(2) ผู้ร้ายตัวจริง


ถึงตอนนี้จึงแน่ใจว่าคิดถูกแล้วที่เลือกแก้ปัญหาด้วยการ 'นิ่งเฉย' ทำนองเดียวกับสำนวนไทย "พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง" ง่ายๆ ไม่ต้องมาคิดว่าจะต่อความยาวสาวความยืดอย่างไรให้รกสมอง แค่นี้ปัญหาก็จบ

บทความตอนที่แล้วดิฉันแนะนำตนเองผ่านความสัมพันธ์อันอบอุ่นระหว่างแม่-ลูก ตอนนี้จะขออนุญาตแนะนำตนเองอีกครั้ง ผ่านความสัมพันธ์ระหว่างสามี-ภรรยาที่อบอุ่นยิ่งกว่า เชิญมาทางนี้ค่ะ

ต้องถามก่อนว่า คุณมีคู่หรือยัง? หากมีคู่สามีหรือภรรยาแล้วก็จะรู้ว่าชีวิตคู่ของคนเรา จะมีบางช่วงของชีวิตคู่ที่จะมีเรื่องระหองระแหง มีปากเสียงไร้สาระไม่มีสาเหตุบ้างนานๆ ครั้ง จนถึงนานๆ ถี่ สำหรับคู่ของดิฉันก็มีบ้างนานๆ ครั้ง แต่หากมีแล้วค่อนข้างจะถี่สักหน่อย เมื่อไม่นานมานี้คงจะครบรอบผสานสัมพันธ์กระมัง เพราะรู้สึกว่าสามีเกรี้ยวกราด ดิฉันรู้สึกหงุดหงิด รำคาญใจ รู้สึกเบื่อมากถึงมากที่สุด

ก็คิดกลับไปกลับมาว่าจะจัดการกับปัญหานี้อย่างไร อยากให้เขารู้ตัว อยากให้เราทั้งคู่เลิกทะเลาะกัน ก่อนที่เราจะเหลืออดและแตกหักในที่สุด

แล้วความคิดก็บรรเจิด!! คิดวิธีการได้แล้ว

หากเริ่มจะปะทะคารมกันอีก ดิฉันจะบันทึกเสียงไว้ รอให้สามีอารมณ์ดี แล้วจะเปิดเทปเสียงให้เขาฟัง ดิฉันคิดเข้าข้างตนเองว่าถ้าหากสามีได้ยินเสียงตัวเอง เขาจะวิเคราห์ได้ว่าเขาน่ะร้ายกาจเช่นไร เมื่อไม่พอใจก็ทำเสียงเกรี้ยวกราด ใช้อารมณ์เพื่อเอาชนะภรรยา เมื่อเขารู้ตัว รู้อารมณ์ตนเอง เขาก็จะรู้ว่าภรรยาเขารู้สึกอย่างไร เมื่อเข้าใจแล้วเขาก็จะหยุดพฤติกรรมไม่ดีได้ในที่สุด ทำไมเขาต้องหยุด ... ก็เขารักภรรยาของเขานี่นา

และแล้ววันที่รอคอยก็มาถึง ดิฉันบันทึกเสียงเหตุการณ์อย่างระทึก รุ่งเช้ารีบเปิดฟังเสียงที่บันทึกไว้ ก็มันอดไม่ได้นี่นา เปิดฟังได้เพียงชั่วครู่ รู้สึกแปลกใจ

'นางผู้หญิงใจร้าย' ในเทปนั้นกรีดเสียงแหลมดังแสบแก้วหู น้ำเสียงคาดคั้นคุกคามเอาเรื่องนัก แหม.. น่าตื้บเสียจริง ถ้าเป็นดิฉันละก็..จัดเต็มให้แล้ว!

เอ๊ะ! เสียงดิฉันนี่นา แล้วสามีเราทนฟังอยู่ได้อย่างไร?

รีบปิดเเทปเสียง เพราะรู้สึกอายที่พูดอย่างนั้น กรีดเสียงแบบนั้น เราจะไม่พูดน้ำเสียงอย่างนั้นอีกแล้ว เออหนอ ความโกรธและอยากเอาชนะกันนั้นมันช่างงี่เง่า มันทำให้เราทำร้ายจิตใจคนที่เรารักได้ถึงขนาดนี้ ถ้าไม่ได้ยินเสียงตนเองดิฉันก็ยังคงหน้ามืดตามัว เพ่งมองในมุมของตัวแต่ฝ่ายเดียวด้านเดียวว่าสามีไม่ดี ชอบใช้อารมณ์ อย่างนี้กระมังที่ผู้รู้หลายคนบอกว่า การรับรู้ความคิดและอารมณ์ของตนเองจะช่วยให้ผู้รับการบำบัดวางแผนจัดการกับอารมณ์ของตนเองได้ในกระบวนการบำบัด เป็นหลักการของเทคนิคการบำบัดด้วย CBT (Cognitive Behavior Therapy : การปรับเปลี่ยนความคิดและพฤติกรรม) ที่ดิฉันไปรับการอบรมมา แต่ไม่ทราบว่าโชคร้ายหรือดีที่มีโอกาสนำไปใช้ก่อนเข้าอบรมเสียอีก

แล้วถ้าเริ่มจะปะทะคารมกันอีก ดิฉันจะทำอย่างไร? ก็เปลี่ยนวิธีการใหม่ ใช้เทคนิคการตอบสนองแบบนิ่งเฉย ไม่สนใจ ไม่รับรู้ทุกครั้งที่สามีพูดจาไม่น่าฟัง ก็ได้ผลนะ เมื่อไม่ได้รับการตอบสนอง ปรบมือข้่างเดียวไม่ดัง สถานการณ์ที่ส่อเค้าไม่ปรกติก็ยุติได้ตั้งแต่เริ่มแรก

นั่นป็นเพียงความคาดหวัง เรื่องจริงไม่ใช่อย่างนั้นหรอก!

ทุกครั้งที่สามีเริ่มพูดจาก่อกวน ดิฉันจะทำเป็นไม่รับรู้ เหมือนไม่มีเขาอยู่ด้วย เขากลับรู้สึกสนุกที่จะพูดจาไม่น่าฟังไปเรื่อยๆ เมื่อเป็นเช่นนี้ซ้ำๆ หลายครั้งเข้าดิฉันก็หมดความอดทน ตอบโต้กลับไปบ้างว่า

"เป็นบ้าหรือไง พูดคนเดียวอยู่ได้ ไม่รู้สึกอะไรเลยหรือ"

คราวนี้ได้ผลจริงๆ ทุกครั้งที่รู้สึกว่าสามีเริ่มพูดจาไม่น่าฟังจะตอบโต้โดยการนิ่งเฉย เขาก็จะ 'หาทางลง' เองโดยเราไม่ต้องทะเลาะกัน บรรยากาศก็ดีขึ้น

แต่ก็รู้สึกสงสารสามี เพราะเมื่อกลับมาทบทวนเหตุการณ์แล้วมันดูแปลกๆ!

แรกเลยดิฉันคิดว่าสามีเกรี้ยวกราดเอาชนะด้วยอารมณ์ ทำให้ดิฉันรู้สึกหงุดหงิดรำคาญใจ รู้สึกเบื่อมาก แต่เมื่อได้ฟังเสียงจากเทปที่บันทึกเหตุการณ์แล้วจึงทราบว่าตัวดิฉันต่างหากที่ใช้อารมณ์ แล้วร้องเสียงแหลมแสบหู น้ำเสียงคาดคั้นกดดันจนไม่น่าให้อภัย สามีกลับเป็นฝ่ายนิ่งเฉย อดทน ดิฉันแก้ปัญหาโดยเลือกที่จะไม่พูดไม่ตอบโต้ เรื่องจึงยุติลงได้ตั้งแต่เริ่มแรก การแก้ปัญหาได้ผล แต่เริ่มมาคิดว่าดิฉันตอบโต้สามีแรงไปหรือเปล่า และเริ่มไม่แน่ใจว่าทั้งหมดนี้คิดเองเออเองหรือเปล่า

เรื่องแบบนี้ต้อง confirm!

วางแผนเสร็จสรรพก็ลงมือได้ วันหนึ่งประสบโอกาสเหมาะ อยู่ด้วยกันเพียงสองคนสามี-ภรรยา สามีอารมณ์ดี ดิฉันจึงยกตัวอย่างเรื่องอื่นเพื่อเลียบเคียงถามสามีว่า

"เวลารับ-ส่งเวร จะทบทวนการดูแลผู้ป่วยไปด้วย ซักซ้อมการทำงานไปด้วย เค้า (ดิฉันแทนตนเองเมื่อพูดกับสามีว่า 'เค้า') กลับมาเปิดเทปเสียงฟังทีหลัง ทำไมเสียงเค้าไม่น่าฟังเลย มันกระตุ้นมาก บางช่วงก็คาดคั้นคุกคาม" แล้วถามสามีว่าเสียงของตนเองเป็นเช่นนั้นจริงหรือไม่ สามีตอบสั้นๆ น้ำเสียงราบเรียบว่า

"ก็ประมาณนั้น"

ถึงตอนนี้จึงแน่ใจว่าคิดถูกแล้วที่เลือกแก้ปัญหาด้วยการ 'นิ่งเฉย' ทำนองเดียวกับสำนวนไทย "พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง" ง่ายๆ ไม่ต้องมาคิดว่าจะต่อความยาวสาวความยืดอย่างไรให้รกสมอง แค่นี้ปัญหาก็จบ

แล้วคุณล่ะ เคยลองบันทึกเทปเสียงตนเองหรือยัง ลองดูนะเพราะคุณอาจพบ 'ผู้ร้ายตัวจริง'

หมายเลขบันทึก: 521181เขียนเมื่อ 2 มีนาคม 2013 23:48 น. ()แก้ไขเมื่อ 8 พฤษภาคม 2015 11:01 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท