เจตจำนงของประชาชน


พีร์ พงศ์พิพัฒนพันธุ์

  ในขณะที่การแข่งขันชิงตำแหน่งแคนดิเดท ผู้ที่เข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของอเมริกาของพรรครีพับลิกันยังไม่รู้ผล นี้  สถานการณ์ทางการเมืองของอเมริกันทำให้ผมนึกถึงปรัชญาทางการเมืองเดิม ๆเมื่อสมัยแรกๆของการร่างธรรมนูญประเทศอันเป็นวิถีประชาธิปไตยของอเมริกัน  ที่หมายถึงการใช้มติมหาชนเป็นใหญ่

 
จนกลายเป็นสิ่งที่เรียกว่า วัฒนธรรมการเมือง(Political Culture)  ไปแล้ว ยิ่งหากไปดูใน Bill of rights ซึ่งเป็นธรรมนูญว่าด้วยสิทธิของประชาชน ในจำนวน 10 ข้อ ก็จะเห็นอย่างชัดเจนมากขึ้นว่า รัฐธรรมนูญของอเมริกันวางเรื่องสิทธิเสรีภาพไว้อย่างไรบ้าง เหมือนดังที่เรารู้กันว่า ธรรมนูญนี้เกี่ยวข้องกับสิทธิในการพูดหรือแสดงออกด้านความเห็นทางการเมือง ,แม้กระทั่งป้องกัน อำนาจรัฐ หรืออำนาจอื่นๆ เข้ามาคุกคามข่มเหงสิทธิขั้นพื้นฐานของพลเมืองอย่างไรเช่นกัน

นี่คือ เจตจำนงของผู้ร่าง  ซึ่งก็คือ ประชาชน  ที่มีวิถีปรัชญาแห่งการคิดที่ไม่สลับซับซ้อนแต่ประการเลย  ฉะนั้นบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญจึงกลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมการเมืองและ วัฒนธรรมอีกหลายๆด้านในสังคมอเมริกัน ที่ถูกกำหนดขึ้นใช้เป็นกรอบในการคิดและการปฏิบัติตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา แม้ช่วงก่อนปี 1787 ที่ถือเป็นปีประกาศใช้รัฐธรรมนูญ เสียด้วยซ้ำเพียงแต่ก่อนหน้านี้ไม่มีบทบัญญัติออกมาเป็นลายลักษณ์อักษรเท่า นั้นเอง

แม้สถานการณ์ด้านต่างๆจะเปลี่ยนไป  แต่ตัววัฒนธรรมการเมืองกลับไม่เปลี่ยน  ,วัฒนธรรม ซึ่งหมายถึงเจตจำนงของประชาชน  ที่เป็นเป้าหมาย หรือหลักการของการร่างรัฐธรรมนูญในครั้งแรก เมื่อมีข้อขัดแย้งที่เกี่ยวข้องกับหลักกฎหมายูงสุด หรือกฎหมายรอง การตีความกฎหมายย่อมต้องนำ ต้นเค้าสาเหตุของการร่างรัฐธรรมนูญมาพิจารณา และก็ย่อมลงใน “เจตจำนง” หรือ “สัญญาประชาคม” อีกจนได้

จึงหามองสถานการณ์ทางการเมืองหรือทางสังคมโดยรวมของระบอบอเมริกันแล้ว กล่าวได้ว่า ความขัดแย้งทางการเมือง หรือทางอุดการณ์มี แต่สามารถคลี่คลายลงได้ ด้วยหลักเจตจำนงประชาชน ที่ถือเป็นหลักจารีตทางการเมืองของอเมริกัน หลักจารีตที่เอื้อต่อสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานที่มนุษย์ หรือพลเมืองพึงมี ซึ่งฟังดูแล้วแย้งกันอยู่ในตัว หากแต่เป็นข้อเท็จจริง ที่หมายถึงลักษณะการให้สิทธิเสรีภาพ อันเป็นจารีตทางการเมืองของอเมริกัน

การแบ่ง 3 อำนาจ อาศัยหลักการ “เสรีภาพ และความเสมอภาคเบ่งบาน”  ได้แก่ นิติบัญญัติ  อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการ ล้วนเป็นผลพวงจากประชาชนทั้งสิ้น หากคนไทยจะแปลกใจกัน ก็คือ อำนาจตุลาการ เป็นผลพวงจากการอำนาจของประชาชน แทนที่จะมาจากทางอื่น เหมือนดังหลายประเทศที่บ่งในนามว่า เป็นประชาธิปไตย แม้กระทั่งอย่าง อังกฤษ ที่ได้ชื่อว่า แม่แบบประชาธิปไตย ก็ตาม

ต้องไม่ลืมว่า อเมริกันก่อร่างสร้างประเทศกันมาอย่างไร พื้นฐานในเรื่องสิทธิเสรีภาพ และความเสมอภาค(ความยุติธรรม) จึงเป็นเรื่องที่มีความสำคัญมากสำหรับคนอเมริกัน โดยที่ฐานันดร และระบบศักดินา แทบไม่มีความหมายเอาเลย ประเด็นนี้โยงไปถึงการฝังหัวทางวัฒนธรรมของอเมริกันในยุคหรือรุ่นต่อมาอีก ด้วย โดยเฉพาะความเท่าเทียมกันในทางสิทธิ ที่มีความหมายเดียวกับ คำว่า “ความไร้ซึ่งอภิสิทธิ์”

อำนาจตุลาการในอเมริกานั้น เป็นผลพวงจากประชาชนใน 3 ส่วน ได้แก่ ส่วนแรก อำนาจในการแต่งตั้งคณะตุลาการ(United States federal judges ) เป็นของประธานาธิบดี (โดยที่ตัวของประธานาธิบดีเองก็มาจากการลือกตั้งโดยประชาชน) และรับรองโดยวุฒิสภา(Senate- ที่มาจากระบบเลือกตั้ง)  ตาม มาตรา 3  (Article III)ของรัฐธรรมนูญ  ,ส่วนที่สอง ได้แก่การเลือกตั้งผู้พิพากษาประจำศาลท้องถิ่นโดยพลเมืองผู้มีสิทธิเลือก ตั้ง กับ ส่วนที่สาม  ได้แก่ การใช้หลักสามัญสำนึก(Common sense)ในการแต่งตั้งคณะลูกขุนเพื่อตัดสินคดีความ  คณะลูกขุนนี้มาจากประชาชนทั่วไป ไม่จำกัดฐานะ หน้าที่การงาน  ศาลแต่งตั้งมาทำหน้าที่เป็นผู้พิพากษาสมทบร่วมกับผู้พิพากษาหลัก

น้ำหนัก ของระบบตุลาการอเมริกัน แม้ว่าจะเป็นหนึ่งใน 3 อำนาจหลัก ก็ตาม  แต่ก็แสดงถึงความไม่ห่างไกลจากประชาชน นี้เป็นกันทั้งในระดับบนและระดับล่างเลยทีเดียว มีความคาบเกี่ยว และคำนึงถึงการมีส่วนเข้าไปจัดการดูแลของประชาชน เพื่อให้เป็นไปตามเจตจำนงของประชาชนส่วนใหญ่  ขณะเดียวกันก็นำเอาวิธีการ “การใช้สามัญสำนึกของคนธรรมดา” มาใช้ด้วย ตามหลักที่ว่า สามัญสำนึกของคนธรรมดาที่ไม่ปนเปื้อนไปด้วยความรู้ วิชาการ ข้อกฎหมาย หรือรู้ในเรื่อง(คดี)นั้นๆเลย เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม อีกนัยหนึ่งหมายถึงการเชื่อใน “Human Sense” ว่ามีอยู่จริง และสามารถนำมาใช้ได้จริง นั่นเอง

แปลความก็คือ ความรู้ในวิชาการกฎหมายไม่สามารถนำมาสู่ ความยุติธรรมได้เสมอไป หากฐานความรู้สึกนึกคิด (Sense) หรือสามัญจิต ,การมองแบบซื่อๆของผู้ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีความ ก็มีส่วนสำคัญด้วยเช่นเดียวกัน

การตีความทางด้านกฎหมาย ในส่วนของรัฐธรรมนูญและกฎหมายรองของอเมริกัน จึงเน้นไปที่อรรถะ ยิ่งกว่าพยัญชนะ ซึ่งก็คือ เจตจำนงของการร่างกฎหมายนั้นๆ อันเป็นที่รู้และยอมกันในชุมชนประเทศ

น้ำหนักของการพิจารณาเพื่อตีความ หรือกรอบของการพิจารณากฎหมายสูงสุดของอเมริกันจึงไม่อยู่ที่ลายลักษณ์อักษร (แม้ว่ารัฐธรรมนญจะเป็นแบบลายลักษณ์อักษรก็ตาม)  หากความคิดเรื่องนี้เลยไปถึงสัญญาประชาคม เมื่อคราวแรกร่างรัฐธรรมนูญด้วยซ้ำ จึงไม่แปลกที่ร่างรัฐธรรมนูญยังเป็นฉบับเดิม ไม่เปลี่ยนแปลงแก้ไข เพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น  ในช่วงกาล 200 กว่าปี

ความจริง การยอมรับหลักเจตจำนงของประชาชนส่วนใหญ่ หรือเจตนารมณ์ของคนฝ่ายมาก ก็ย่อมสะท้อนได้ชัดเจน เป็นการแก้ปัญหาในบริบทประชาธิปไตย  หากไม่มีหลักการข้อนี้ ความขัดแย้งในสังคมก็จะเกิดขึ้นอย่างไม่สิ้นสุด สังคมประเทศจะมีแต่ความวุ่นวาย ไม่ว่าจะเปลี่ยนรัฐธรรมนูญกันไปกี่ฉบับก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหานี้

การจัดสรรอำนาจให้ 3 ฝ่าย ต้องพอเหมาะพอดีและสมดุล  สำคัญสุด คือ เป็นไปตามเจตจำนงของประชาชน ที่เป็นเสียงส่วนใหญ่ เป็นมาตรวัดในทางโลก

ไม่มีที่ใด ที่มีความยุติธรรมร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่อย่างน้อยการสร้างความเชื่อมั่นว่าความยุติธรรมมีอยู่จริงก็ช่วยให้คนใน ประเทศสุขสงบจากปัญหาความขัดแย้งได้มากขึ้น

คำว่า เจตจำนงของประชาชน ไม่เพียง สะท้อนมาจากผลผลิตรัฐธรรมนูญ หรือหยิบเอาเจตจำนงในส่วนของกฎหมายสูงสุดมาใช้เท่านั้น  แต่ในส่วนของกฎหมายชั้นรองลงมา ระบบยุติธรรมหรือระบบตุลาการอเมริกัน ได้นำมาใช้ในการตัดสินคดี เชิงการเมือง คดีเชิงอุดมการณ์ คดีเชิงสังคม  คดีเชิงสิทธิมนุษยชน และคดีเชิงวัฒนธรรม อีกด้วย

หลายกรณีที่กฎหมายรองอาจไม่มีความหมาย เท่ากับเจตจำนงในรัฐธรรมนูญ ไม่นับรวมหากมีคณะลูกขุน(ที่ไม่รู้กฎหมาย) เข้าร่วม พวกเขาย่อมใช้ Sense ตัดสินคดีความเอาดื้อๆ ซึ่งกรอบความคิดในการตัดสิน ก็คือ เจตจำนงหลักของบุคคล หรือคณะที่เกี่ยวข้องในคดี

เทียบกับของไทย ทำให้นึกถึงภาพเปรียบเปรย(อย่างเว่อร์ๆ)ของคำว่า “หัวหมอ”  ก็หัวหมอแบบไทยกับ หัวหมอแบบอเมริกัน น่าจะแตกต่างกัน

หัวหมอแบบไทย ใช้สไตล์ การเล่นคำตามบทบัญญัติกฎหมาย พูดอีกอย่าง คือ พวกชอบแซะคำ(พยัญชนะ) ส่วนหัวหมอแบบอเมริกัน ชอบแซะใจ แซะอารมณ์ความรู้สึก

การมุ่งเอาดีทางตัวอักษร มากกว่าเจตจำนงของประชาชน ทำให้รัฐธรรมนูญหลายฉบับของบางประเทศต้องถูกเปลี่ยนแปลงแก้ไขบ่อยๆ อย่างเลวร้ายที่สุด คือ ฉีกทิ้งโดยทหารหรือการยึดอำนาจ จนเมื่อผลิตใหม่ก็ออกมาในแนวเดิมๆ

เพราะคนผลิต ไม่ได้ยึดถือเจตจำนงของคนส่วนใหญ่ หากมุ่งแสวงหา “คนดี-ของดี” ตามจินตนาการของตนเอง ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับกติกาสัญญาประชาคม…


หมายเลขบันทึก: 522013เขียนเมื่อ 11 มีนาคม 2013 11:14 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 มีนาคม 2013 11:14 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท