม่ดี กลุ่มนี้จะคัดเลือกผู้ที่มองเห็นและเข้าใจว่าคนยุคนี้เป็นยุคที่ยึดติดกับระบบทุนนิยม แก่งแย่งชิงดีชิงเด่น ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เงิน โดยไม่คำนึกว่าได้มาอย่างไร ใช้อำนาจ เป็นใหญ่จึงหวงอำนาจไม่ยอมถ่ายอำนาจให้คนอื่น
กลุ่มที่สองเป็นคนที่เข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงของโลก รู้แจ้งว่าระบบทุนนิยมจะล่มสลายเช่นเดี่ยวกับระบบสังคมนิยม ผู้ที่ประสบผลสำเร็จในรุ่นนี้ จะใช้ระบบเศรษฐกิจพอเพียง มีอายุตั้งแต่ 49 ปีลงไปถึง 30 ปี กลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มที่มีกำลังให้การสนับสนุน เป็นโค้ช และตัวอย่างที่ดีให้กับคนกลุ่มที่สาม
กลุ่มที่สาม ได้แก่กลุ่มเด็กรุ่นใหม่ที่กำลังศึกษาและเริ่มทำงาน อายุ 29 ปีลงไป เด็กพวกนี้สับสน ไม่เชื่อฟังผู้ใหญ่ ขาดความศรัทธาและนับถือผู้ใหญ่ เพราะผู้ใหญ่ คือคนกลุ่มที่หนึ่ง และคนกลุ่มที่สอง ส่วนมากไม่ทำตัวให้เป็นตัวอย่างที่ดี เด็กรุ่นนี้ใช้วิธีการสั่งการหรือควบคุมไม่ได้ ต้องใช้เหตุผลและวิธีการทางจิตวิทยาสูง เด็กรุ่นนี้เป็นเด็กยุด IT สามารถเรียนรู้ทุกอย่างจาก Internet ทำให้เด็กเข้าใจว่าฉันรู้มาก จึงไม่ฟังผู้ใหญ่ เพราะคิดว่าผู้ใหญ่ล้าสมัย แต่สิ่งที่เด็กได้รับจากการเรียนรู้วิธีนี้เป็นดาบสองคม พวกเขารู้มากมายแต่ขาดประสบการณ์จริง รู้แบบผิวเผิน จึงต้องการผู้ใหญ่กลุ่มหนึ่ง และผู้ใหญ่กลุ่มสอง ที่ให้ความสนใจและเห็นปัญหาด้านการสร้างทุนมนุษย์ในอนาคต เป็นโค้ช เป็นที่ปรึกษา ผู้ให้การสนับสนุน และสร้างโอกาส กับคนกลุ่มสาม
สรุปว่าคนทั้งสามกลุ่มจะต้องทำงานด้วยกันเพื่อขับเคลื่อนมูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ ให้ประสบผลตามเป้าหมายคือ ทำให้คนมีคุณค่า มีทุนมนุษย์ครบทั้ง 8 K และ 5 K ตามทฤษฎีของ ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์ การสร้างคนดีคนเก่งได้จะต้อง ทำความเข้าใจเรื่อง Human Resource, Human Capital,Human Being ( คนเป็นทรัพยากรของแผ่นดิน คนทุกคนมีทุน มีคุณค่า เข้าใจความเป็นคน คนต้องการอะไร ) ต้องทำความเข้าใจทั้ง 3 ความหมายอย่างลึกซึ้ง และนำมาบูรณาการเข้าด้วยกัน จึงจะได้คนดีคนเก่ง คนดีคนเก่งคือคนที่ เก่งคน เก่งคิด เก่งทำงาน และเก่งในการดำรงชีวิต ขบวนการที่จะทำให้เป็นทั้งคนเก่งและคนดี คือการนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาใช้เป็นหลักในการดำเนินการในทุกขั้นตอนของขบวนการสร้างคนดีคนเก่ง
ม.ล.ชาญโชติ ชมพูนุท
14 เมษายน 2556
ผู้ใดสนใจเข้ามีส่วนร่วมในการสร้างคนดีคนเก่ง คนที่มีคุณภาพ สร้างความเจริญรุ่งเรื่อง และความมั่นคง ให้กับสังคมและประเทศชาติ ประชาชนโดยรวมมีความสุข อย่างยั่งยืน ในอีก 20-40 ปี ข้างหน้า เชิญ แจ้งความจำนงมาที่ผมโดยตรง ทาง e-mail address: [email protected] หรือ โทร 089-1381950 หรือเข้าไปดูรายละเอียดได้ที่เวปไซด์ www.thaiihdc.org
มูลนิธิต้องการผู้มีส่วนร่วมทั้งสามกลุ่มเป็นจำนวนมากครับ เป็นการร่วมมือกันสร้างคุณค่าของคน เริ่มจากตัวเราเอง ครอบครัว สังคม และประเทศชาติ สิ่งที่เราเริ่มทำจะไปเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมในคนกลุ่มที่ 4 คือลูกของคนที่มีอายุ 29 ปีลงไป กลุ่มที่หนึ่งทำเพื่ออนาคตของหลาน เหลน ตัวเองคงไม่ทันเห็นผลสำเร็จในชีวิต ของตัวเอง คงจะตายไปก่อน แต่สำหรับบางคนอาจจะเป็นการทำเพื่อตัวเองก็ได้ เพราะเมื่อตายไปแล้วเกิดใหม่จะได้มารับอานิสงค์ที่ตัวเองทำไว้
ทำให้คนมีคุณค่า มีทุนมนุษย์ครบทั้ง 8 K และ 5 K ตามทฤษฎีของ ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์ ขอบคุณมากนะคะ ขอให้มีความสุขวันครอบครัวและวันสงกรานต์
ขอบคุณครับอาจารย์ Ple ที่เข้ามาแสดงความเห็นและยังนำรูปสวยๆมาฝาก
สวัสดีครับ
" คนเป็นทรัพยากรของแผ่นดิน คนทุกคนมีทุน มีคุณค่า เข้าใจความเป็นคน คนต้องการอะไร" นี่คือประเด็นหลักที่จะนำไปสู่การจัดการศึกษาในอนาคต ขอบคุณที่รวมกลุ่มกันที่สร้างฐานการศึกษาใหม่ให้กับประเทศไทย ผมก็เริ่มด้วย จัดรวมกลุ่มตั้ง "ศูนย์วิทยาทานงานสอนคน" ขอร่วมแนวทางด้วยอีกองค์กรครับเพราะเรายังเล็กมาก
สวัสดีครับคุณธนา
ดีใจครับที่ทราบการรวมตัวจัดตั้ง "ศูนย์วิทยาทานงานสอนคน" ชื่อดีและตรงมากครับ การสร้างคนต้องอาศัยเครือข่าย ครับ หวังว่าองค์กรทั้งสองจะร่วมมือเป็นเครื่อข่ายให้การสนับสนุนซึ่งกันและกันครับ มูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ ก็เล็กเช่นกันครับ ยังต้องเหนื่อยกันอีกมาก ขอความกรุณาส่งข้อมูลของ "ศูนย์วิทยาทานงานสอนคน" ให้ผมด้วยครับ ที่ e-mail address: [email protected]
นับถือ
ม.ล.ชาญโชติ ชมพูนุท
หลังจากอ่านบทความของอาจารย์วิจารณ์ทั้ง 5 ตอน ทำให้ผมเขียนถึงอาจารย์วิจารณ์ดังนี้
"เรียนอาจารย์วิจารณ์ ที่นับถือ
ขอบคุณครับอาจารย์วิจารณ์ ผมชอบตอนนี (5) มากครับ เป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุดครับ โชคดีมากๆที่อาจารย์เขียนบทความนี้ขึ้นมา เป็นสิ่งเดี่ยวกับที่ผมทราบและเข้าใจมาตลอด (ไม่ทราบว่ามาจากไหน ขอยืนยันว่าผมไม่ใช่นักอ่านหนังสือ น่าจะเรียนรู้จากตัวเองและประสบการณ์ที่ได้พบเห็นทั้งจากตัวเอง คนรอบข้าง และนำมาวิเคราะห์ เหมือกับ ผมรับข้อมูลจากทุกสิ่งรอบตัวผมจากสัมผัสทั้ง 5 และสมองทำการวิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูลทั้งหมดที่ผมรับมา และสรุปผลออกมาเองโดยธรรมชาติ มีหลายๆเรื่องที่ผมไม่เคยเรียนรู้และทราบมาก่อน แต่เมื่อฟังและจับประเด็นได้ ผมจะมีคำตอบของผม) สิ่งที่ผมอยากจะสื่อคือ ผมทราบและเข้าใจที่อาจารย์กล่าวมาทั้งหมด และผมพยายามอธิบายและบอกกับคนรอบข้างผม แต่ส่วนมากไม่เข้าใจ หรือไม่สนใจ และคิดว่าผมเป็นนักทฤษฎี ทั้งๆที่ผมเป็นนักปฎิบัติเต็มตัว บทความของอาจารย์เป็นวิทยาศาสตร์ มีเหตุมีผลและมีการอ้างอิง ทำให้ผมสามารถนำมาใช้เป็นข้ออ้างอิงเพื่อยืนยันสิ่งที่ผมคิดได้เป็นอย่างดี"
ม.ล.ชาญโชติ ชมพูนุท
17 เมษายน 2556
สวัสดีค่ะ
ขอบคุณครับ คุณ Krudala ไม่สนใจเข้ามามีส่วนร่วมด้วยหรือครับ มูลนิธินี้เป็นของคนไทยทุกคน ยินดีต้อนรับสมาชิกและผู้สนใจเข้าร่วมเป็นคณะทำงาน ทุกท่านครับ ไม่มีค่าสมาชิก การขับเคลื่อนจะเริ่มจากกลุ่มสมาชิกของเราก่อน ถ้าสนใจติดต่อผมได้ตลอดเวลาครับ ต้องการทราบความคืบหน้าสามารถเข้าไปอ่านรายงานการประชุมได้ใน www.thaiihdc.org อย่างไรก็ตามคิดว่าจะนำรายงานการประชุมมาลงใน gotoknow เช่นกันครับ ติดต่อผมได้ที่ [email protected] หรือ โทร 089-1381950
หลักสูตรใดๆ ในโลกนี้ เบื้องต้น ล้วนเกื้อประโยชน์ให้ผู้ที่อ่านออกเขียนได้มากกว่า
ในยุึคเทคโนโลยี่ที่ก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว พูดได้อย่างเดียว กลายเป็นเรื่องสื่อสารไม่ถนัด
จับประเด็นให้มีการสอนเด็กให้อ่านออกเขียนได้ ใช้ภาษาให้ถูกต้องตามวัฒนธรรมก่อน
โลกกว้างนะคะ
ดิฉันได้ใส่ความเห็นไว้ที่บันทึกนี้ด้วยค่ะ วิจัยสนับสนุนการปฏิรูปหลักสูตร
โลกจะยิ่งกว้างขึ้นทวีคูณ เพราะจากที่เคยคิดเล่นๆว่า เราอายุขนาดนี้ มีเพื่อน และได้เคยพบปะผู้คนมาแล้วประมาณไหน เปรียบเทียบกับตอนนี้ มีภาระกิจที่บ้าน ไม่ได้ออกไปทำงานนอกบ้าน ในเวลาไม่กี่ปีนี้ ได้สื่อสาร เห็นประสบการณ์มากมายจากงานเขียนบนอินเทอร์เน็ต ใช้เวลาน้อยกว่า แต่เหมือนได้เห็นชั่วชีวิตของบางคนเลยนะคะ
ขอบคุณครับท่านผู้ใช้นามว่า on time ใช่ครับโลกกว้างมาก แต่เทคโนโยลี ทำให้การสื่อสารเร็วมาก ตามที่อาจารย์วิจารณืว่า เดี๋ยวนี้เป็นยุดหาความรู้ได้ง่าย มีแหล่งให้หาสิ่งที่ต้องการรู้มากมาย แต่มิใช่ว่าข้อมูลทุกข้อมูลจะเป็นความรู้ ข้อมูลที่ได้มาอาจทำให้เรากลายเป็นคนโง่ไปเลยก็มีครับ
โง่ หรือ ฉลาด เป็นการประมวลจากประสบการณ์ ไม่ได้มาจากพื้นฐานของการอ่านหนังสือ
ส่วนมากคนเรามักจะเข้าใจเหตุการณ์ต่างๆ ได้ง่ายขึ้น... เมื่อได้เคยมีประสบการณ์จริง... ที่ไม่ว่าจะเกิดขึ้นกับตัวเอง หรือ พบเห็น case study จากคนอื่น... ซึ่งสมัยใหม่นี้ สิ่งที่จะช่วยในการจดจำ ได้ง่ายขึ้น เราก็มักจะพบเห็นเรื่องราวจากการดูหนัง+ฟังเพลง... |
ภาษาหนังสือ อาจเป็นนามธรรมเมื่อเราได้ผ่านไปอย่างไร้ประโยชน์ เพราะไม่เคยพบเจอเรื่องราวเหล่านั้น... จึงไม่สามารถจดจำหรือเข้าใจเรื่องที่อ่านนั้นได้อย่างลึกซึ้ง... แต่ภาษาหนังสืออาจเป็นรูปธรรมที่เป็นประโยชน์เมื่อสอดคล้องกับเหตุการณ์บางอย่างที่เกิดขึ้นจริงในชีวิตประจำวัน... ที่จริงแล้ว ภาษาหนังสือก็มีความกว้าง ความลึก ดุจน้ำในทะเลมหาสมุทรที่กว้างใหญ่... เพราะส่วนมากล้วน...สื่อมาจากการมองเห็นจิตใจของคน. |
http://www.gotoknow.org/posts/449391
กว่าจะรู้ ก็อาจเสียหายสูญเสียไปเลย
ในยุคเทคโนโลยี่ เหมือนมีโชคดีหลายชั้น หนึ่งในนั้นก็คือ ไม่ต้องเสียเงินซื้อหนังสือ
เมื่อคิดย้อนกลับไป การเลือกหนังสือมาอ่านเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์สักอย่าง ต่อให้มีเวลามากแค่ไหน ก็ยังเป็นเรื่องยากที่สุดเลย จะไม่เชื่อหรือคะ? ไม่เป็นไรน้า.. ขอบคุณค่ะ
ต้องขอบคุณผู้ใช้นามว่า on time ที่กรุณาให้ข้อคิดดีๆครับ วันนี้ผมไปสัมมนาที่อุบลตั้งแต่เช้า และเพิ่งกลับมาถึงบ้านเดี๋ยวนี้เอง ได้อ่านข้อคิดของท่านแล้ว รู้เลยว่ามีเรื่องที่จะต้องแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับท่านอีกหลายเรื่อง แต่เนื่องจากพรุ่งนี้ผมมีงานสัมมนาทั้งวัน จึงต้องขอตอบท่านเท่านี้ก่อนเพราะต้องเช็คงานอีกหลายเรื่องและพรุ่งนี้ต้องตื่นเช้าไปร่วมสัมมนาแต่เช้า หลังจากจบสัมมนาในช่วงเย็นแล้วยังต้องไปต่องานในช่วงค่ำอีก เชื่อว่าวันพรุ่งนี้คงไม่สะดวกที่จะแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม จึงรีบตอบท่านมาก่อน เพราะท่านได้เขียนมาถึง 3 ตอนและตอนล่าสุดก็เมื่อ 23 ชั่วโมงที่แล้ว
นับถือ
ม.ล.ชาญโชติ ชมพูนุท