Archanwell
รศ.ดร. พันธุ์ทิพย์ กาญจนะจิตรา สายสุนทร

กรณีนายอัษฎา พานิชกุล : กรณีศึกษาคนสัญชาติไทยซึ่งมีสัญชาติอเมริกันอีกด้วย


กรณีศึกษานี้ อ.แหววเลือกขึ้นมาเพื่อยกตัวอย่างให้ทราบถึงคนสัญชาติไทยซึ่งเกิดในต่างประเทศ จนทำให้ได้สัญชาติของรัฐต่างประเทศ นอกจากนั้น คุณอัษฎายังเป็นตัวอย่างของบุคคลธรรมดาที่มีจุดเกาะเกี่ยวกับ ๓ ประเทศ ในขณะเดียวกัน

          มีโอกาสเยือนเรือนชานของวีเจ.เอ็มทีวีชื่อดัง "อั๊ต" อัษฎา พานิชกุล ที่ยากนักจะเปิดต้อนรับใคร ด้วยเพราะเจ้าของไม่ค่อยอยู่ติดบ้าน อย่างเย็นวันนี้ก็ต้องเตรียมบินไปทำงานต่อที่สิงคโปร์

       พูดถึงการเดินทาง หัวข้อสนทนาที่เรียกน้ำย่อยย่อมไม่พ้นเรื่องสนามบินแห่งใหม่ "สุวรรณภูมิ" เม้าธ์กันพอหอมปาก เลยเข้าเรื่องที่ต้องการคุย ซึ่งเริ่มจากวัยเด็กที่เจ้าตัวบอกว่า

          "ผมเกิดที่อเมริกา รัฐแคลิฟอร์เนีย ถือ 2 สัญชาติ ไทย-อเมริกัน ใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น 16-17 ปี จากนั้นก็ย้ายมาอยู่เมืองไทย จริงๆ แล้วพ่อแม่อั๊ตเป็นคนไทย พ่อเคยเป็นครูของแม่ สมัยมัธยมฯ แต่ตอนนั้นยังไม่ได้รักกัน และได้ไปพบรักกันที่อเมริกา ซึ่งแม่ทำงานเป็นพยาบาล ส่วนพ่อไปเรียนต่อด็อกเตอร์ โดยมีอั๊ตเป็นลูกชายคนโต และอั๊ตมีน้องชาย 1 คนชื่อเจอร์ อายุห่างกันถึง 7 ปี แต่คนเข้าใจว่าอายุห่างกันปีสองปี"

*7 ปีที่เป็นลูกโทนรู้สึกอย่างไรบ้าง?

อั๊ต - "รู้สึกอบอุ่น พอมีน้องก็รู้สึกดี เหมือนมีของเล่นเพิ่มมาชิ้นหนึ่ง จะชอบแกล้งน้องพอสมควร แต่พอน้องโตขึ้นเขาก็ชอบแกล้งพี่ เพราะตัวเขาจะบึ้กกว่าอั๊ต พ่อแม่จะเลี้ยงอั๊ตแบบให้อิสระ เพราะทั้งพ่อและแม่เป็นคนที่เปิดใจกว้าง ไม่บังคับจิตใจ ปล่อยให้เรียนรู้ด้วยตัวเอง แต่ก็มีกรอบที่ทุกวันอาทิตย์อั๊ตจะต้องไปเรียนที่วัดไทย เกี่ยวกับพุทธศาสนา วัฒนธรรมไทย ดนตรีไทยเรียนซออู้ ซึ่งการเลี้ยงดูนั้นเลยทำให้มีอั๊ตในวันนี้"

*พ่อแม่ไทยแต่ไหงหน้าอั๊ตเหมือนลูกครึ่ง?

อั๊ต - "หลายคนเข้าใจผิด คิดว่าอั๊ตเป็นลูกครึ่งไทย-อเมริกัน อั๊ตว่าส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะบรรยากาศสิ่งแวดล้อมที่เราเติบโต ลักษณะอาหารการกิน และมีคนชอบแซวมากๆ ในตอนที่อั๊ตยังเด็กว่าพ่อแม่เก็บลูกฝรั่งมาเลี้ยง บ้างก็ว่าหยิบลูกมาผิด ถ้าดูรูปแล้วจะเห็นว่าอั๊ตหน้าเหมือนฝรั่งตั้งแต่เกิด ซึ่งจริงๆ พ่ออั๊ตหล่อนะ สีนัยน์ตาท่านจะอ่อน ส่วนแม่ก็สวย และที่ทำให้หลายคนหายสงสัยก็ตอนที่พ่อแม่มีน้อง เป็นน้องชายที่หน้าคล้ายอั๊ต"

*เด็กๆ ซนมั้ย?

อั๊ต - "ซนชนิดที่ไม่ต้องพูดถึง ได้ทำอะไรเยอะแยะ ซึ่งเป็นเรื่องปกติของเด็กที่โตเมืองนอก ขี่จักรยาน ปีนเขา สเก็ตบอร์ด ฯลฯ ซึ่งอั๊ตจะมีเพื่อนหลายกลุ่ม ทั้งเพื่อนเด็กไทยที่มาเรียนเมืองนอก เพื่อนเด็กไทยที่เกิดเมืองนอก และเพื่อนที่เป็นเด็กนอกนิสัยฝรั่ง ซึ่งแต่ละกลุ่มมีความแตกต่าง เด็กที่นั่นจะโตไว อายุ 13-15 ก็เริ่มเที่ยวแล้ว ที่เมืองนอกเขาจะให้ขับรถตอนอายุ 16 ปีถ้าพ่อแม่อนุญาต แต่อั๊ตแอบเอารถพ่อแม่ไปขับตั้งแต่อายุ 14-15 แล้ว ซึ่งอั๊ตจะเป็นเด็กดื้อเงียบ แต่ก็ไม่ได้นอกลู่นอกทาง เพราะพ่อแม่เปิดร้านอาหารไทย "SIAMESE LOTUS" ที่นั่น เลยทำให้อั๊ตมีวินัยในการทำงานและมีความรับผิดชอบสูง พ่อแม่ให้ทำงานตั้งแต่อายุ 9 ขวบ งานแรกคือล้างจาน ยังเสิร์ฟอาหารไม่ได้เพราะอายุไม่ถึง พออายุ 14-15 ก็ขยับมาเป็นผู้จัดการดูแลร้าน และจะได้เที่ยวกับเพื่อนๆ ในวันเสาร์อาทิตย์"

*ปัจจัยอะไรที่ทำให้กลับมาอยู่ที่เมืองไทยถาวร?

อั๊ต - "แม่ดูดวงและถูกทักมาหลายรอบว่าดวงอั๊ตที่เมืองนอกไม่ดี เพื่อเป็นการต่ออายุ ให้ส่งไปอยู่ที่อื่น แต่ถ้าไปเมืองไทยยิ่งดี จะรุ่งเรือง เพราะเป็นบ้านเกิดของพ่อกับแม่ ซึ่งตอนที่แม่ส่งอั๊ตมาที่เมืองไทย อั๊ตไม่รู้ว่าจะต้องกลับมาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ แม่แค่บอกให้กลับมาเยี่ยมยาย และตกลงกับญาติพี่น้องเอาไว้แล้วว่าให้ยึดพาสสปอร์ตอั๊ตไว้ แล้วค่อยบอกว่าแม่ให้อยู่ ไม่ให้กลับ ตอนที่ยังไม่รู้ความจริง รู้สึกหงุดหงิด โวยวาย จะรู้สึกว่าเราเป็นผู้ใหญ่แล้ว มาทำอย่างนี้ได้ไง มันไม่แฟร์ จู่ๆ มายึดพาสปอร์ตโดยที่ไม่คุยกัน ในวันนี้พอมองย้อนกลับไปรู้สึกว่าตัวเองแย่ พอเวลาผ่านไปทำให้ได้เรียนรู้และเข้าใจอะไรมากขึ้น และทำให้อั๊ตมีทุกวันนี้ อั๊ตโชคดีที่ลุงกับป้าอ้าแขนรับเรา ให้ความอบอุ่น ค่อยๆ สอน ค่อยๆ ซึมซับ อั๊ตอยู่กับลุงและป้า 3 ปี จากนั้นก็ย้ายไปอยู่เอง เป็นตัวเอง เริ่มดื้อเงียบอีก ซึ่งความดื้อนั้นอั๊ตรู้ตัวว่ากำลังค้นหาจุดยืนของตัวเอง และในที่สุดเมื่อมีสติเราก็กลับมาตอนที่ได้เรียนรู้ว่าใครที่รักและจริงใจกับเราจริงๆ และตัวตนที่แท้จริงของเราอยู่ตรงไหน เป็นใคร"

*ช่วงแรกที่มาอยู่เมืองไทยปรับตัวยากมั้ย?

อั๊ต - "ช่วงแรกค่อนข้างช้าในการจับใจความในการฟังและพูดภาษาไทย แต่พออยู่มาเรื่อยๆ ก็เริ่มเข้าใจขึ้น เพราะมีพื้นฐานการฟังภาษาไทยมาจากที่พ่อแม่พูดภาษาไทยในบ้าน แต่ยังมีบ้างกับปัญหาในการพูดสื่อสาร อั๊ตเป็นคนอ่านไม่ค่อยออก เขียนไม่ค่อยได้ แต่ฟังรู้เรื่อง ซึ่งก่อนหน้าพ่อแม่เคยพาอั๊ตกลับมาตอนที่ยังเล็กมากตอน 7-8 ขวบ และตอนอายุ 13-14 ปี และที่มาอยู่เลยคือตอนอายุ 17 ปี"

*ได้เข้าวงการตอนไหน?

อั๊ต - "ตอนอายุ 17-18 ปี อยากหาเงินซื้อตั๋วกลับอเมริกา เลยเอานามบัตรของโมเดลลิ่งที่เค้าให้ไว้ช่วงที่กลับเมืองไทยตอนอายุ 13-14 ปี โทร.หาแล้วก็ไปแคสติ้ง และเหมือนเป็นดวงที่ทำให้อยู่วงการบันเทิง งานแรกที่ทำเป็นถ่ายแบบโฆษณา แบรนด์ฟอร์เมน ซึ่งยุคนั้นถือเป็นยุคทองของโฆษณา จากนั้นก็มีงานถ่ายแบบนิตยสารหลายฉบับ นายแบบร่วมรุ่นก็มี แอนดริว เกร้กสัน, เอก โอรี, ปราโมทย์ แสงศร, สมชาย เข็มกลัด ฯลฯ จากนั้นก็ได้เล่นละครเรื่องแรก "นกน้อยในไร่ส้ม" ทางช่อง 3 คู่กับลูกน้ำ-พาเมล่า ยอมรับว่าเล่นได้แข็งเป็นสากกะเบือ แต่พอเล่นเรื่อง "คือหัตถาครองพิภพ" ทางช่อง 7 การแสดงดีขึ้น และได้เล่นละครต่อเนื่องมาเรื่อยๆ พอทำงานแล้ว มีเพื่อนมากขึ้น หลงใหลในงาน ทำให้ความเครียดในเรื่องที่อยากกลับบ้านเบาลง เริ่มเรียนรู้กับสิ่งแวดล้อมใหม่ เริ่มปรับตัวได้ และสิ่งที่อั๊ตได้เรียนรู้ในวงการ ถ้าเราอยากอยู่นานก็ต้องรักษาคุณภาพ ควรรู้พี่รู้น้องมีสัมมาคารวะ รู้ตัวว่ามาจากไหนและกำลังจะไปไหน รู้จักที่มาที่ไป"

*โตเมืองนอกแต่ยังมีเลือดความเป็นไทย?

อั๊ต - "ครับ ความเป็นไทยถือเป็นข้อดี อั๊ตมีความเป็นไทยมากกว่าฝรั่ง ก็ต้องขอบคุณพ่อแม่ ลุงกับป้าและครอบครัวเขา ผมเชื่อว่าการที่ผู้ใหญ่เลี้ยงดูเราด้วยความรัก ทำให้เราวันนี้ที่อายุ 33 ปี รู้สึกรักพ่อแม่มาก อยากอยู่กับเขา อยากตอบแทนพระคุณ ซึ่งอั๊ตเองรู้สึกดีใจมากที่ยังไม่สายเกินไปที่เราจะแสดงความรักให้เขาเห็น ได้ดูแลเขา ทุกวันนี้จะมีสติ มีสมาธิ และรู้สึกดีกับพ่อแม่ ญาติพี่น้อง ลุงสงป้านุ้ย และทุกคนที่เรารู้สึกดีด้วย ซึ่งแต่ก่อนยอมรับว่าเป็นคนปิดกั้นตัวเอง ด้วยนิสัยที่มีโลกส่วนตัวสูง แต่พอโตมาก็รู้สึกว่า เรามีโลกส่วนตัวได้ แต่ทุกอย่างควรอยู่ในความพอดี"

*แล้วก้าวมาเป็นวีเจ.ที่สิงคโปร์ได้อย่างไร?

อั๊ต - "อั๊ตเป็นวัยรุ่นที่โตมากับยุค MTV ที่เมืองนอก MTV เป็นโลโก้ที่ยิ่งใหญ่ ถือเป็นความใฝ่ฝันของวัยรุ่นหลายคนที่อยากเป็นวีเจ.เอ็มทีวี และอั๊ตก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่ตอนนั้นคิดว่าเป็นความฝันที่ไกลห่าง เพราะเอ็มทีวีและแชนแนลวียังไม่บุกมาโซนเอเชีย แต่พอบุกมา ตอนนั้นอั๊ตพยายามมากถึงขั้นบินไปสมัครที่สิงคโปร์ แต่ยังไม่เข้ารอบเพราะตอนนั้นเขาหาคนที่พูดจีนได้ พอช่วงหลังมีโอกาสแคสติ้งที่ไทยแล้วส่งไปสิงคโปร์ ซึ่งความพยายามนั้นประสบความสำเร็จ อั๊ตรู้สึกว่าเราอย่าท้อถอย เมื่อเราล้มได้ก็ต้องลุกให้ได้ และเราก็จะทำสำเร็จได้ งานที่ทำทั้งในเมืองไทยและสิงคโปร์ ทำให้ได้เรียนรู้ประสบการณ์เยอะมาก แต่ก็ยังอยากเรียนรู้ต่อไปเรื่อยๆ เลยเป็นสาเหตุให้ทุกวันนี้บินไปบินมา แต่การทำงานในวันนี้จะเบาลง เพราะเคยทำงานหนักจนไม่มีเวลาได้พัก ก็หันกลับมาคิดว่า เรากำลังทำอะไรอยู่ ทำไมเครียดขนาดนี้ ไม่ต้องทำถึงขนาดนี้ก็ได้ และเมื่อวันเกิด 3 ก.ย.ที่ผ่านมา มีโอกาสได้พาพ่อแม่ไปพักที่วิรันดา หัวหิน หลังจากที่ไม่ได้เที่ยวกับพ่อแม่มา 5-6 ปี ทำให้อั๊ตได้เห็นภาพของพ่อแม่สนุกสนานกับการเล่นน้ำในสระ สวีตกันจนน่าอิจฉา ได้เห็นช่วงเวลาที่พ่อแม่ปล่อยวางและมีความสุขมาก นั้นถือเป็นของขวัญล้ำค่าที่ได้รับในวันเกิดตัวเอง และทำให้เราย้อนมองตัวเอง มองชีวิตที่ผ่านมา และสิ่งหนึ่งที่อั๊ตคิดเสมอคือการบวชแทนคุณให้พ่อกับแม่ แต่ยังหาจังหวะเวลาไม่ได้ คงต้องหาเวลาว่างซึ่งอาจจะเป็นอีกปีหรือสอง เพราะตอนนี้อั๊ตเพิ่งเซ็นสัญญาต่อกับทางสิงคโปร์ 1 ปี"

*ไปทำงานต่างบ้าน ปรับตัวเยอะมั้ย?

อั๊ต - "ทุกครั้งของการเดินทางจะต้องปรับตัว เรียนรู้และพร้อมรับกับสิ่งใหม่ที่จะมีเข้ามา อย่างการทำงานถ่ายละครในบ้านเราจะอบอุ่น มีการดูแลเทกแคร์ที่ดี แต่ที่กองถ่ายสิงคโปร์จะตัวใครตัวมัน ไม่มีทีมงานเสิร์ฟน้ำ เสิร์ฟอาหาร ถึงเวลาพักกินข้าวทุกคนไปหาข้าวกินเอง ซึ่งเราก็ต้องปรับตัวเข้าหาเขาและเพิ่มความเป็นเราเข้าไปด้วย เวลาไปกองถ่ายก็จะเอาขนมไปแชร์ให้คนในกองถ่าย จากนั้นคนอื่นๆ ก็เริ่มเอาขนมมาแชร์กัน เริ่มรู้สึกอบอุ่นขึ้น ซึ่งเขาก็ได้เรียนรู้การทำงานที่เป็นแบบไทย สำหรับอั๊ตแล้วถือว่าชีวิตคือการเรียนรู้และการเดินทาง เพราะไม่รู้ว่าเส้นทางที่เราเดินจะนำพาเราไปไหน เจอใคร ยังไง แต่ในขณะที่ชีวิตเดินทาง เราก็ต้องเรียนรู้ เก็บเกี่ยวประสบการณ์ไปเรื่อยๆ แล้วนำมาปรับใช้กับตัวเรา เหมือนกับเวลาที่คนเราสับสน อาจจะระบาย ได้ความคิดเห็นจากหลายๆ คน แต่ในที่สุดเป็นตัวเรานี่แหละที่ต้องตัดสินใจเอง"

*วางอนาคตในวงการไว้อย่างไร?

อั๊ต - "ยังอยากเรียนรู้ในทุกๆ เรื่อง ความอยากมีไม่หยุดยั้ง สำหรับความหลงใหลที่อยากจะมีมากกว่านี้มั้ย ข้อนั้นชัวร์เป็นกิเลสของมนุษย์ แต่อยู่ที่ความนิ่งของเรา เหมือนกับที่ลุงกับป้าสอนว่าถ้าเราอยู่ในความพอดี เราจะรู้ว่าเรารวยถ้าเราเปรียบเทียบกับคนที่ไม่มีเท่าเรา แต่ถ้าตราบใดเราเปรียบเทียบกับคนที่มีมากกว่า เราก็จะไม่มีวันพอ สำหรับอั๊ตทุกวันนี้ถือว่าพอในแง่ของการใช้ชีวิต การดูแลพ่อแม่โดยที่ไม่ทำตัวเป็นภาระ และพ่อแม่เพิ่งซื้อบ้านถัดจากบ้านอั๊ตไปอีกซอย เพราะอยากที่จะกลับมาอยู่ใกล้ๆ ลูก ช่วงนี้พ่อเลยจะบินกลับมาดูแลบ้านบ่อย ส่วนน้องชายเขามีครอบครัว มีความเป็นฝรั่ง เขาชอบใช้ชีวิตอยู่ที่อเมริกามากกว่า"

*แสดงว่าอั๊ตคิดลงหลักปักฐานใช้ชีวิตในเมืองไทยแน่นอน?

อั๊ต - "แน่นอนครับ เพราะอั๊ตรักเมืองไทย ทั้งที่อั๊ตมีโอกาสที่จะไปทำงานหาเงินเมืองนอกเลย แต่อั๊ตยังมีความผูกพันกับเมืองไทย และพื้นฐานอั๊ตก็ไม่ได้อยากมีชื่อเสียงโด่งดังมากมาย แค่มีเท่านี้ก็รู้สึกพอดีแล้ว"

ใช้ชีวิตและอยู่อย่างพอเพียง คงเป็นคำจำกัดความได้ดีที่สุด

"อั๊ต"รอพรหมลิขิต!สร้างครอบครัว

เข้าวงการมากว่า 15 ปี แต่ข่าวคราวเรื่องความรักของหนุ่ม "อั๊ต"อัษฎา พานิชกุล กลับไม่ค่อยมี ซึ่งเจ้าตัวได้แต่ย้อนความถึงรักแบบป๊อปปี้เลิฟให้ฟังว่า

"ตอนนั้นอายุประมาณ 7 ขวบ ปิ๊งเด็กผู้หญิงคนนึงที่อยู่ใกล้บ้าน เขาโตกว่าชื่อ เอ็มมี่ และการแสดงความรักของอั๊ตตอนนั้นคือเอาแหวนเพชรที่คุณแม่ถอดวางไว้ไปให้เขาเพื่อแสดงความรัก" อั๊ตเล่าพลางหัวเราะชอบใจ

"และแม่ก็หาแหวนเพชรหาสร้อยทองไม่เจอ พอดีพ่อแม่ของเอ็มมี่เอามาคืนแม่อั๊ต กลับถึงบ้านวันนั้นแม่เม้งมาก จับอั๊ตตีเลย มองย้อนกลับไปรู้สึกขำดี และที่ตลกมาก คืออั๊ตเคยให้สัมภาษณ์เรื่องป๊อปปี้เลิฟที่สิงคโปร์ และอยู่ดีๆ เอ็มมี่เขาก็เมล์มาหา ทั้งที่ไม่ได้เจอกันมานานมาก เขาเขียนข้อความว่า "ฉันเพิ่งอ่านคำสัมภาษณ์อั๊ตผ่านเว็บไซต์เอ็มทีวีเอเชีย เห็นคุณพูดถึงฉันด้วยตอนที่ป๊อปปี้เลิฟกัน น่ารักจัง ฉันไม่คิดว่าฉันจะมีบทบาทขนาดนี้ในชีวิตของคุณ" เห็นเมล์แล้วอาย เคิ้น..เขิน เห็นเมล์แล้วตลกดี"

พรหมลิขิตทำให้"อั๊ต"ไปเกิดที่อเมริกา แต่กลับมาปักหลักที่เมืองไทยซึ่งเป็นบ้านเกิดของพ่อแม่ ซึ่งเจ้าตัวก็ไม่เคยคาดคิดว่าจะได้มาใช้ชีวิตอยู่ทุกวันนี้

"ตอนนี้รู้สึกดีกับการที่ได้กลับมาใช้ชีวิตอยู่กับพ่อแม่ ช่วงที่ขาดหายไปเราได้กลับมาตอบแทน และสเต็ปต่อไปเราคงจะมีครอบครัวของตัวเอง แต่ต่อไปจะเป็นยังไงไม่รู้ อาจจะเป็นพรหมลิขิตอีกแบบหนึ่ง"

ว่าแต่ว่าคนที่จะมาร่วมสร้างครอบครัวน่ะมีตัวตนหรือยังเอ่ย อั๊ตกล่าวอย่างอายๆ "ยังครับ อั๊ตยังบอกกับพ่อแม่เลยว่า นี่โชคดีนะที่อั๊ตยังไม่มีแฟน ไม่งั้นอั๊ตคงไม่มีเวลาให้ป๊ากับแม่ได้ขนาดนี้" เพราะยังไม่มีคู่ชีวิต ตอนนี้รักของหนุ่มอั๊ตเลยทุ่มเทไปที่บุพการีผู้มีพระคุณอย่างเต็มเปี่ยม

ชื่อเล่น : เกร๊ก(Greg)

ชื่อเล่นที่รู้จัก : อั๊ต

ชื่อ-นามสกุลจริง : อัษฎา พานิชกุล

วันเดือนปีเกิด : 3 ก.ย. 2517

พี่น้อง : มีน้องชาย 1 คนชื่อ "เจอร์-เจอรัลด์"

การศึกษา : เรียนจบป.ตรี ที่ ม.เอแบค คณะนิเทศศาสตร์(โฆษณา)

---------------------------------------------------

ข่าวสด วันที่ 01 ตุลาคม พ.ศ. 2549 ปีที่ 16 ฉบับที่ 5785 หน้า 17

"อั๊ต"เรียนรู้ทุกสิ่ง!ชีวิตคือการเดินทาง

"เราอย่าท้อถอย เมื่อเราล้มได้ก็ต้องลุกให้ได้ และเราก็จะทำสำเร็จได้"

พรรษาวดี มานูญวงษ์ เรื่อง 

หมายเลขบันทึก: 52872เขียนเมื่อ 2 ตุลาคม 2006 01:24 น. ()แก้ไขเมื่อ 22 มิถุนายน 2012 22:04 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท