สรุปแล้วชาติหน้ามีจริงหรือไม่ (ตอน ๒..พี่ชายสุดเลิฟกับผมสนทนาธรรมกัน)


สรุปแล้วชาติหน้ามีจริงหรือไม่ (ตอน ๒..พี่ชายสุดเลิฟกับผมสนทนาธรรมกัน)

(ตัดตอนมาเล่าให้ฟัง เผื่อจะเป็นประโยชน์กับเพื่อนร่วมทุกข์) 


เป็นการโต้กันอย่างกัลยาณมิตร ฉันท์พี่น้อง  ไม่ได้บอกว่าใครถูกหรือผิด  แต่ให้คิดเอาเอง  อาจถูกทั้งคู่ หรือผิดทั้งคู่ก็เป็นได้นะ  อิอิ

สองเกิดน้องรัก


คติเรื่องชาติหน้านั้น เราสามารถพิสูจน์ได้แน่นอนว่ามันไม่มีอยู่จริง เข้าใจได้ด้วยปัญญาระดับจินตมยะนี่แหละ และไม่ต้องอาศัยอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์ใด โดยเฉพาะในยุคนี้ วิทยาศาสตร์ ไปไกลมากแล้วในทุกๆด้าน ด้านฟิสิกส์ไม่ต้องพูดถึงขนาดสรุปได้ว่ากาละ-เทศะจนกระทั่งถึงอนุภาค-คลื่น เป็นสิ่งที่มิอาจอยู่ได้ด้วยตนเอง มิได้มีอยู่เอง เกิดดับตามเหตุปัจจัย ในทางชีววิทยา เราสามารถทำโคลนนิ่ง หรือเปลี่ยนอวัยวะ หรือทำสเต็มเซลล์รักษาโรค ที่สมัยก่อนถือกันว่าเป็นกรรมเก่าให้หายได้ และอธิบายได้ถึงความเป็นมาของพฤติกรรมทุกเรื่องของมนุษย์ ในทางคอมพิวเตอร์ เราสามารถสร้างคอมพิวเตอร์ที่มีปัญญากว่ามนุษย์ในทุกทาง (ซึ่งน่ากลัวมากและมันเริ่มแผลงฤทธิ์แล้ว) ฯลฯ


แต่จะอธิบายให้เข้าใจได้ว่าชาติหน้าไม่มีจริงนั้น กลับมิใช่เรื่องง่าย (เหมือนดังที่พระพุทธเจ้าท้อใจ) เพราะมีเรื่องที่ต้องเข้าใจเหมือนๆกันมากมาย นับตั้งแต่พื้นฐานขึ้นมาเลย กว่าจะเห็นพ้องต้องกันกับใครสักคนในเรื่องชาติหน้า น่าจะต้องทะเลาะกับคนๆนั้นเป็นร้อยๆเรื่อง พระพุทธเจ้าจึงสรรเสริญอุสาสนียปาฏิหารย์ ว่าเหนืออิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์ทั้งปวง ใช่สิ ทำให้คนเชื่อได้ว่าชาติหน้ามันไม่มีอยู่จริงนั้น มันคือโคตรปาฏิหาริย์เลย


โปรดสังเกต เรื่องชาติหน้ามีจริงนั้น เป็นการส่งเสริมอัตตาอย่างยิ่ง เพราะมันยืนยันว่าความตายไม่ได้ทำให้อัตตาเราสูญหายไปไหน เรายังบำรุงรักษาให้มันอยู่ไปได้เรื่อยๆ อะไรที่ผิดในตอนนี้ก็ยังมีโอกาสแก้ไขได้ใหม่ หรือติดหนี้ไว้ก่อนได้ ฯลฯ


เหนื่อยแล้ว ขอไปนอนก่อนเด้อ จบดื้อๆงี้แหละ

เรืองรุ่ง


พี่เรืองรุ่งครับ

อย่าลืมด้วยว่า   พพจ. สอนด้วยว่า อัตตาหิ อัตตโนนาโถ (ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน)  

ถ้าชาติน้าไม่มีจริง พพจ.  ตรัสรู้แล้วจะมาสอนคนทำไม ก็ปล่อยให้ตายไปเปล่าๆ ไม่ดีกว่าหรือ  เพราะหมดชาตินี้แล้วก็จะมีสภาพเหมือนกันหมดอยู่ดี   จะต้องมามองเห็นธรรมของพระองค์ทำไมให้เหนื่อยยากทำไม  เอาเวลาไปทำมาหากินให้ร่ำรวยกว่าปกติไม่ดีกว่าหรือ

พุททาสภิกขุ ก็ทำนองเดียวกัน การออกมาสอนด้านศาสนา จิตวิญญาณต่อมหาชนนี้เท่ากับยอมรับโดยปริยายว่าชาติหน้ามีจริง  แต่ท่านไม่อยากให้คนไปหมกมุ่นอยู่กับเรื่องนี้ แล้วหันไปปฏิบัติศาสนาแบบอามิสบูชาเสียหมด  เพราะจะทำให้ช้าเกินการณ์  เพราะมัวแต่ทำบุญไว้กินชาติหน้าอยู่นั่นแหละ ไม่ยอมปฏิบัติเข้มในชาตินี้  

การบอกว่าชาติหน้ามีจริง ก็ผิดหลักศาสนาพุทธอยู่แล้ว  แต่การบอกว่าไม่มีผมว่าก็ไม่น่าใช่ อาจเท่ากับว่าถือลัทธิ นิรัตตา   เข้าไปแล้ว (ตายแล้วสูญ)  

ศาสนาพุทธถือสายกลาง  คือ ไม่ใช่ทั้งสองอย่าง เป็นอนัตตา    แต่หากพูดโดยโวหาร บางทีเราก็ใช้คำว่า "ไม่มี"  แทนคำว่า "ไม่ใช่"    เช่น ท่านพุทธทาสเองก็ยังพลั้งเลยว่า แม้ชาตินี้ยังไม่มี แล้วชาติหน้าจะมีได้อย่างไร   .... แต่นั้นเป็นเพียงโวหาร เอาภาษาคนมาอธิบายภาษาธรรมให้โลดโผน กระตุกใจคนเล่น     ความจริงต้องว่า แม้ชาตินี้ยังไม่ใช่ แล้วชาติหน้าจะใช่ได้อย่างไร  

ในพระอภิธรรม ยังมีคำอธิบาย ญาณขั้นต่างๆ ในลำดับของการบรรลุธรรม มีขึ้นหนึ่ง เปรุ....ญาณ อะไรเนี่ย ว่ากันว่า จะระลึกชาติปางก่อนได้  

(นั่นขณะนั้น  แต่ขณะนี้ไปค้นเพิ่มมาหน่อย เรียกว่า ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ  ..เป็นญาณที่ทำให้ระลึกชาติปางก่อนได้  หลวงพ่อ ชอบ  ฐานสโม  สอนได้กินใจมาก ว่าได้ญาณนี้แล้วอย่างไปหลงติด คิดว่าเป็นคุณวิเศษ  จะยิ่งทำให้เสียเวลาในการบรรลุธรรมขั้นสูงสุด...คนถางทาง) 


สองเกิด ใจเต็ม 

(คนถางทาง ๓๑ มีค. ๒๕๕๖)


หมายเลขบันทึก: 531811เขียนเมื่อ 1 เมษายน 2013 06:52 น. ()แก้ไขเมื่อ 1 เมษายน 2013 06:52 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท