นาย ศราวุธ อยู่เกษม
4814
030625
ชื่อเรื่องงานวิจัย
:
ประสิทธิผลโปรแกรมสุขศึกษาโดยการประยุกต์ทฤษฏีแรงจูงใจเพื่อป้องกันภาวะความดันโลหิตสูง ของผู้สูงอายุในเขตเทศบาล อำเภอเดชอุดม จังหวัดอุบลราชธานี
The Effectiveness of Health the application of the protection motivation theory to the health education program on hight blood pressure prevention among elderly people in det-udom municipality of ubonrathathani province.
ผู้วิจัย : นางสาวขนิญฐา ทองหยอดแหล่งที่พิมพ์ : บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล พ.ศ. 2543 ISBN 974-664-963-9
หัวข้อ | รายละเอียด |
Research objective วัตถุประสงค์ | วัตถุประสงค์หลัก เพื่อศึกษาประสิทธิผลโปรแกรมสุขศึกษาโดยการประยุกต์ทฤษฏีแรงจูงใจเพื่อป้องกันภาวะความดันโลหิตสูงของผู้สูงอายุ ในเขตเทศบาล อำเภอเดชอุดม จังหวัดอุบลราชธานี วัตถุประสงค์ย่อย เพื่อศึกษาการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเพื่อป้องกันภาวะความดันโลหิตสูง ของผู้สูงอายุหลังจากเข้าร่วมกิจกรรมโปรแกรมสุขศึกษาในเรื่อง 1. การรับรู้ความรุนแรงของภาวะความดันโลหิตสูง 2. การรับรู้โอกาสการเกิดภาวะความดันโลหิตสูง 3. ความคาดหวังถึงผลของการมีพฤติกรรมป้องกันภาวะความดันโลหิตสูง 4. การรับรู้ความสามารถของตนเองถึงการมีพฤติกรรมป้องกันภาวะความดันโลหิตสูง 5. การมีพฤติกรรมป้องกันภาวะความดันโลหิตสูงในเรื่อง การควบคุมการบริโภคอาหาร การออกกำลังกายสม่ำเสมอ การผ่อนคลายความเครียด การวัดความดันโลหิตสูงอย่างสม่ำเสมอ และการหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงเช่น การสูบบุหรี่ การดื่มสุราและเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมคาเฟอีน |
Research Design รูปแบบการวิจัย / ระดับของงานวิจัย | Quasi Experimental Research ( ระดับIII ) |
Sample กลุ่มตัวอย่าง | ผู้สูงอายุที่มีอายุเท่ากับหรือมากกว่า 60 ปี ขึ้นไปทั้งชายและหญิง อาศัยอยู่ในเขตเทศบาลอำเภอเดชอุดม จังหวัดอุบลราชธานี สามารถอ่านออกเขียนได้ ช่วยเหลือตัวเองได้ดี มีระดับความดันโลหิตต่ำกว่า 159/99 มิลลิเมตรปรอท ไม่มีโรคประจำตัวและไม่ได้รับยารักษาโรคอื่นเป็นประจำ ผู้สูงอายุที่ผ่านเกณฑ์ทั้งกลุ่มทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบ โดยคัดเลือกเกณฑ์ ระดับความดันโลหิตไม่เกิน 140/90 มิลลิเมตรปรอทเป็นระดับความดันโลหิตปกติ และระดับความดันโลหิตระหว่าง 140/90 – 159/99 มิลลิเมตรปรอทเป็นระดับความดันโลหิตสูงเล็กน้อย สุ่มเลือกผู้สูงอายุตามเกณฑ์โดยการจับฉลากหมายเลขชื่อผู้สูงอายุ กลุ่มทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบ ตามระดับความดันโลหิตปกติ จำนวนกลุ่มละ 24 คน และตามระดับความดันโลหิตสูงเล็กน้อย จำนวนกลุ่มละ 24 คน |
Research Instrumentsเครื่องมือที่ใช้ | เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ประกอบด้วย เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูลและเครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูลโดยการสัมภาษณ์ แบ่งเป็น 6 ส่วน ส่วนที่ 1 ข้อมูลทั่วไปของผู้สูงอายุ จำนวน 12 ข้อ ได้แก่ ชื่อ สกุล เพส ระดับความดันโลหิต ชีพจร น้ำหนัก ส่วนสูง ระดับการอ่านอกเขียนได้ อาชีพปัจจุบัน สถานภาพการสมรส สถานภาพการเงินภายในครอบครัว แหล่งรายได้ บทบาทสถานภาพของผู้สูงอายุภายในครอบครัว โดยการเติมคำในช่องว่างและเลือกตอบ ส่วนที่ 2 การับรู้ความรุนแรงของภาวะความดันโลหิตสูง จำนวน 12 ข้อ โดยเนื้อหาครอบคลุมสาเหตุ อาการ ภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายต่อร่างกายและสังคม สร้างขึ้นตามหลักการสร้างข้อคำถามแบบมาตราส่วนประเมินค่า แบ่งเป็น 3 ระดับ คือ เห็นด้วย ไม่แน่ใจ ไม่เห็นด้วย โดยผู้สูงอายุเลือกตอบเพียง 1 ตัวเลือก ในคำถามเชิงบวกและเชิงลบ เกณฑ์การให้คะแนนข้อความแสดงการรับรู้ในทางบวก การให้คะแนน เห็นด้วยให้ 3 คะแนน ไม่แน่ใจให้ 2 คะแนน ไม่เห็นด้วยให้ 1 คะแนน ข้อความการรับรู้ในการทางลบ การให้คะแนนเห็นด้วยให้ 1 คะแนน ไม่แน่ใจให้ 2 คะแนน ไม่เห็นด้วยให้ 3 คะแนน การประเมินผลแบ่งเป็น 3 ระดับ คะแนนเฉลี่ย 2.34-3.00 หมายถึงการรับรู้สูง คะแนนเฉลี่ย 1.67 – 2.33 หมายถึง การรับรู้ปานกลาง คะแนนเฉลี่ย 1.00 – 1.66 หมายถึง การรับรู้ต่ำ ส่วนที่ 3 การรับรู้โอกาสการเกิดภาวะความดันโลหิตสูง จำนวน 12 ข้อ โดยครอบคลุมเนื้อหาที่มีปัจจุยเสี่ยงต่อการเกิดภาวะความดันโลหิตสูงของผู้สูงอายุในเรื่องเกี่ยวกับ การรับประทานอาหาร การออกกำลังกายไม่ถูกต้อง การมีภาวะเครียด การตรวจวัดความดันโลหิตไม่สม่ำเสมอ การสูบบุหรี่ การดื่มสุราและการดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมคาเฟอีน การให้คะแนนและเกณฑ์การประเมินเช่นเดียวกับส่วนที่ 2 ส่วนที่ 4 ความคาดหวังผลของการมีพฤติกรรมป้องกันภาวะความดันโลหิตสูง จำนวน 13 ข้อ โดยครอบคลุมเนื้อหาที่ผู้สูงอายุคาดหวังถึงผลประโยชน์ของการมีพฤติกรรมป้องกันภาวะความดันโลหิตสูง โดยมีประเด็นเกี่ยวกับ การรับประทานอาหารที่ไม่เสี่ยงต่อการเกิดภาวะความดันโลหิตสูง การออกกำลังกายสม่ำเสมอและถูกวิธี การมีกิจกรรมคลายเครียดและการมีวิธีคลายเครียดที่ถูกต้องเหมาะสมเมื่อเกิดภาวะเครียด การตรวจวัดความดันโลหิตอย่างสม่ำเสมอ และการหลีกเลี่ยงปัจัยเสี่ยงเช่นการสูบบุหรี่ การดื่มสุราและเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของตาเฟอีน เป็นคำถาม แบบมาตรส่วนประมาณค่า แบ่งเป็น 3 ระดับ คือเห็นด้วย ไม่แน่ใจ ไม่เห็นด้วย โดยผู้สูงอายุเลือกตอบเพียง 1 ตัวเลือก ในข้อคำถามต้องเป็นเชิงบวก เกณฑ์การให้คะแนน เห็นด้วย 3 คะแนน ไม่แน่ใจ 2 คะแนน ไม่เห็นด้วย 1 คะแนนเกณฑ์การประเมินเช่นเดียวกับส่วนที่ 2 ส่วนที่ 5 การรับรู้ความสามารถของตนเองต่อการมีพฤติกรรมการป้องกันความดันโลหิตสูง จำนวน 13 ข้อ โดยครอบคลุมเนื้อหาที่ผู้สูงอายุจะสามารถปฏิบัติตัวในการป้องกันภาวะความดันโลหิตสูงได้ โดยมีประเด็นเกี่ยวกับ การรับประทานอาหารที่ไม่เสี่ยงต่อการเกิดภาวะความดันโลหิตสูง การออกกำลังกายสม่ำเสมอและถูกวิธี การมีกิจกรรมคลายเครียดและการมีวิธีคลายเครียดที่ถูกต้องเหมาะสมเมื่อเกิดภาวะเครียด การตรวจวัดความดันโลหิตสม่ำเสมอและการหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง เป็นคำถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า แบ่งเป็น 3 ระดับ คือ ทำได้(3 คะแนน) ทำได้บ้าง (2 คะแนน )ทำไม่ได้( 1 คะแนน) โดยผู้สูงอายุเลือกตอบ 1 ตัวเลือก เกณฑ์การประเมินเช่นเดียวกับส่วนที่ 2 ส่วนที่ 6 การมีพฤติกรรมการป้องกันภาวะความดันโลหิตสูงของผู้สูงอายุ ประกอบด้วยพฤติกรรม การบริโภคอาหาร การออกกำลังกายสม่ำเสมอ การผ่อนคลายความเครียด การหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง และการตรวจวัดความดันโลหิตสม่ำเสมอ โดยแบ่งเป็น 3 ระดับ การปฏิบัติสม่ำเสมอหรือถูกต้องให้ 2 คะแนน การปฏิบัติเพิ่มจากเดิมให้ 1 คะแนน ส่วนการไม่ปฏิบัติและปฏิบัติไม่ถูกต้องให้คะแนน ศูนย์ เกณฑ์ประเมินแบบอิงเกณฑ์ ระดับสูงมีคะแนนมากกว่าร้อยละ 80 ระดับปานกลาง มีคะแนนระหว่างร้อยละ 60-80 ระดับต่ำ มีคะแนนต่ำกว่าร้อยละ 60 ลงมา เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง 1. โปรแกรมสุขศึกษา โดยจัดกิจกรรมสุขศึกษา 12 สัปดาห์ ใน กลุ่มทดลองประกอบด้วย กิจกรรมเสริมสร้างการรับรู้ความรุนแรง การรับรู้โอกาสเสี่ยง การรับรู้ความสามารถของตนเองต่อภาวะความดันโลหิตสูง กิจกรรมเสริมสร้างความคาดหวังผลที่จะเกิดขึ้น กิจกรรมกำหนดการดำเนินการป้องกันภาวะความดันโลหิตสูงจากภูมิปัญยาโดยกลุ่ม กิจกรรมการเสริมสร้างความคาดหวังผลที่จะเกิดขึ้น กิจกรรมกำหนดการดำเนินการป้องกันภาวะความดันโลหิตสูงจากภูมิปัญญาโดยกลุ่ม กิจกรรมการเสริมสร้างความภาคภูมิใจในความสามารถของตนเอง และการกระตุ้นเตือนโดยกลุ่ม 2. แผนการฝึกอบรม ผู้อำนวยความสะดวกและสนับสนุนการเรียนรู้กลุ่ม Facilitator เรื่องการปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันภาวะความดันโลหิตสูงของผู้สูงอายุ โดยผู้เชี่ยวชาญ เป็นเวลา 1 วัน 3. ผู้ช่วยวิจัยประกอบด้วย ผู้อำนวยความสะดวกและสนับสนุนการเรียนรู้กลุ่มเรื่องการปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันภาวะความดันโลหิตสูงในผู้สูงอายุ จำนวน 6 คน 4. สมุดคู่มือการปฏิบัติตัวพฤติกรรมเพื่อป้องกันภาวะความดันโลหิตสูงของผู้สูงอายุ ที่ผู้วิจัยจัดสร้างขึ้น 5. สไลด์ ประกอบคำบรรยายเรื่องโรคความดันโลหิตสูง 6. เทปคาเซท คลายเครียดจากกรมสุขภาพจิต 7. เอกสาร ประกอบด้วยแผ่นพับ โปสเตอร์ 8. อุปกรณ์ตรวจร่างกายเช่น สเตทโตสโคป เครื่องวัดความดันโลหิต เครื่องชั่งน้ำหนักวัดส่วนส่วน สมุดบันทึกสุขภาพผู้สูงอายุ |
Research setting | เขตเทศบาล อำเภอเดชอุดม จังหวัดอุบลราชธานี |
Method / Content ระเบียบวิธีวิจัย | 1. โปรแกรมสุขศึกษา โดยการจัดกิจกรรมสุขศึกษา 12 สัปดาห์ ในกลุ่มทดลองประกอบด้วย กิจกรรมการเสริมสร้างการรับรู้ความรุนแรง การรับรู้โอกาส การรับรู้ความสามารถของตนเองต่อภาวะความดันโลหิตสูง กิจกรรมเสริมสร้างความคาดหวังผลที่จะเกิดขึ้น กิจกรรมกำหนดการป้องกันภาวะความดันโลหิตสูงจากภูมิปัญญาโดยกลุ่ม กิจกรรมการเสริมสร้างความภาคภูมิใจในความสามารถของตนเอง และการกระตุ้นเตือนโดยกลุ่ม สำหรับผู้สูงอายุ 48 คน ในกลุ่มทดลอง - สัปดาห์ที่ 1 กำหนด 2 วัน มี 2 กิจกรรม กิจกรรมที่ 1 การเสริมสร้างความรู้ การรับรู้ความรุนแรง การรับรู้โอกาส การเกิดภาวะความดันโลหิตสูงโดยการบรรยาย การอภิปรายหมู่ ประชุมกลุ่มย่อยแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์ กิจกรรมที่ 2 เสริมสร้างความคาดหวังถึงผลของการมีพฤติกรรมเพื่อป้องกันภาวะความดันโลหิตสูง และการส่งเสริมให้เกิดการรับรู้ความคาดหวังในความสามารถของตนเอง โดยการสาธิตและฝึกปฏิบัติ อภิปรายหมู่ - สัปดาห์ที่ 2 กำหนดครึ่งวัน ใน กิจกรรมที่ 2 เสริมสร้างความคาดหวังถึงผลของการมีพฤติกรรมเพื่อป้องกันภาวะความดันโลหิตสูง และการส่งเสริมให้เกิดการรับรู้ความคาดหวังใน โดยการอภิปรายกลุ่มในสัปดาห์ที่ผ่านมาคนละ 5 นาที ประเมินการปฏิบัติตัวจากสมุดคู่มือ กิจกรรมที่ 3 กำหนดการป้องกันภาวะความดันโลหิตสูงจากภูมิปัญญาโดยกลุ่ม - สัปดาห์ที่ 3-6 และ 8-11 กำหนดประชุมทุกวันจันทร์ กิจกรรมที่ 4 กิจกรรมกระตุ้นเตือน - สัปดาห์ที่ 7 กิจกรรมการเสริมสร้างความภาคภูมิใจในความสามารถของตนเองและประเมินผลการปฏิบัติเพื่อป้องกันการเกิดภาวะความดันโลหิตสูง - สัปดาห์ที่ 12 กิจกรรมการเสริมสร้างความภาคภูมิใจในความสามารถของตนเอง ซ้ำ 2. แผนการฝึกอบรมเรื่องการปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันภาวะความดันโลหิตสูงของผู้สูงอายุ โดยผู้เชี่ยวชาญ เป็นเวลา 1 วัน 3. สมุดคู่มือการปฏิบัติตัวพฤติกรรมเพื่อป้องกันภาวะความดันโลหิตสูงของผู้สูงอายุ |
Data collection การเก็บรวบรวมข้อมูล | การเก็บข้อมูลทั้งหมด 2 ครั้ง แบ่งเป็น ครั้งที่ 1 ก่อนใช้โปรแกรมสุขศึกษาหลังจากเซ็นเข้าร่วมวิจัยในสัปดาห์แรกโดยแบบสอบถาม ครั้งที่ 2 เมื่อได้รับ intervention แล้วในสัปดาห์ที่ 12 |
Research findings ผลการวิจัย | 1. กลุ่มทดลองมีการรับรู้ความรุนแรงของภาวะความดันโลหิตสูง สูงกว่าก่อนการทดลอง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และเมื่อเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบพบว่ากลุ่มทดลองมีการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นกว่ากลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ P<0.001 2. กลุ่มทดลองมีโอกาสรับรู้โอกาสเกิดภาวะความดันโลหิตสูง มีการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นกว่ากลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ P<0.001 3. กลุ่มทดลองมีความคาดหวังผลของการมีพฤติกรรมป้องกันภาวะความดันโลหิตสูง มีการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นกว่ากลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ P<0.001 4. กลุ่มทดลองมีการรับรู้ความสามารถของตนเองถึงการมีพฤติกรรมป้องกันภาวะความดันโลหิตสูง มีการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นกว่ากลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ P<0.001 5. กลุ่มทดลองมีพฤติกรรมป้องกันภาวะความดันโลหิตสูง มีการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นกว่ากลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ P<0.001 |
การสกัดเพื่อการนำไปใช้ | จากผลการวิจัยครั้งนี้จึงควรนำสิ่งต่อไปนี้มาใช้ในการป้องกันภาวะความดันโลหิตสูงของผู้สูงอายุ 1. โปรแกรมสุขศึกษา โดยการจัดกิจกรรมสุขศึกษา 12 สัปดาห์ จะต้องประกอบไปด้วย กิจกรรมการเสริมสร้างความรู้ การรับรู้ความรุนแรง การรับรู้โอกาสเสี่ยง การรับรู้ความสามารถของตนเองต่อภาวะความดันโลหิตสูง กิจกรรมเสริมสร้างความคาดหวังผลที่จะเกิดขึ้น กิจกรรมกำหนดการดำเนินการป้องกันภาวะความดันโลหิตสูงจากภูมิปัญญาโดยกลุ่ม กิจกรรมการเสริมสร้างความภาคภูมิใจในความสามารถของตนเอง และการกระตุ้นเตือนโดยกลุ่ม 2. ประยุกต์ทฤษฏีการสร้างแรงจูงใจเพื่อป้องกันโรคของโรเจอร์ สามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมผู้สูงอายุในการป้องกันภาวะความดันโลหิตสูงได้อย่างมีประสิทธิผล 3. มีการจัดกิจกรรมกลุ่มเป็นประจำทุกสัปดาห์อย่างต่อเนื่องโดยมีผู้นำกลุ่มหรือรองผู้นำกลุ่มเป็นผู้กระตุ้นหรือดำเนินการประชุมกลุ่ม |
Utilization criteria การประเมินคุณภาพ เพื่อนำไปใช้ | |
1. Clinical relevance ความสอดคล้องกับปัญหาทางคลินิก | มีความสอดคล้องและตรงกับปัญหาที่กำหนดไว้ และโปรแกรมการให้ข้อมูลดังกล่าวมีความเป็นไปได้ในการปฏิบัติ |
2. Scientific merit การมีความหมายหรือมีคุณค่าในเชิงของศาสตร์ | ในรายงานมีความชัดเจนในเรื่องวิธีการเก็บข้อมูล อธิบายเนื้อหาในโปรแกรมได้ชัดเจน ใช้เครื่องมือที่มีคุณภาพสามารถประเมินได้ตรงกับตัวแปรที่ต้องการศึกษาจริงๆ การวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากผลการวิจัยใช้สถิติเหมาะสม |
Implementation potential แนวโน้มที่จะนำไปใช้ได้ ในการปฏิบัติจริง | |
1. Transferability การเทียบเคียงองค์ความรู้สู่การปฏิบัติจริง | มีโอกาสที่จะนำโปรแกรมลงสู่การปฏิบัติได้ |
2. Feasibility ความเป็นไปได้ในการนำวิธีการไปปฏิบัติในสถานการณ์จริง | มีความเป็นไปได้ในการปฏิบัติจริง |
3. Cost – benefit ratio ความคุ้มทุน คุ้มประโยชน์เมื่อนำไปใช้ | ประหยัดค่าใช้จ่ายและเหมาะสมกับผู้สูงอายุเพื่อป้องกันภาวะความดันโลหิตสูง |
บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย นาย ศราวุธ จ้อน อยู่เกษม ใน ครูพยาบาลกับการเรียนการสอน
คำสำคัญ (Tags)#วิจัย#research#ru#การสังเคราะห์งานวิจัย#utilazation
หมายเลขบันทึก: 52397, เขียน: 28 Sep 2006 @ 17:18 (), แก้ไข: 07 Jun 2012 @ 00:29 (), สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการ, อ่าน: คลิก
ไม่อนุญาตให้แสดงความเห็น
อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก