1. คุณภาพของการศึกษาระดับพื้นฐานโดยรวมต่ำลง
2. ละเลยคุณค่าของการเรียนเชิงทักษะวิชาชีพ - อาชีวศึกษา
3. มีแรงผลักดันให้ผู้จบ ม.6 ทุกคนเข้าเรียนอุดมศึกษา เกิดบัณฑิตคุณภาพต่ำ
4. เกิดบัณฑิตศึกษาแบบสถาบันหวังเงิน ผู้เรียนหวังกระดาษเป็นเป้าหมายหลัก
5. วัฒนธรรม สวยงามที่เปลือกไร้แก่น ระบาด
วิจารณ์ พานิช
24 ก.ย. 49
วันมหิดล
ผมก็มีข้อสังเกตตรงนี้เกิดขึ้นในใจมาหลายปีเหมือนกัน คิดด้วยแนวอิทัปปัจจยตาย้อนไปหลายชั้น ผมเห็นค่านิยมวัฒนธรรมสังคมไทยครอบงำอยู่อย่างหนักหน่วง และมูลค่าเศรษฐกิจการเมืองเชิงอาชีวะมันไม่กระจายอย่างเป็นธรรม ช่างฝีมือทุกสาขาถูกระบบตลาดเสรีกดราคาลงไปต่ำใกล้กับค่าแรงแรงงาน แรงจูงใจที่จะดำรงอาชีวะย่อมหดหายไป ไปกดดันผ่านการเมืองการศึกษาให้ขยายมหาวิทยาลัยรองรับเป้าหมายทดแทน สถาบันอาชีวะจึงหดลงไป นอกจากนั้นที่ยังหลงเหลือก็เก็บกด ชดเชยด้วยการยกพวกตีกันยิงกันตาย
ตรงนี้หากมองเชิงวิชาพฤติกรรมสังคม ผมอยากให้นำวิชาภาวะความเป็นผู้นำ บรรจุเข้าไปสอนเด็กวัยรุ่นเสียเลยแต่ช่วงอายุนี้-พวกเขากำลังเรียนรู้เรื่องการมีการเป็นเจ้าอาณาเขต(Domain)แบบลูกไก่รุ่นกระทงที่หัดตีกันแล้ว สอนดีๆเขาจะเลิกตีกันและได้บุคลากรของชาติที่มีภาวะผู้นำ-การพึ่งพาตนเองได้-และคือเศรษฐกิจพอเพียงในที่สุด
อีกแง่หนึ่งที่กลับกัน วัฒนธรรมเชิงพฤติกรรมของคนไทย มีลัษณะเป็นปัจเจกมนุษย์ตัวใครตัวมัน มากกว่าการมีนิสัยร่วมมือกันรักษาผลประโยชน์กลุ่ม หรือไม่มีนิสัยเชิงองค์การและการจัดการร่วมกันอย่างเป็นระบบและมีเป้าหมายร่วมกัน (คงจำไม่ผิด มาตรา๔๕ และมาตราอื่นที่คล้ายกันในรัฐธรรมนูญ พ.ศ.๒๕๔๐ที่บัญญัติเรื่ององค์การ ช่วยได้ หากแต่ผู้คนยังละเลยไม่สนใจ)
ชนชาติที่เข้มแข็งในปัจจุบันเช่นอเมริกา ญี่ปุ่น และที่ใกล้ตัวที่สุดคือสมาคมชาวจีนทุกรูปแบบในเมือง ในทุกอำเภอ(มีศาลเจ้า มีงิ้วและเชิดสิงโตเล่นกันเป็นเทศกาลทุกปี) มักมีความสามารถทางการจัดตั้งองค์การแบบโปร่งใส เป็นประชาธิปไตย ไม่เผด็จการ รับผิดชอบตรวจสอบได้ในองค์การรูปแบบและลักษณะต่างๆ นี่คือรูปธรรมของนามธรรมคำว่า"สามัคคี"แบบลอยๆกว้างๆมัวซัว ที่สังคมถนัดพูดกันบ่อยเหลือเกินนั่นเอง แต่จับต้องชี้วัดไม่ได้